5 เหตุผลที่ "บาร์เซโลน่า" จะเขี่ย "เชลซี" ตกรอบน็อกเอ้าท์ชปล.
เกมรอบน็อกเอ้าท์ คืนวันอังคารนี้จะมีบิ๊กแมตช์ที่ น่าจับตามอง 1 คู่ นั่นคือ เชลซี จะเปิดบ้านพบกับ บาร์เซโลน่า ทีมแกร่งจากศึกลาลีกา สเปน
หากพูดถึงผลงานของทั้งคู่แล้วอาจจะมีความแตกต่างกันพอสมควร เชลซี เจ้าบ้าน ขณะนี้อยู่อันดับ 4 ของตารางในพรีเมียร์ลีก เรื่องลุ้นแชมป์คงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่การรักษาอันดับ เพื่อไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกยังคงต้องลุ้นเหนื่อย
ส่วนบาร์เซโลน่า ก็ยังคงคอนเซ็ปท์ "ทีมต่างดาว" ไว้อย่างเหนียวแน่น เล่นมา 24 นัด นำเป็นจ่าฝูงในลาลีกา ทำคะแนนห่างอันดับสองอย่างแอตเลติโก มาดริด ไป 7 คะแนน ยิงไป 62 ประตู เสียเพียง 11 ลูกเท่านั้น
สำหรับในรายการนี้บาร์ซ่ายังไม่แพ้ใคร แม้พวกเขาจะเสีย เนย์มาร์ ไปให้เปเอสเช ทีมดังจากฝรั่งเศสเมื่อช่วงเปิดตลาดซัมเมอร์ แต่ก็หาได้กระทบต่อรูปแบบการเล่นและประสิทธิภาพของทีมไม่ มิหนำซ้ำยังมีผลงานที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย
ทั้งสองทีมเคยเจอกันมาในรายการนี้หลายครั้ง และมีดราม่าให้แฟน ๆ จดจำหลายนัด เช่นในปี 2008-2009 หรือในปี 2011-12 ก่อนที่เชลซีจะได้แชมป์ถ้วยใบนี้ครั้งแรก ก็ผ่านบาร์ซ่ามาได้ในรอบรองชนะเลิศ
แต่สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างออกไป บาร์เซโลน่าคือทีมที่ยากจะต้านทาน ด้วยขุมกำลังที่เพียบพร้อมและระบบการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งการมี ลีโอเนล เมสซี ซึ่งสามารถดลบันดาลทุกสิ่งในสนามหากทีมต้องการ
ตรงข้ามกับสิงห์บลูที่มองไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหา ตั้งแต่ตัวกุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้ จนไปถึงเหล่านักเตะที่ผลัดกันเจ็บและฟอร์มตกไปพร้อม ๆ กัน จนทำให้ผลงานในซีซั่นนี้ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย
หลายคนเชื่อว่าเชลซี ไม่น่าจะต้านทานเกมรุกของทีมต่างดาวได้ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน และ นี่คือ 5 เหตุผลที่ว่าทำไมบาร์ซ่าจึงดีกว่าเชลซี ในรอบนี้
1. อาซาร์ แบกทีมมากเกินไป เชื่อหรือไม่ว่า 10 ประตูจาก 6 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีกมาจากมิดฟิลด์ตัวกลั่นอย่าง เอแด็น อาซาร์ ถึง 6 ลูก นอกนั้นเป็นของวิคเตอร์ โมเสส 2 ลูก ในขณะที่ มาร์กอส อลอนโซ่ และ วิลเลี่ยน รับไปคนละประตู
และเป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่อัลบาโร่ โมราต้า ยังทำประตูให้สิงบลูไม่ได้เลย นับตั้งแต่ออกสตาร์ทสวยหรูเมื่อต้นฤดูกาล
ประตูสุดท้ายที่เจ้าตัวทำได้คือเมื่อเดือนธันวาคม 2017 และเมื่อนับ 15 นัดหลังสุดรวมทุกรายการ โมราต้าทำไปเพียง 4 ประตูเท่านั้น ต่างกับโอลิวิเย่ ชิรูด์ ที่ทำได้แล้ว 1 ประตูจากการออกสตาร์ทตัวจริงนัดแรกให้กับทีมหลังย้ายมาจากอาร์เซนอล
นักเตะอย่างเปโดรก็ทำได้เพียง 2 ประตูจาก 13 นัดหลังสุด ส่วนวิลเลี่ยนเองก็ทำได้เท่ากันคือ 2 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดหลังสุด คือหมายความว่า ถ้าอาซาร์ฟอร์มตกเมื่อไหร่ เชลซีเตรียมตัวเข้าโหมดหายนะได้เลย
ดังนั้นอาซาร์ คนเดียวจึงไม่สามารถแบกทีมได้ตลอดรอดฝั่ง ยิ่งมาเจอเกมรับเหนียว ๆ ของบาร์ซ่า ก็เห็นว่า "สิงห์บลู" คงจะเจาะกันลำบากแน่นอน
2. เกมรุกต่างดาวโคตรน่ากลัว
เมสซี่กำลังมีซีซันที่ยอดเยี่ยม เขาทำไป 26 ประตู แอสซิสต์ 11 ครั้ง ส่วน หลุยส์ ซัวเรส ก็กำลังอยู่ในช่วงพีค หลังการออกสตาร์ทเป็นตัวสำรองในช่วงต้นซีซัน ตอนนี้ศูนย์หน้าชาวอุรุกวัยทำไปแล้ว 13 ประตู จาก 13 เกมสหลังสุด และมีผู้มาใหม่อย่างฟิลิเป้ คูตินโญ ที่แม้จะลงเล่นในรายการนี้ไม่ได้เพราะเคยเล่นให้ลิเวอร์พูลมาแล้ว แต่ก็สามารถลงเล่นในลีกและพักตัวหลักอย่างเมสซี่หรือซัวเรสได้ อีกทั้งยังรอการกลับมาจากอาการบาดเจ็บของอุสมาน เดมเบเล่ กองหน้าตัวจี๊ดอีกคน หากทั้ง 4 คนฟิตสมบูรณ์ก็เป็นแผงรุกที่น่ากลัวสำหรับทุกทีม
มาดูในส่วนเกมรับของ "สิงห์บลู" กันบ้าง เซ็นเตอร์หัวฟูอย่างดาวิด ลุยส์ ก็ฟอร์มตก ส่วนตัวใหม่อย่างอันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังชาวเยอรมันก็ยังเล่นได้ไม่ดีเท่าที่ควร ที่พอพึ่งพาได้ก็มีเซซาร์ อัซปิลิกูเอต้า ที่โชว์ฟอร์มได้คงเส้นคงวา ส่วนดาวรุ่งอย่างคริสตียนเซ่นก็ดูจะเหนื่อยล้าเกินไปกับการลงเล่นติดต่อกัน 30 นัดรวมทุกรายการ ส่วนแกรี เคฮิลล์ โดนดร็อปอยู่ข้างสนามในนัดที่เจอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เนื่องจากฟอร์มออกทะเลในนัดที่แพ้วัตฟอร์ด 4-1
3. คอนเต้ ไม่มี 11 ตัวจริงที่แน่นอน
จากฟอร์มอันย่ำแย่ทำให้มีคำถามว่า 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดของคอนเต้คือใคร แม้ว่าจะเสริมทัพในช่วงมกราคมด้วยการดึงชิรูด์จากอาร์เซนอล รอส บาร์คลีย์ จากเอฟเวอร์ตัน และ เอมเอเมอสัน เข้าสู่ทีมก็ตาม
ดูเหมือนว่าจะมีเพียง อัซปิลิกูเอต้า เท่านั้นที่สตาร์ทเป็นตัวจริงในแผงกองหลัง ส่วนแดนกลางก็ยังหาคนมายืนจับคู่กับก็องเต้ไม่ได้เสียที
โดยนัดล่าสุดให้ฟาเบรกัสลงเล่น ในขณะที่ 2 นัดก่อนหน้านี้เป็นหน้าที่ของ บากาโยโก้ ส่วนผู้เล่นริมเส้นซัปปาคอสต้าอาจจะได้ลงสนามด้านขวา ส่วนด้านซ้ายมี 2 ตัวเลือกคือมาร์กอส อลอนโซ และวิคเตอร์ โมเสส รออยู่
ส่วนของเกมรุกคาดว่าจะเป็นหน้าที่ของเปโดรเล่นร่วมกับอาซาร์ ส่วนตรงกลางไม่เป็นชิรูด์ก็โมราต้า ซึ่งถ้าดูจากคุณสมบัติต่าง ๆ แล้ว ศูนย์หน้าทีมชาติสเปนจะมีประสบการณ์ในเกมใหญ่มากกว่า แต่ชิรูด์สามารถเก็บบอลได้ดีกว่า ต้องอยู่ที่คอนเต้ว่าต้องการศูนย์หน้าแบบไหน
4. กองกลางบาร์ซาจะครองเกมได้หมด
การยึดครองพื้นที่แดนกลางให้ได้เป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่ชัยชนะที่ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เคยทำให้ดูมาแล้วในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของปีที่แล้วที่พวกเขากดทีมต่างดาวในถิ่นปาร์ก เดอ แปร็ง อยู่หมัดด้วยสกอร์ 4-0
ตอนนั้นแผงมิดฟิลด์ของเปเอสเชประกอบด้วยอาเดรียง ราบิโอต์ แบลส มาตุยดี้ และมาร์โก แวร์รัตติ ซึ่งทำลายเกมแดนกลางของบาร์เซโลนาที่ใช้อังเดร โกเมซ แอนเดรียส อินนิเอสต้า และเซร์คิโอ บุสเกสต์ อย่างราบคาบ
แต่ฤดูกาลนี้คงไม่เหมือนเดิม เมื่อเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นเอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ได้ดึงเอาเปาลินโญ่ เข้ามาเติมแดนกลาง เพิ่มมิติให้กับแผงมิดฟิลด์ ประกอบกับ อีวาน ราคิติช ที่ฟอร์มกำลังดีวันดีคืน และ บุสเกสต์ ที่เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้เช่นกัน
เมื่อมาดูแผงกองกลางของเชลซี พวกเขาไม่สามารถครองบอลและสร้างสรรค์เกมได้เหมือนซีซันที่แล้ว ก็องเต้ดูจะเหนื่อยและโดดเดี่ยวเกินไป ตีมูเอ้ บากาโยโก้ ตัวใหม่ก็ไม่ได้เล่นดีดังหวัง แดนนี ดริงค์วอร์เตอร์ได้ลงเล่นเพียงนัดเดียวในปีนี้
ส่วน เชส ฟาเบรกัส เล่นไปแล้ว 33 นัด ทำได้ 2 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโปรไฟล์ ดังนั้นการจะเอาชนะกองกลางของบา์ซาที่มีทั้งความเร็วและความแม่นยำได้จึงเป็นเรื่องยากเอามาก ๆ
5. ฟอร์มปัจจุบัน
ทีมน้ำเงิน-เลือดหมูยังไม่แพ้ใครเลยในซีซันนี้ ทั้งในลีกและฟุตบอลยุโรป ต่างกับคู่แข่งของพวกเขา เชลซี แพ้ในลีกไปแล้ว 6 เกม ในแชมป์เปี้ยนส์ลีก 1 เกม นั่นทำให้บาร์เซโลนาเข้ารอบ 16 ทีมมาด้วยสถิติที่ดีกว่า
เชลซีแพ้ในเกมลีกติดต่อกัน 2 นัด โดนบอร์นมัธถล่มในบ้าน 3-0 และออกไปแพ้วัตฟอร์ดในลอนดอนดาร์บี้แมทช์ 4-1 ก่อนจะมาฟื้นตัวในนัดเปิดบ้านเอาชนะเวสต์บรอมวิช 3-0 และชนะฮัลล์ ซิตี้ 4-0 ในศึกเอฟเอคัพรอบ 4 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แม้ว่าสไตล์การเล่นของบาร์เซโลนาในปัจจุบันจะไม่ใช่ทีมที่เล่นเกมบุกเป็นสรณะเหมือนยุคของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา และ หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ตาม
แต่บัลเบร์เด้ กุนซือคนใหม่ของทีมก็สามารถพาทีมต่างดาวโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้แนวทางการเล่นเกมรับเหนียวแน่นเป็นหลัก ทำให้พวกเขาเสียไปเพียง 11 ประตูจาก 24 นัด นำเป็นจ่าฝูงทิ้งห่างแอตเลติโก มาดริด อยู่ 7 คะแนนในขณะนี้