ผ่านมรสุมชีวิต! "บัวขาว" กับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 "ค่ายบัญชาเมฆ"
หยุดเถอะ! ยอมรับความจริงน้อง!...เลิกต่อยได้เเล้ว แขวนนวมซะ ความหวังดีที่กลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดเหล่านี้ เป็นหนึ่งในร้อยถ้อยคำชี้แนะที่ส่งตรงมาถึงบัวขาว ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากปลายสายโทรศัพท์ หรือ คำบอกกล่าว เล่าต่อผ่านตัวอักษรทางสื่อสิ่งพิมพ์และหน้าจอโทรทัศน์ที่ถาโถมเข้ามา
เพราะช่วงเวลานั้น เมื่อปี พ.ศ.2552 บัวขาวในวัย 27 ปี ถูกประเมินจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆในวงการมวยว่า กรำศึกบนสังเวียนผืนผ้าใบมายาวนานเกินกว่าค่อนชีวิต (ถ้านับการเริ่มชกมวยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ) มันถึงเวลาอันสมควร ที่บัวขาวต้องแขวนนวมแล้ว? เป็นตำนานได้เเล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ ตลอดมา 10 กว่าปี
แต่คำตอบของบัวขาว คือ มันยังไม่ถึงเวลา!!! ถ้าเราหยุดตามที่เขาว่าถ้าเชื่อเขาเท่ากับทำลายความฝันของเรา ชีวิตเราเรารู้ตัวเองดีกว่าใคร เพราะภาพแห่งความสำเร็จที่เขาวาดฝันไว้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การกำชัยชนะและยุติชีวิตนักสู้กำปั้นในทันทีเพียงเพื่อหวังจะได้รับการจารึกชื่อว่าเป็น “ตำนานนักชกศึกเควัน” แห่งประเทศไทย เจตนารมณ์ของบัวขาวที่แท้จริง คือการยืนหยัดอยู่บนเส้นทางวิชาชีพมวยให้ยาวนานที่สุด ออกประลองศึกกับนักชกทั่วสารทิศ หวังสั่งสมประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดโดยไม่ยึดติดคำว่า “ชนะ” หรือ “แพ้”
หรือเดินทางไปสัมมนาสอนมวยไทยไปเกือบทุกมุมโลกแล้ว พร้อมๆกับการเผยแพร่ศิลปะแม่ไม้มวยไทย ศาสตร์แห่งการต่อสู้ของชนชาติไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก เมื่อนั้น รางวัลแห่งความสำเร็จที่ล้ำค่าที่สุด คือความภาคภูมิใจจากการเลี้ยงชีพด้วยหมัดมวยอย่างสุจริต และเป้าหมายขั้นสูงสุดของชีวิต เขาใฝ่ฝันที่จะก่อตั้งสถาบันการศึกษาถ่ายทอดวิชามวยไทยให้คงอยู่คู่ประเทศชาติสืบไป พร้อมกับการใช้ชีวิตกับธรรมชาติแบบพอเพียง ที่เพียงพอ กับชุมชน
เมื่อบัวขาวไม่ถอดใจ ไฟต์แรกที่ “บัวขาว” ผนึกกำลังกับ “ยิ้ม” (ว่าที่ร้อยโทธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้ม) ผู้รับหน้าที่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาประจำตัว ก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลาง สภาพร่างกายที่บาดเจ็บรุมเร้า กำลังใจที่เหลือน้อย ความมุ่งมั่นฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายบนหลักการทางวิชาการอย่างเป็นระบบ สะท้อนผลงานออกมา กลายเป็นไฟต์ในตำนาน “บัวขาว” เกือบแพ้น็อก “อังเดร ดีด้า” นักชกชาวบราซิล แต่ฮึดลุกขึ้นสู้เดินหน้าออกอาวุธพลิกกลับมาชนะได้ ในศึก K-1 World Max 2009 ที่เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2552
จากนั้น การต่อสู้บนสังเวียนดำเนินเรื่อยมาอย่างดุเดือด พอๆกับมรสุมชีวิตนอกสังเวียนที่บัวขาวต้องเผชิญในปีพ.ศ.2555 จนกระทั่งผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆมาได้ และการก่อตั้ง “ค่ายบัญชาเมฆ” ถือกำเนิด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2555
ปฐมบทแห่งค่ายบัญชาเมฆเปิดฉากขึ้น บัวขาวไล่ล่าเก็บเกี่ยวองค์ความรู้บนเวทีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปพัฒนาตนเองพร้อมๆกับความสนุกในการดวลคู่ต่อสู้เพื่อสร้างความสุขแก่แฟนมวย ขณะเดียวกัน บัวขาวได้จัดสรรเวลาไขว่คว้าโอกาสด้านการศึกษา คว้าปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต รวมถึงการให้ความร่วมมือกับนักวิชาการ
ก่อเกิดผลงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่เป็นประโยชน์ นำมาสู่เกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่แก่บัวขาวและวงศ์ตระกูล คือการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาบัตร ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอก) สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค (กลุ่มวิชาการศึกษาและภูมิปัญญา) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ขณะนี้ บัวขาว ที่ย่างก้าวเข้าสู่วัย 36 ปีเต็มในเดือนพฤษภาคม ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับยิ้ม ธีรวัฒน์ เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์การกีฬาและผู้จัดการส่วนตัว ผ่านสมรภูมิกำปั้นมาถึง 57 ไฟต์ ชนะ 52 ครั้ง ซึ่งชนะน็อกถึง 18 ครั้ง ได้เข็มขัดแชมป์โลกมวยไทยสถาบันต่างๆถึง10 เส้น และแพ้เพียง 4 ครั้งเป็นการแพ้แบบน่ากังขาทั้ง4 ครั้งถ้าบุคคลที่ติดตามจะทราบดี
ไม่เพียงเท่านั้น ความฝันที่ดูเหมือนอยู่ไกล บัวขาวเริ่มขยับเข้าไปใกล้ จาก “ค่ายบัญชาเมฆ” ที่ค่อยๆเติบโตขึ้นมาเป็นระยะเวลา 6 ปีเต็ม บัวขาวยกระดับค่ายบัญชาเมฆ ก้าวไปสู่ปีที่ 7 ด้วยการโยกย้ายฐานปฏิบัติการไปอยู่ที่โครงการ “บัวขาว วิลเลจ” อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ เดินหน้าตามแผนในการก่อตั้งสถาบันการศึกษาวิชามวยไทยและมวยสากล รองรับนักเรียนและนักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ชายเลือดนักสู้ชาวจังหวัดสุรินทร์คนหนึ่ง ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เพราะวันนั้น เสียงคำแนะนำ เตือน วิพากษ์ วิจารณ์ ต่างๆนานาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา จาก ผู้หลักผู้ใหญ่จากผู้คนมาหลายวงการ และวงการมวยตลอดมา ว่าหยุดๆๆๆๆ พอได้เเล้ว เป็นตำนานเเบบ คนนั้นคนนี้เถอะ ยุติได้เเล้ว เขาตัดสินใจ “ไม่หยุด”และมั่นใจในคำตอบที่ว่า “มวยไทยคือชีวิตผม ผมจะหยุดทำไม” และอาศัย “พลังศรัทธา” ต่อลมหายใจ
จากวันนั้น “บัวขาว วิลเลจ” ที่ล่องลอยอยู่ในจินตนาการ จึงผุดขึ้นมาอยู่บนโลกแห่งความจริง ซึ่งกำลังจะกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์แห่งวิชาชีพนักมวย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เงียบสงบตามแบบฉบับชีวิตอันเรียบง่ายของผู้ชายที่ชื่อ “บัวขาว บัญชาเมฆ”