"5 เรื่องต้องรู้" หลัง "หงส์แดง" ผงาดเข้ารอบตัดเชือกถ้วยใหญ่ยุโรป
ทำเอาแฟนบอลหายใจไม่ทั่วท้องสำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขาบุกมาโดนนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 2 แถมเกมเป็นรองแบบชัดเจน
อย่างไรก็ตาม พวกเขามาเร่งเครื่องแซงยิงในครึ่งหลัง 2 เม็ดจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ช่วยให้ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทะลุเข้ารอบรองฯ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่คืนเวทีบอลทวีปถ้วยใหญ่อีกครั้ง
และนี่คือ 5 สิ่งที่คุณไม่ควรพลาดที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แต่ละประเด็นจะมีอะไรบ้าง ต้องเลื่อนลงไปอ่านกันหน่อย !
5. สัญชาตญานของ ซาลาห์
จังหวะที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูตีเสมอนั้น หากเป็น ซาลาห์ คนเก่า หรือเป็นกองหน้าคนอื่น ลิเวอร์พูลอาจจะยังตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้
จังหวะดังกล่าวขึ้นในนาทีที่ 56 เมื่อ ซาดิโอ มาเน ได้บอลลุยเข้าไปในเขตโทษ ก่อนโดนเบียดล้มลงโดย 2 กองหลังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การล้มของ มาเน นั่นค่อนข้างจะทิ้งตัวไปหน่อย และยังไงก็ไม่น่าจะได้ลูกโทษแน่ ๆ แต่ โม ซาลาห์ กลับเลือกที่จะเล่นบอลต่อจากจังหวะนั้น ก่อนจะมีดึงหลอกล่อ เอแดร์สัน และ โอตาเมนดี้ นิด ๆ ก่อนชิพข้ามหัวพวกเขาเข้าไป
หาก ซาลาห์ เลือกที่จะหยุดหวังรอเอาฟาวล์แบบที่เกิดขึ้นกับ ฟาน ไดค์ ในครึ่งแรก พวกเขาออาจจะบไม่สวยก็ได้ในเกมนี้
4. แฟร์นันดินโญ คือหัวใจของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ตำแหน่งกลางรับเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของทีม เป็นเหมือนทางเข้าออกของบอล และคนที่จะตัดสินว่าบอลจะไปอยู่ในแดนไหนก็คือผู้เล่นตำแหน่งนี้ ซึ่ง แฟร์นันดินโญ นั้นกินขาด
ในครึ่งแรก เราแทบไม่ได้เห็นการทำเกมบุกของ ลิเวอร์พูลเลย เพราะมิดฟิลด์ชาวบราซิลดักทางไว้ได้หมด เขาเหมือนกับยามเฝ้าประตูที่คอยดักเกมรุกอันน่ากลัวของลิเวอร์พูลเอาไว้ตั้งแต่กลางสนาม ก่อนจะคอยป้อนบอลไปใ้หทีมเกมรุกที่รอทำเกมอยู่แล้วอย่าง เดอ บรอยน์, ซาเน หรือ สเตอร์ลิง
การจ่ายให้ สเตอร์ลิง วิ่งไปเอาบอลตรงพื้นที่ว่างนั้นทำได้พอดีสุด ๆ น่าเสียดายที่ทีมของเขาต้องเป็นผู้แพ้ในเกมนี้
3. แท็คติคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
หลังรายชื่อ 11 ตัวจริงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกประกาศออกมา มันได้สร้างความฉงนให้กับใคร ๆ หลายคนที่ตามดูคู่นี้อยู่เป็นแน่
เป๊ป ตัดสินใจส่งกองหลัง 3 คน ได้แก่ วอล์กเกอร์, ลาปอร์ต และ โอตาเมนดี้ ลงสนาม ซึ่งการใช้ วอล์กเกอร์ ในฐานะเซ็นเตอร์นั้นแปลกเอามาก ๆ เพราะเขาไม่ใช้เซ็นเตอร์ธรรมชาติ หรือหาก เป๊ป จะเล่นกองหลัง 4 นั่นหมายความว่าเขาต้องดันเอา แฟร์นันดินโญ ลงไปเล่นคู่ โอตาเมนดี้ ซึ่งก็ไม่น่าจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาในเมื่อเขามี ก็อมปานีให้เลือกใช้ตั้งแต่แรก
แต่เมื่อเกมเปิดฉากขึ้น เราก็ได้เห็นผลงานของมันทันที เป๊ป ตั้งใจส่งตัวรุกลงสนามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หวังที่จะให้ ลิเวอร์พูล ต้องพะวงกับเกมรับจนไม่มีโอกาสบุก แฟร์นันดินโญ ทำหน้าที่อยู่กลางสนาม หากโดนสวน เขาก็จะกลายเป็นแบ็คโฟร์ เมื่อทำเกมรุก เขาก็จะขึ้นมาเป็นสวีปเปอร์อยู่หน้า 3 กองหลังอีกที ไม่ก็ แทนตำแหน่งของ วอล์กเกอร์ เวลา วอล์กเกอร์ทำเกมบุกชั่วคราว
การที่แผนของ เป๊ป ยืดหยุ่นแบบนี้ กอปรกับการได้ประตูขึ้นนำเร็ว และแผงมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ที่เคลื่อนที่ช้ากว่า เรือใบสีฟ้า จึงไม่เจอปัญหามากนักในครึ่งแรก แต่การเสีย เป๊ป ไปในครึ่งเวลาหลังนี่แหละที่น่าจะทำให้ทีมเริ่มเสียกระบวน ก่อนจะพ่ายไปในที่สุด
2. โชคของ มาเน
มาเน มีปัญหาเรื่องการยับยั้งตัวเองในจังหวะเข้าปะทะอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม ลิเวอร์พูล ผลบอล 5-0 ซาดิโอ มาเน โดนไล่ออกเพราะไปกระโดเตะใส่หน้าของ เอแดร์สัน จากการพยายามยิงประตูของเขา
เกมนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เกมเริ่มไม่กี่นาที มาเน ก็จัดการเข้าหนักใส่ เควิน เดอ บรอยน์ ซะแล้ว โชคดีที่ผู้ตัดสินยังปราณีไม่แจกอะไรให้ทั้งนั้น
มาเน เข้าไปเสี่ยงกับการโดนไล่ออกอีกครั้ง หลังเปิดปุ่มใส่ โอตาเมนดี้ ซึ่งลำพังการหงายปุ่มสตั๊ดใส่เพื่อนร่วมอาชีพก็เสี่ยงโดนไล่ออกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์นี้มันดันไปแทงใจดำของ แอแดร์สัน ที่เคยโดน มาเน ฟาดหัวแตกมาก่อน ก่อนทั้งคู่จะมีปากเสียงกันในจังหวะต่อมา โชคยังดีที่พวกเขาแค่โดนใบเหลืองเท่านั้น
และทั้ง ๆ ที่ติดใบเหลืองอยู่นี่แหละ มาเน เข้าเสียบ
1. จอมถล่มประตู
ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน ได้รางวัแห่งความพยายามในที่สุด หลังจากที่พวกเขาโดนตัดออกจากเกมไปเลยในครึ่งแรก
ประตูของทั้งคู่ในเกมนี้ช่วยให้พวกเขายิงไปแล้ว 9 ประตูใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดชิ้นใหม่ที่นักเตะ ลิเวอร์พูล ทำได้
เมื่อร่วมกับ ซาดิโอ มาเน แล้ว ตอนนี้ 3 ประสานของ ลิเวอร์พูลทำรวมกันไป 25 ลูก มากกว่า บาร์เซโลนา หรือ ยูเวนตุส ทั้งทีมเสียอีก
ณ เวลานี้คงไม่มีใครกลัว ซาลาห์, มาเน แบะ ฟีร์มิโน อีกแล้ว