เก็บตกอุ่นเครื่องทีมชาติ! สถิติที่ถูกหยุดของอินทรี, "อิสโก" กับแฮตทริค และอียิปต์ที่ไม่มี "ซาลาห์"

เก็บตกอุ่นเครื่องทีมชาติ! สถิติที่ถูกหยุดของอินทรี, "อิสโก" กับแฮตทริค และอียิปต์ที่ไม่มี "ซาลาห์"

เก็บตกอุ่นเครื่องทีมชาติ! สถิติที่ถูกหยุดของอินทรี, "อิสโก" กับแฮตทริค และอียิปต์ที่ไม่มี "ซาลาห์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จบลงไปแล้วสำหรับสัปดาห์ทีมชาติของฟีฟ่า หรือ ฟีฟ่าเดย์ ซึ่งในสัปดาห์นี้เป็นคิวของการเตะกระชับมิตรของชาติยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สเปน บราซิล อาร์เจนตินา เยอรมนี อุรุกวัย ซึ่งแต่ละทีมก็มีผลลัพธ์ในแบบที่แตกต่างกันออกไป 

 แต่ไม่ไหวผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีก 3 เดือนให้ได้เตรียมตัวกัน และสำหรับบางทีม แล้ว หากพวกเขาต้องการที่จะไปได้ไกลกว่าที่พวกเขาหวัง พวกเขาควรต้องเริ่มหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เสียที

 และนี่คือบทสรุปแต่ละแมตช์ที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ไปดูกันดีกว่าครับว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

13. ไทย 2-3 สโลวาเกีย, ช้างศึก ยังไว้ลายแม้ทำได้เพียงรองแชมป์ คิงส์คัพImage by Tomorn

ทีมชาติไทย ไม่สามารถต่อกรความเคี่ยวของ สโลวาเกีย ผู้มาเยือนได้ไหว ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปก่อนและไม่สามารถไล่กลับมาได้ทันจนพบกับปราชัยที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ไป 3-2

 ธีรศิลป์ แดงดา กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าพึงพอใจหลังจากไปชุบตัวในศึก เจลีก ขณะที่ ธีราทร บุญมาทัน ดูจะขาดความมั่นใจหลังจากไม่ได้ลงเล่นกับ วิสเซิล โกเบ มากเท่าที่ควร

 นอกจากนี้ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ มิดฟิลด์ไดนาโมก็บัญชาเกมในแดนกลางได้อย่างโดดเด่น ขณะที่สองเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว กับ พรรษา เหมวิบูลย์ ก็น่าจะเป็นกำลังหลักในแดนหลังของทัพ ช้างศึก ได้อีกนาน

12. เวียดนาม-ฟิลิปปินส์ ตามไทยฉลุย เอเชียนคัพ รอบสุดท้าย-/GettyImages

เวียดนาม กับ ฟิลิปปินส์ เป็นสองชาติเพื่อนบ้าน อาเซียน ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายศึก เอเชียน คัพ 2019 ที่ สหรัฐอาหรับ อมิเรตส์ ร่วมกับ ทีมชาติไทย หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันรอบคัดเลือก

 ทัพดาวแดง เสมอกับ จอร์แดน 1-1 ลอยลำเข้ารอบตั้งแต่ก่อนการแข่งขันนัดสุดท้ายเมื่อคะแนนของพวกเขานำขาดทีมเพื่อนร่วมกลุ่มเรียบร้อย ขณะที่ ดิอัซกาลส์ พลิกกลับมาเอาชนะ ทาจิกิสถาน คู่แข่งที่ต้องการชัยชนะเพื่อลุ้นเข้ารอบได้สำเร็จ 2-1 หลังจากตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปก่อน

 เมียนมาร์ เป็นชาติที่ทำผลงานได้ดีเป็นลำดับรองลงมาแต่ไม่เพียงพอให้ผ่านเข้ารอบได้เมื่อคว้าอันดับ 3 ในกลุ่ม เอ ส่วน มาเลเซีย, กัมพูชา และ สิงคโปร์ ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังเมื่อรั้งบ๊วยในรอบคัดเลือก รอบแบ่งกลุ่มนี้

11. อุรุกวัย 1-0 เวลส์, นัดที่ 100 ของคาวานี และความพ่ายแพ้นัดแรกของ ไรอัน กิ๊กส์-/GettyImages

มีเพียงประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้ และก็เป็นศูนย์หน้าจาก PSG ที่ทำได้ โดยประตูของ คาวานี เกิดขึ้นหลังเริ่มต้นครึ่งหลังไม่กี่อึดใจ เป็นการฉลองนัดที่ 100 กับอุรุกวัยได้อย่างเยี่ยมยอด  

 ศูนย์หน้าตัวอันตรายอีกคนอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ก็เกือบทำได้เหมือนกัน แต่เขายิงชนเสาไป 2 ลูก ดูท่าแล้ววันนี้คงเป็นวันของ คาวานี จริง ๆ 

 ด้านลูกทีมของ ไรอัน กิ๊กส์ เองจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แกเรธ เบล และ แอนดี้ คิง มีโอกาสทำประตูให้ 'มังกรแดง' ได้กลับมาหายใจบ้าง แต่สุดท้ายก็เป็นแชมป์โลก 2 สมัยที่ทำได้เนียนกว่า คว้าถ้วยไชน่าคัพไปครอง 

 น่าเสียดายแทน เวลส์ อยู่เหมือนกัน ฟอร์มแบบนี้เอาตัวรอดในฟุตบอลโลกได้สบาย 

10. โปรตุเกส 0-3 เนเธอร์แลนด์, โรนัลโด้ ไม่อาจแบกทีมคนเดียวไหว และยุคใหม่ของ อัศวินสีส้มFABRICE COFFRINI/GettyImages

คริสเตียโน โรนัลโด้ ไม่อาจช่วยให้ทัพ ฝอยทอง รอดพ้นจากความปราชัยเละเทะต่อ อัศวินสีส้ม ได้กับสกอร์ 3-0

 ทัพกังหันลม ภายใต้การคุมทีมนัดที่สองของ โรนัลด์ คูมัน ดูจะมีอนาคตที่สดใสเมื่อ เมมฟิส เดปาย, ไรอัน บาเบล และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เรียงหน้าซัลโวให้กับทีม

 นอกจากนี้อีกหนึ่งไฮไลท์ของเกมคือการลงประเดิมสนามให้กับทัพ ออรันเย ของ จัสติน ไคลเวิร์ท ในวัย 18 ปีเท่ากับอายุตอนที่พ่อของขัน แพทริค ไคลเวิร์ต ลงเล่นนัดแรกในนามทีมชาติ

9. ญี่ปุ่น 1-2 ยูเครน ทัพซามูไรถึงคราวเครียด หลังชนะ 2 ครั้ง จาก 7 เกมหลังสุดDean Mouhtaropoulos/GettyImages

ในฟุตบอลโลกปี 2018 นี้ ญี่ปุ่นถูกจัดให้อยู่ร่วมกลุ่มกับ โคลอมเบีย เซเนกัล และ โปแลนด์ ในกลุ่ม H ซึ่งไม่ใช่งานง่ายเพราะแต่ละทีมล้วนมีสตาร์ดัง ๆ นำทัพทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็ ฆาเมส โรดริเกซ ซาดิโอ มาเน หรือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

 แต่การสะดุดเสมอกับมาลี 1-1 และแพ้ ยูเครน 1-2 มันส่งสัญญาณบางอย่างว่า พวกเขายังไม่พร้อมกับเกมฟุตบอลโลกในครั้งนี้ จริงอยู่ที่ดูเหมือนว่าการจัดทัพของ วาฮิด ฮาลิฮ็อดซิช จะเน้นไปที่การลองทีมแบบใหม่ โดยเฉพาะการใช้ 2 ประสานอย่าง เคนยู สึกิโมโตะ และ กาคุ ชิบาซากิ แล้วใช้ตัวประสบการณ์สูงอย่าง เคย์สึเกะ ฮอนดะ และ เก็งกิ ฮารากุจิ เติมเกมรุกทางกราบซ้ายขวา แต่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าไม่ได้ผลที่น่าพอใจเท่าไหร่ 2 ประตูที่เสียก็เกิดจากการประกบพลาดของฟูลแบ็คที่สู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไซส์ตัว หรือ สปีดที่ช้ากว่าก็ตาม

 คิดในแง่ดี พวกเขายังไม่ได้เรียกใช้บริการนักเตะดี ๆ อีกหลายราย ทั้งดาวซัลโวของทีมอย่าง ชินจิ โอกาซากิ เพลย์เมกเกอร์มืออาชีพอย่าง ชินจิ คางาวะ หรือตัวรุกฟอร์มดีอย่าง ฮิโรชิ คิโยตาเกะ กับ ทาคาชิ อินุอิ แต่โดยรวมแล้วพวกเขาก็ยังคงห่างชั้นทีมอย่างโคลอมเบียและโปแลนด์อยู่ดี ส่วนเซเนกัลเองก็มีตัวความเร็วสูงกับกองหน้าตัวใหญ่ ๆ อย่าง ซาดิโอ มาเน, มาเม ดิยุฟ, เอ็มบาเย เนียง, ดิอาฟรา ซาโก้, มุสซา โกนาเต้ หรือ เกต้า บัลเด้ อยู่เต็มทีม

 หาก ฮาลิฮ็อดซิส ยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ทีมได้ ทัพซามูไรปีนี้คงได้ตกรอบแรกเช่นเคย

8. รัสเซีย 1-3 ฝรั่งเศส, วันที่ ป็อกบา คืนฟอร์ม กับงานหนักที่รออยู่ของ หมีขาวFRANCK FIFE/GettyImages

คิลิยัน เอ็มบัปเป้ แผลงฤทธิ์เหมาสองประตู บวกกับอีกหนึ่งลูกฟรีคิกของ ปอล ป็อกบา ช่วยให้ ตราไก่ บดเอาชนะ หมีขาวไปได้ 3-1

 โดยเกมดังกล่าวเป็นนัดแรกของ ปอล ป็อกบา ในทีมชาติฝรั่งเศสที่เขาสามารถทั้งยิงประตูและแอสซิสต์ได้ในเกมเดียวกัน

 รัสเซีย ยังคงต้องปรับจูนทีมของพวกเขาให้ลงตัวมากกว่านี้หากหวังที่จะประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ

7. อียิปต์ 0-0 กรีซ, ศึกตำนานเทพเจ้าในวันที่ไร้เทพเจ้าRobert Hradil/GettyImages

พูดตามตรง เกมของอียิปต์ในวันที่ไร้เงา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ค่อนข้างน่าเบื่อทีเดียว

 เอคตอร์ ราอูล คูเปร์ ตัดสินใจพักปีกพ่อมดจาก ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ ส่ง มาร์วัน โมห์เซ็น กับ ฮอสซัม อาชูร์ จาก อัลอาห์ลี (อียิปต์) และ  โมอาเม็น ซากาเรีย จาก อัลอาห์ลี (ซาอุฯ) ลงสนามในแนวรุก แล้วใช้ 3 ตัวกลางจากลีกอังกฤษอย่าง โซบี (สโต๊ค) เอลเนนี (อาร์เซนอล) และ เอลโมฮามาดี้ (แอสตัน วิลลา) บัญชาเกม ในขณะที่กรีซเองพักแข้งหลักหลายราย โดยเฉพาะศูนย์หน้าหมายเลข 1 อย่าง คอสตาส มิโตรกลู จาก โอลิมปิก มาร์กเซย์ 

 ผลคือ เกมนี้จืดสนิท ทั้งเกมมีโอกาสยิงรวมกันแค่ 1 ครั้ง และมันก็เป็นประตูซะด้วย เมื่อย้อนดู 5 เกมหลังสุดของกรีซ พวกเขาชนะ 2 ก็จริง แต่คู่แข่งของพวกเขาคือยิบรอลตาร์กับไซปรัสนะ 

 พวกเขาทำได้ดีกว่านี้มากในเกมกับโปรตุเกส และนั่นทำให้ คูเปร์ ต้องกลับไปทบทวนอีกครั้งแล้วว่า หากพวกเขาอยากจะไปให้ลึกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ พวกเขาต้องมีทีเด็ดมากกว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์

6. เบลเยียม 4-0 ซาอุดิอาระเบีย, ปีศาจแดงแห่งยุโรป ยังคงรอบบททดสอบที่แท้จริงEMMANUEL DUNAND/GettyImages

หนึ่งในทีมที่น่าจะเป็นม้ามืดในศึก ฟุตบอลโลก อย่าง เบลเยียม ไว้ลายถล่มเอาชนะ ซาอุดิอาระเบีย ไปด้วยสกอร์ 4-0 จากสองประตูของ โรเมลู ลูกากู, หนึ่งลูกจาก มิทชี บาตชัวยี และ ปิดท้ายด้วย เควิน เดอ บรอยน์

เราแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นโปรแกรมของ ปีศาจแดงแห่งยุโรป อุ่นเครื่องกับ เศรษฐีน้ำมัน แม้จะไม่สามารถตัดสินอะไรได้มากนักจากความแตกต่างของชื่อชั้นผู้เล่นที่พวกเขามี

 ดูท่าอาจจะต้องรอการอุ่นเครื่องกับ โปรตุเกส, อียิปต์ และ คอสตาริกา เพื่อเช็คความพร้อมครั้งสุดท้ายของพวกเขาก่อนหน้าศึกฟุตบอลโลกจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

5. บราซิล 1-0 เยอรมนี แซมบ้าถอนแค้นสำเร็จ กับแนวรุกอินทรีเหล็กที่ไม่ลงตัวROBERT MICHAEL/GettyImages

นับตั้งแต่พ่ายให้กับฝรั่งเศสในฟุตบอลยูโร 2016 รอบรองชนะเลิศ พวกเขาไม่แพ้ใครมาตลอดเกือบ 2 ปีเต็ม และตอนนี้ เยอรมนี ก็สะกดคำว่าแพ้เป็นแล้ว และทีมที่ทำได้ก็คือคู่รักคู่แค้นในเวทีโลกอย่าง บราซิล ซะด้วย

 ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่นับการเจอกันของทั้ง 2 ทีมว่าเป็นนัดหยุดโลก ทั้งคู่คือทีมที่ครองแชมป์โลกมากสุด 2 ทีม (บราซิล 5 สมัย เยอรมนี 4 สมัย) และการเจอกันแต่ละครั้งก็สร้างวีรกรรมทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้เตรียมล้างแค้นกันทั้งนั้น อย่างบราซิลที่อัดเยอรมนี 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลโลก 2002 พวกเขาก็โดนถอนแค้นคือแบบทบต้นทบดอกในรอบรองฯ ฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ถล่มขาดลอย 7-1 คราวนี้เป็นตาของบราซิลบ้าง

 การใช้บริการ กาเบรียล เชซุส สร้างความแตกต่างได้อีกครั้ง เขายังสด ไว ขยัน และไหวพริบดีไม่แพ้ตัวรุกคนอื่น ๆ ของทัพแซมบ้า ทั้ง ๆ ที่พูดกันตามตรงว่า ตำแหน่งนี้มีโอกาสสูงที่จะตกเป็นของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน มากกว่าหากดูจากฟอร์มในเกมกับสโมสร นอกจากนี้ การใช้ ฟิลิปเป้ คูตินโญ กับ วิลเลียน ในฐานะปีก 2 ข้างแล้วโชว์ฟอร์มออกมาได้ดี ก็อาจจะทำให้ ติเต้ เฮดโค้ช ของทีมต้องกุมขมับ เพราะตอนนี้บราซิลมีแต่นักเตะดี ๆ เต็มทีมไปหมด เลือกไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว ฟุตบอลโลกรอบนี้อาจเป็นบราซิลที่ได้ชูถ้วยสมัยที่ 6 ก็เป็นได้

 กลับกัน เยอรมนีที่เคยอยู่ในสถานะเดียวกัน สถานะที่มีแต่นักเตะดี ๆ เต็มทีมจนเลือกไม่ถูกนั้น วันนี้อาจจะต้องมานั่งกรองกันใหม่เสียแล้ว หน้าเป้าอย่าง มาริโอ โกเมซ ที่มีทั้งประสบการณ์และสัญชาติญาณ ในเกมนี้เขาถูกปล่อยให้ค้ำด้านหน้าอย่างโดดเดี่ยว ไม่ใช่ว่าตัวเสริมเกมรุกอย่าง เลอรอย ซาเน, ยูเลียน แดร็กซ์เลอร์ หรือ ลีออน เกอเร็ทซ์ก้า เล่นไม่ดี แต่พวกเขาไม่ใช่สไตล์ป้อนบอลให้กองหน้า เน้นสร้างเกมด้วยตัวเองมากกว่า งานของแนวรับบราซิลเลยกินหมูคราวนี้

 กระชับมิตรรอบต่อไปของเยอรมนีจะไม่ใช่การหานักเตะที่เล่นกับทีมได้ดีที่สุดอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นการกำจัดจุดอ่อน คัดคนที่ไม่เข้ากับทีมออกไปทีละคนมากกว่า

  4. โปแลนด์ 3-2 เกาหลีใต้,​ ซ้อมใหญ่ก่อนศึก ฟุตบอลโลกANDRZEJ IWANCZUK/GettyImages

แข้งแดนโสม เกือบคว้าผลเสมอจากจากรัง โปแลนด์ ออกมาได้หลังตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 2-0 โดยพวกเขามาไล่ตีเสมอได้ทันใน 5 นาทีสุดท้ายของเกม แต่ก็พลาดท่าโดนทีเด็ด ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้ มิดฟิลด์จาก นาโปลี ยิงไกลสุดสวยเป็นประตูชัยให้กับเจ้าถิ่นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 นับว่าเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเกมฟุตบอลโลกที่วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีสำหรับทั้งสองทีม เมื่อ โปแลนด์ อยู่ร่วมกลุ่มกับ ญี่ปุ่น ในกลุ่ม เอช ขณะที่ เกาหลีใต้ จะต้องดวลกับ สวีเดน กลุ่ม เอฟ

3. โคลอมเบีย 0-0 ออสเตรเลีย, ก้าวกระโดดของจิงโจ้ และงานที่ต้องแก้ของ เพเคอร์มันน์OLLY GREENWOOD/GettyImages

ออสเตรเลียเข้ารอบมาเล่นฟุตบอลโลกในปีนี้ได้อย่างหวุดหวิด หลังต้องไปลุ้นเพลย์ออฟถึง 2 ครั้งด้วยการจบอันดับ 3 จากกลุ่ม B ในโซนเอเชีย และด้วยการแพ้คู่แข่งอย่างนอร์เวย์ 1-4 ยังไงเกมนี้พวกเขาก็น่าจะโดนถล่มอีกครั้ง 

 ต้องชื่นชม เบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ค โค้ชชาวดัตช์ปรับทัพจากเกมที่แล้วถึง 5 ราย แบรด โจนส์ อดีตนายทวารสำรองหงส์แดงได้ลงเป็นตัวจริงในรอบ 4 ปี ทอมมี ยูริช ลงหน้าเป้าแทน แอนดรูว์ นอบเบาท์ นอกจากนี้ยังมี มัสสิโม ลูอองโก้ ทอมมี โรกิช และ จอช ริสดอน ลงตัวจริง ในขณะที่ แอรอน มูย จอมทัพจากพรีเมียร์ลีกต้องหายไปจากสนามจากอาการบาดเจ็บในเกมที่แล้ว 

 กลับกัน โคลอมเบียที่มีสตาร์ดังเต็มทีม ไม่ว่าจะเป็น ฆาเมส โรดริเกซ จากบาเยิร์น มิวนิค  คาร์ลอส บัคคา จาก บียาร์เรอัล ราดาเมล ฟาลเกา จาก โมนาโก คริสเตียน ซาปาต้า จาก เอซี มิลาน หรือ ดาบิด ออสปินา จาก อาร์เซนอล แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลวงแนวรับของออสเตรเลียได้ และต้องจบเกมกระชับมิตรเดือนนี้ไปแบบเซ็ง ๆ 

2. อังกฤษ 1-1 อิตาลี, สิงโต ยังโอเคแม้โดน อัซซูรี ไล่ตีเจ๊าIAN KINGTON/GettyImages

นัดที่ ทัพสิงโตคำราม โรเตชันนักเตะในทีมลงสนามเพื่อทดสอบผู้เล่นก่อนจะถึงคิวส่งชื่อนักเตะเข้าร่วมศึก ฟุตบอลโลก ในซัมเมอร์นี้ นักเตะอย่าง เจมส์ ทาคอฟสกี้ ได้โอกาสประเดิมสนาม เช่นเดียวกับ แจ็ค บัตแลนด์ ที่ได้รับเลือกให้เฝ้าเสาในเกมดังกล่าว

 อังกฤษ มาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะฉวยโอกาสเล่นเร็วอย่างชาญฉลาดของ เจสซี ลินการ์ด ที่จ่ายให้ เจมี วาร์ดี้ หลุดไปซัดเต็มข้อเป็นประตูเบิกร่อง ก่อนที่จะอกหักโดนประตูตีเสมอจากลูกจุดโทษที่ ทาคอฟสกี้ ไปทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินใช้ วีเออาร์ ก่อนจะเป่าเป็นจุดโทษ โดย ลอเรนโซ อินอินเญ สังหารไม่พลาด

 หลังจากเกมนี้ เราคาดว่า จอร์แดน พิคฟอร์ด น่าจะมีภาษีดีที่สุดในตำแหน่งผู้รักษาประตูหลังจากที่เขาสามารถทำให้ทีมมีความหลากหลายในการเซ็ตเกมจากแดนหลังมากกว่า ขณะที่แดนหน้า-แดนกลางก็มีตัวเลือกที่หลากหลายให้ เซาธ์เกต เลือกใช้งาน เช่นเดียวกับแนวรับที่ทำได้น่าพอใจในเกมอุ่นเครื่องทั้งสองนัดในสัปดาห์นี้

1. สเปน 6-1 อาร์เจนตินา, อิสโก้ ฮ็อทแบบสุด ๆ ในขณะที่รองแชมป์เก่าต้องกลับไปเตรียมตัวใหม่อีกครั้งDavid Ramos/GettyImages

ค่ำคืนที่ วันด้า เมโตรโปลิตาโน ไม่ใช่อย่างที่หลาย ๆ คนจะวาดฝันไว้  

 อย่างแรก อิสโก้ โชว์ผลงานได้อย่างที่มันควรจะเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าเขาจะได้บอลในลักษณะแบบไหน มิดฟิลด์จากเมืองหลวงทำให้มันกลายเป็นเรื่องง่ายไปหมด และ 3 ประตูที่เกิดขึ้นในเกมนี้ก็ช่วยอัพค่าตัวของเขาได้อย่างดีทีเดียว  

 ทีมชาติสเปนของ ฆูเลน โลเปเตกี กำลังเข้าร่องเข้ารอยขึ้นเรื่อย ๆ และการไม่มีว่าที่มือ 1 ในตำแหน่งศูนย์หน้าอย่าง อัลบาโร โมราต้า ก็ดูจะไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ดิเอโก้ คอสต้า และ ยาโก้ อัสปาส เองก็โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ไม่นับรายที่เล่นได้ปกติอยู่แล้ว ทำให้แชมป์โลกเมื่อ 8 ปีก่อนน่าจะกลับมามีความหวังอีกครั้งในปีนี้ 

 ขณะเดียวกัน รองแชมป์เก่าเมื่อฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดกลับโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวัง ถึงสเปนและอิสโก้ จะโชว์ฟอร์มเข้าตาขนาดไหน พวกเขาก็ไม่ควรจะแพ้หลุดลุ่ยถึง 1-6 โดยเฉพาะเมื่อคนที่เล่นดีที่สุดและทำประตูได้คือ นิโคลาส โอตาเมนดี้ ที่เป็นกองหลังเสียด้วย ดูเหมือนว่าการขาด ลิโอเนล เมสซี จะเริ่มสร้างปัญหาที่ชัดเจนขึ้นมาแล้ว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook