ปิดตำนานมิสเตอร์ลิเวอร์พูล
เจมี่ คาร์ราเกอร์ กองหลังวัย 35 ปี ของลิเวอร์พูล โบกมือลาชีวิตการค้าแข้งไปแล้ว หลังเกมพรีเมียร์ลีกนัดปิดฤดูกาลเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นเกมที่ 737 ของเขาในสีเสื้อของหงส์แดง
คาร์ราเกอร์เข้าไปเป็นนักเตะเยาวชนของลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 1990 หรือในปีสุดท้ายที่หงส์แดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้ ก่อนจะว่างเว้นมานานถึง 23 ปีเต็ม
นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1996 คาร์ราเกอร์คว้าแชมป์มาเกือบทุกรายการกับลิเวอร์พูล ขาดไปก็แต่แชมป์พรีเมียร์ลีก
ซึ่งตอนนี้คงต้องตกเป็นภาระของเพื่อนร่วมทีมที่ยังอยู่ และนักเตะหงส์แดงรุ่นต่อๆ ไปที่จะพาทีมไปให้ถึงฝั่งฝัน
ส่วนเจ้าของฉายามิสเตอร์ลิเวอร์พูลก็จะขอใช้เวลาสนุกกับชีวิตนอกสนามหลังจากนี้บ้าง หลังจากใช้ชีวิตเป็นนักเตะสโมสรเดียวมาตั้งแต่ต้นจนจบ
“จริงๆ แล้วผมไม่เคยมีโอกาสที่จะย้ายนะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีหรือไม่ดี บางทีอาจจะไม่มีใครเห็นว่าผมเก่งพอก็ได้” คาร์ราเกอร์เปิดใจ
“ผมไม่เคยใกล้เคียงที่จะไปอยู่ตรงจุดนั้นเลยด้วยซ้ำ เอเยนต์ไม่เคยโทรมาบอกผมว่า ‘ทีมนี้สนใจคุณอยู่นะ’ ไม่เคยเลยซักครั้ง”
“บางทีผมอาจจะถูกมองว่าเป็นมิสเตอร์ลิเวอร์พูลมาตลอดก็ได้ คุณต้องไปถามพวกผู้จัดการเอาเอง แต่ผมไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเลย”
“บางทีผู้จัดการทีมคนอื่นๆ อาจจะคิดแบบนั้น หรือไม่ก็อย่างที่ผมบอก พวกเขาอาจจะแค่ไม่อยากได้ตัวผม”
“และผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยคิดเรื่องย้ายทีมเลย แม้แต่ตอนที่ผมไม่ได้ลงเล่น คุณต้องเจอกับทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่กับสโมสร”
“มันก็เหมือนกับคุณเป็นแฟนบอลนั่นแหละ คุณไม่เลิกเชียร์ทีมของคุณเพราะทีมทำผลงานได้แย่หรอก”
“และเราก็มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่นี่เหมือนกัน เราได้แชมป์รายการใหญ่ๆ ก็หลายครั้ง ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก”
คาร์ราเกอร์ยืนยันว่าช่วงเวลาดีๆ จะกลับมาอีกแน่ และเชื่อว่าเหล่าเดอะค็อปจะอดทนกับเบรนแดน ร็อดเจอร์ส มากพอ ตราบใดที่สโมสรยังคงเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง
“คนพูดกันเรื่องที่ผมแขวนสตั๊ดไปโดยที่ยังไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลย และถามว่าแล้วสตีเว่น เจอร์ราร์ด จะเป็นแบบนี้ด้วยมั้ย”
“ผมคงต้องบอกว่าถ้าสตีเว่นจะเล่นฟุตบอลต่ออีกแค่สองปี เขาก็คงไม่มีโอกาสได้แชมป์ลีกเหมือนกัน เพราะกว่าจะทำแบบนั้นได้ เราคงต้องใช้เวลาอีกซักพัก”
“แต่สตีเว่นอาจจะเล่นต่อได้อีก 4-5 ปีสบายๆ จากวิธีที่เขาดูแลตัวเอง และด้วยความช่วยเหลือของวิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่”
“เพราะฉะนั้นถ้าเรากำลังพูดถึงเขาโดยคิดว่าเขาจะเล่นได้นานขนาดนั้น เขายังมีโอกาสแน่”
“ถ้าคุณพูดเรื่องการคว้าแชมป์ลีกในอีกสองปีข้างหน้า ผมคงต้องบอกว่าไม่ เพราะเป้าหมายในตอนนี้ของเราคือการกลับไปติดท็อปโฟร์ก่อน แต่ถ้ามองไกลไปถึงอีก 4-5 ปีข้างหน้า แน่นอนเรามีโอกาส”
“อย่างแรกสุดก็คือเราต้องพยายามกลับมาติดท็อปโฟร์ให้ได้ก่อน แทนที่จะเริ่มต้นฤดูกาลโดยพูดถึงการลุ้นแชมป์”
“ถ้าเราทำแบบนั้นได้ มันก็เหมือนกับจุดเริ่มต้นในการเดินหน้าต่อ คุณจะมีรายได้มากขึ้นถ้าได้ลงเตะแชมเปี้ยนส์ลีก และสามารถเอามาใช้ในการพัฒนาทีมได้”
“ก้าวแรกก็คือการได้ไปแข่งแชมเปี้ยนส์ลีก มันจะทำให้สโมสรมีรายได้มากขึ้น และดึงดูดนักเตะเก่งๆ มาช่วยพัฒนาทีมให้ดีขึ้นได้ แล้วเราก็จะเริ่มต้นกันจากจุดนั้น”
“ผมคิดว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลรับรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตอนนี้สโมสรอยู่ตรงจุดไหน”
คาร์ราเกอร์ยังพูดถึงโอกาสที่เขาและเพื่อนร่วมทีมหงส์แดงเคย
“ผมคิดว่าจริงๆ แล้วทีมเราชุดที่คุมทีมโดยราฟา เบนิเตซดีกว่าชุดของเชราร์ อุลลิเยร์ที่เราเกือบจะคว้าแชมป์ลีกได้ด้วยซ้ำ แต่โอกาสใกล้เคียงที่สุดที่สำหรับผมคือในฤดูกาล 1996-97 ภายใต้การคุมทีมของ รอย อีแวนส์”
หงส์แดงชุดที่ได้ฉายาว่า Spice Boys ภายใต้การคุมทีมของอีแวนส์ ซึ่งมีนักเตะอย่างเจมี่ เรดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามาน และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ หลุดวงโคจรลุ้นแชมป์ไปในช่วงโค้งสุดท้าย และจบในอันดับ 4 โดยมีคะแนนตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ด 7 แต้ม
“ผมไม่คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาเรื่องของสภาพจิตใจหรอก กับการที่เราไม่ได้แชมป์ลีก”
“ความเป็นจริงก็คือมีอีกทีมที่มีนักเตะอีกคนสองคนที่มีคุณสมบัติแบบที่จำเป็นในการลุ้นแชมป์อยู่ในทีม แต่เรามีหัวจิตหัวใจที่แกร่งพอที่จะลงเล่นในเกมใหญ่ๆ ได้แน่”
“เราได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2005 ได้แชมป์เอฟเอคัพในปีถัดไป เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งอีกปีหลังจากนั้น และได้รองแชมป์ลีกในปี 2009 แต่พอเราเริ่มมีฤดูกาลที่แย่ เราก็ยังฟื้นตัวกลับมาไม่ได้อีกเลย”
ภารกิจนี้คงจะเป็นหน้าที่ของนักเตะหงส์แดงคนอื่นๆ ต่อไป ส่วนคาร์ราเกอร์ก็จะผันตัวไปสนุกกับการใช้ชีวิตนอกสนามฟุตบอลบ้าง แต่ก็คงไม่ได้ไปไหนไกลนัก เพราะเขาตอบรับเข้าร่วมงานกับสกายสปอร์ตในฐานะเกจิประจำรายการเรียบร้อยแล้ว
“ผมไม่อยากต้องกังวลกับน้ำหนักตัวอีกแล้ว ผมสามารถสนุกกับการใช้ชีวิตได้เต็มที่” คาร์ราเกอร์ ทิ้งท้าย
“ผมน่าจะชอบงานนี้ แต่ผมคงจะคิดถึงฟุตบอลแน่”
เรื่องโดย : Babybear