5 สิ่งควรรู้หลัง "ลิเวอร์พูล" บุกถล่ม "ปอร์โต้" ยับเยิน!
จบเกมไปแล้วสำหรับศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง ปอร์โต้ ปะทะ ลิเวอร์พูล
ซึ่งผลจบลงที่ทีมเยือนเป็นฝ่ายเอาชนะไป 5-0 โดย 3 ประสานแดนหน้ายิงกันครบทุกคน และทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ยิงมากที่สุดใน แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้วในฤดูกาลนี้
ดูเกมนี้จบ แฟน 'หงส์แดง' คงได้พักผ่อนอย่างสบายใจเสียที แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าแมตช์นี้ เราได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง ถ้าอยากจะทราบ ต้องเลื่อนลงไปอ่านกันต่อแล้วล่ะ
5. ลิเวอร์พูล มีเวลาพักหายใจ
ปกติแล้ว การต้องแข่งฟุตบอล ยุโรป กลางสัปดาห์จะทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้น แต่เมื่อคุณชนะคู่แข่งตั้งแต่เกมแรกด้วยสกอร์ 5-0 แถมเป็นการเล่นนอกบ้านด้วย เกมที่ 2 ก็เหมือนจะเป็นเพียงการซ้อมใหญ่เท่านั้นล่ะนะ
เมื่อดูจากตารางการแข่งขันของ ลิเวอร์พูล แล้ว พวกเขามีคิวเยือน แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด ที่ โอลด์แทร็ฟฟอร์ด หลังจากเตะเกม 2 กับ ปอร์โต้ เพียง 4 วันที่ แอนฟิลด์
นั่นทำให้ เจอร์เกน คลอปป์ มีโอกาสได้พักผู้เล่นตัวหลัก เอานักเตะที่เพิ่งหายเจ็บลงไปยืดเส้นบ้าง รวมถึงเปิดโอกาสให้นักเตะบางคนที่ไม่ค่อยได้ลงเล่นได้เก็บเลเวลอีก ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
4. ฟาน ไดค์ พร้อมแล้วที่จะเป็นแกนหลักในเกมรับของลิเวอร์พูล
ตอนที่เขาย้ายมาใหม่ ๆ ฟาน ไดค์ ถูกตั้งความหวังไว้สูงมากเพราะราคาค่าตัวอันสูงลิ่วของเขา แถม 4 เกมแรกที่ลงยังเสียไปถึง 4 ประตูอีก ทำให้เดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาโดนวิจารณ์หนักมากทีเดียว
อย่างไรก็ตามเกมแรกของเขาในแชมเปี้ยนส์ลีกไม่ทำให้หลาย ๆ คนที่สนับสนุนเขาต้องผิดหวัง เขานิ่ง มีความเป็นผู้นำ เด็ดขาดในจังหวะสกัดบอล
รวมไปถึงการบล็อกครั้งสำคัญท้ายเกม เซ็นเตอร์แบ็คชาวดัตช์รายนี้เริ่มเผยให้เห็นการพัฒนาของเกมรับ ลิเวอร์พูล ทีละนิด ๆ และน่าจะทำให้แฟนบอลกลับมาดูทีมพวกเขาสนุกอีกครั้ง
3. ปอร์โต้ ถึงทางตัน
อดีตแชมป์รายการนี้ปี 2004 สู้กับทีมเยือนไม่ได้เลย และจากการโดนถล่มขาดลอยถึง 5-0 นั่นทำให้ความแตกต่างของพวกเขามันยิ่งชัดขึ้นไปอีก
ปอร์โต้ เป็นตัวแทนจาก โปรตุเกส เพียงทีมเดียวที่หลุดเข้ามาในรอบนี้ได้ ในขณะที่พวกเขาเป็นถึงจ่าฝูงผู้ยังไม่แพ้ใคร พวกเขากลับเข้าป้ายเพียงอันดับ 2 ในรอบแบ่งกลุ่มรองจาก เบซิคตัส และโดนถล่มแบบสด ๆ ร้อน ๆ กับลิเวอร์พูล แม้จะมีโอกาสเรียกสกอร์กลับมาบ้าง คนละชั้นก็คือคนละชั้นอยู่ดี และคงต้องสร้างทีมกันใหม่ หาก ปอร์โต้ และทีมจาก โปรตุเกส หวังจะมาสร้างเซอร์ไพรส์ในรายการนี้อีกครั้ง
ณ ตอนนี้ พวกเขาไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว
2. คาริอุสเรียกความเชื่อมั่นจากคล็อปป์ได้อีกครั้ง
ตั้งแต่ โฆเซ เรนา ย้ายออกไปในปี 2014 ลิเวอร์พูลไม่เคยมีผู้รักษาประตูที่วางใจได้เลย
ซิมง มินโญเลต์ ถูกนำเข้ามาเพื่อถมช่องว่างที่นายทวารชาวสเปนทิ้งไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนถ่างช่องว่างให้กว้างขึ้น หลายปีที่ ลิเวอร์พูล สถาปนาตัวเองเป็นทีมที่เกมรุกน่ากลัวที่สุดทีมนึงในลีก แต่สถิติเกมรับอันห่วยแตกทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวหน้าไปไหนได้ไกลเลย
การมาถึงของนายทวารชาวเยอรมันผู้นี้ก็ดูไม่ต่างจาก ซิมง มากนัก เขาช้าและพลาดลูกง่าย ๆ บ่อยกว่ามินโญเลต์เสียอีก แต่สิ่งที่เขาแตกต่างจากนายทวารชาว เบลเยียม คือเขาปรับตัวและพัฒนา ในขณะที่ มินโญเลต์ ดูย่ำอยู่กับที่ คาริอุส กำลังจะทิ้งช่องว่างออกไปเรื่อย ๆ
1. สามประสานของลิเวอร์พูลจะเป็นแนวรุกที่อันตรายที่สุดในโลกชุดถัดไป
การไม่มี ฟิลิปเป คูตินโญ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่ทุกคนเคยคาดไว้
3 ประสาน มาเน-ฟีร์มิโน-ซาลาห์ มีเกมรุกที่ลงตัวและเข้าอกเข้าใจกันอย่างมาก พวกเขาเล่นเต็มที่ หาช่องว่าง สนุกกับการทำประตูและลองอะไรใหม่ ๆ กองหลัง ปอร์โต้ ก็แข็งแกร่งนะในช่วง 20 นาทีแรก
แต่หลังจากมาเนหาช่องว่างเจอ มันก็เป็นเรื่องหมู ๆ ไปเลยที่ทั้ง 3 จะหาช่องยิงประตูได้เรื่อย ๆ
ซาลาห์ซัดไปแล้ว 30 ทุกประตูจากทุกรายการ ฟีร์มิโนก็เป็นดาวซัลโวของทีมในรายการนี้ที่ 7 ประตู ส่วนมาเนก็ทำแฮ็ตทริคได้ จะมีอะไรเจ๋งยิ่งกว่าตอนนี้ล่ะ
ทั้งคู่จะมีคิวกลับมาเจอกันอีกครั้งในคืนวันพุธที่ 7 มีนาคม โดยปอร์โต้ต้องอาศัยปาฏิหาริย์จริง ๆ จึงจะเข้ารอบได้ อาจจะต้องสวมวิญญาณบาร์เซโลนาในปีที่แล้วหน่อยล่ะ ถ้าไม่อยากรีบกลับบ้านมือเปล่า