โรแบร์โต้ มันชินี่ ความล้มเหลวที่ต้องชดใช้...???
ฟุตบอล : ในที่สุด โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็กลายเป็นอดีตหลังจากโดนเด้งออกจากตำแหน่ง เป็นการชดใช้ราคาแพงที่ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เมื่อเทียบกับเงินลงทุน
นาทีที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศวางมืออย่างเป็นทางการแบบไม่ทันตั้งตัว ผู้คนมากมายอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นช่วงเวลา อาจจะเป็นโอกาสทองของทีมอื่นๆโดยเฉพาะเรือใบที่จะยึดครองความยิ่งใหญ่แบบปีต่อปี โรแบร์โต้ มันชินี่ น่าจะเป็นที่นำพาความสำเร็จต่างๆเข้ามา
ทว่าจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะการพลาดแชมป์เอฟเอ คัพ ที่ว่ากันว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายตอกย้ำการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร
ก่อนหน้านี้ร่วม 2 เดือนที่มีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับเก้าอี้ของ มันชินี่ ที่สั่นคลอน ไม่มีการออกมาแก้ข่าวอะไรเลยจากค่ายเรือใบ ซึ่ง มันโช่ ให้สัมภาษณ์หลังเกมพ่ายวีแกนเอาไว้ว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฝ่ายบริหารหรือพีอาร์ของสโมสรจึงนิ่งกันหมด
ปล่อยให้สื่อกระพือข่าวกันไปเรื่อย นาทีนี้คงเข้าใจแล้วว่าทำไมสโมสรจึงไม่มีการออกมาแก้ข่าว หลังจากพาทีมเรือใบคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก แบบลุ้นกันหัวใจแทบวายเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
แทบทุกหย่อมหญ้าคาดหวังกันว่า มันชินี่ จะยกระดับทีมเรือใบให้สูงขึ้นไปอีกและมีโอกาสที่จะหยิบความสำเร็จเข้ามาเพิ่มแบบต่อเนื่อง ความคาดหวังนั้นพังครืนเมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระชากแชมป์พรีเมียร์ ลีก กลับไปครองชนิดที่ไม่มีอะไรให้ลุ้นแม้แต่น้อย
อาชีพกุนซือตั้งอยู่ลนความสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับทีมที่ร่ำรวยเงินทอง ทุ่มเงินไปเยอะก็คาดหวังเยอะ พลาดพลั้งนิดหน่อยก็เป็นเรื่องได้ไม่ต้องผิดหวังมากมายขนาดนี้ก็มีสิทธิ์โดน
อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่มีความสำเร็จกับปืนโตมาหลายปีติดต่อกันแต่อยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง นั่นเพราะนโยบายหากำไรเข่าสโมสร ทำให้ขุมกำลังไม่แกร่งพอ
เป็นเรื่องราวที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ มันชินี่ เพราะที่นี่ไม่ได้ขายนักเตะกิน แต่เป็นการทุ่มซื้อเข้ามาเพิ่ม ไม่มีทางที่เจ้าของสโมสรจะนิ่งดูดายและอดทนอะไรได้มากในยามที่ไม่มีความสำเร็จ และสำหรับคนโคตรรวยเหล่านี้แม้แต่ความสำเร็จในอดีตก็ไม่มีความหมายอะไรกับการตัดสินใจ พวกเขามองแค่วันนี้เท่านั้น
การเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2011 ปิดฉาก 35 ปีที่รอคอย การเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลที่แล้วยุติ 44 ปีของการเฝ้ารอความสำเร็จในลีกสูงสุด การถล่มผีแดงชนิดต้องอับอายไปทั้งแผ่นดิน 6-1เมื่อเดือนตุลาคมปี 2011ไม่ใช่เกราะป้องกัน
ความล้มเหลวของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ออกอาการให้เห็นตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล หลังจากคว้าแชมป์ฤดูกาลที่แล้วทุกคนคิดเหมือนกันหมด อดีตกุนซือเรือใบจะต้องมีนักเตะชื่อชั้นดีๆเข้ามาเสริมทีม 3-4 คน เพื่อยกระดับตัวเอง
เพราะก่อนหน้านั้นผลงานในแชมเปี้ยนส์ ลีก แสดงให้เห็นแล้วว่าในเวทียุโรปเรือใบยังไม่เจ๋งพอ นอจากนี้ทั้งผีทั้งเชลซี ต้องเติมตัวดีๆกันแน่ ไม่มีใครยืนดูเรือใบเดินหน้าแบบนิ่งเฉย
ทว่านโยบายซื้อขายนักเตะช่วงก่อนเปิดฤดูกาลล้มเหลวสิ้นเชิง ทีมงานที่รับผิดชอบทำงานกันช้ามาก จะเปิดฤดูกาลอยู่แล้วแทบจะไม่มีใครที่ชื่อชั้นดีๆเข้ามาร่วมทีมเลย
เป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีกใหม่ๆรวมทั้งเงินทองสามารถล่อใจใครต่อใครได้ไม่ยาก ทุกอย่างดูน่าดึงดูดใจนักเตะชื่อชั้นดีๆให้เดินเข้ามา ทว่าทาบกันดีอยู่แล้วสุดท้ายเรือใบได้ใครเข้ามาเสริมทีมซึ่งดูแล้วแตกต่างแบบฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่เข้ามาคุมทีมแล้วซื้อนักเตะอย่างซิลบา,ยาย่า ตูเร่หรือมาริโอ บาโลเตลี่ เข้ามาร่วมทีม
การเกษียรตัวเองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจากทำหน้าที่มา 26 ปี เป็นโอกาสครั้งสำคัญของเรือใบ แต่การเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือครั้งนี้มันเหมือนกับการกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ปัจจัยอื่นๆของเรือใบกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนอกจากการเสริมทีมที่ไม่ได้เรื่องแล้ว ปัญหาภายในที่ มันชินี่ มีกับนักเตะ โดยเฉพาะในรายของ มาริโอ บาโลเตลลี่ หลายคนเชื่อว่าส่งผลกระทบมากทีเดียว
การจัดการของ มันโช่ ในกรณีนี้เอาไม่อยู่ทั้งในและนอกสนาม แถมไปทะเลาะกับลูกทีมคนนี้เหมือนเด็กทะเลาะกันไม่มีระยะห่างหรือบารมีที่มากพอกับการจัดการปัญหาภายใน นั่นทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวกลมเกลียวเหนียวแน่นมีน้อย
ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นคนรับมือสถานการณ์เหล่านั้น เรื่องราวต่างๆจะออกมาแบบไหน เอาอยู่หรือไม่ ใครเป็นลูกน้องใครเป็นเจ้านาย กรณีของ เวย์น รูนี่ย์ คงชัดเจนมากพอ เจอเรอัล มาดริด ไม่ได้เป็นตัวจริง อยากย้ายทีมก็ต้องเจอแบบนั้นไล่มาจนถึงปัจจุบันความสำคัญในทีมผีแดงของ รูนี่ย์ แทบไม่มีเหลือให้เห็นอีกต่อไป
กุนซือคนใหม่ของเรือใบไม่ว่าจะเป็นมานูเอล เปเญกรีนี่ หรือจะเป็นใครก็ตาม ต้องเข้ามาเจอความกดดันมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนที่เป็นกุนซือต้องรับผิดชอบเป็นด่านแรก
เปเญกรีนี่ อาจจะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นสำหรับแฟนเอใบหลังจากเกือบพามาลาก้าเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวที่สามารถการันตีอะไรได้กับการทำงานในพรีเมียร์ ลีก
ฤดูกาลหน้าหนักหนาสาหัสแน่นอนสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ด้วยอำนาจทางการเงินและการจัดการที่ดีขึ้นหวังว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก คงมีความหมายมากขึ้น และฟอร์มในแชมเปี้ยนส์ ลีก น่าจะพัฒนาดีขึ้น เป็นความคาดหวังเหมือนที่ผ่านมา
โรแบร์โต้ มันชินี่ มีโอกาสแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จก็ต้องชดใช้กันไป ที่เหลือรอดูว่ากุนซือคนใหม่จะทำได้ดีหรือเปล่า แน่นอนว่ามันย่อมอยู่บนพื้นฐานของความล้มเหลวและอาจจะไล่กุนซือกันอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเมื่อไหร่และเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่
เรื่องโดย "ดามัน"