ฉันเจ็บทุกการกระทำที่ทำให้เธอเสียใจ

ฉันเจ็บทุกการกระทำที่ทำให้เธอเสียใจ

ฉันเจ็บทุกการกระทำที่ทำให้เธอเสียใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ความจริงแล้วต้องเขียนตอนต่อจากสกู๊ป "10 เจ็บ... ไม่น่าเจ็บ" ลงใน Sportguru ฉบับวันนี้ แต่ให้บังเอิญว่า "ข่าวใหญ่" ซึ่งจะติดเป็น 1 ในที่สุดของข่าวประจำปี 2014 อย่างแน่นอนนั้นมันดันเกิดขึ้นมาคั่นกลางเสียก่อน
♪ฉันเจ็บ ทุกการกระทำ ที่ทำให้เธอเสียใจ
ฉันทรมานแค่ไหน ใครจะรู้ ที่ผ่านมา
ทั้งหมด ฉันเป็นคนแพ้ แต่แค่ไม่มีน้ำตา
ออกมาให้ใครได้รู้ ความจริงที่ซ่อนอยู่ ในรอยน้ำตา
ฉันเสียใจแค่ไหน ที่ผ่านมา...♫
 
ท่อนหนึ่งจากเพลง คนแพ้ที่ไม่มีน้ำตา ต้องบอกว่า "โคตรเข้า" เข้ากับ เดวิด มอยส์ จริงๆ โดยเฉพาะกับเวลานี้ เวลาที่เจ้าตัวถูกปลดพ้นตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรียบร้อยแล้ว
 
 
จำใจต้องบอกลา แต่จะไม่มีน้ำตาให้ (แฟนผี) เห็นแน่นอน (ใช่สิ ได้ไปตั้งเกือบ 500 ล้านบาทนิ)
 
ถึงจะไม่ได้หล่อรุนแรงอย่าง "พี่ติ๊ก" และก็ไม่ได้หล่อนุ่มนวลอย่าง "พี่ก้อง" แต่ใบหน้า มอยส์ ในทุกครั้งที่ปรากฏผ่านสื่อให้เห็นนั้นบ่งบอกสภาพ "คนแพ้" และเป็น "คนแพ้ที่ไม่มีน้ำตา" จริงๆ
 
ไม่มีน้ำตา... เพราะร้องไห้ให้ใครเห็นไม่ได้
 
ไม่มีน้ำตา... เพราะหากร้องออกไปก็เหมือนยอมรับความอ่อนด้อยของตัวเอง
 
หรืออาจจะไม่มีน้ำตา... เพราะเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย
 
 
ไม่ร้องแต่โคตรกลุ้ม ช็อตชินชาภาพนี้ที่แฟนผีฝากบอกว่า "พอกันที"
 
แต่จะมีด้วยหรือที่คนเราจะไม่มีความรู้สึกอะไร โดยเฉพาะกับการถูกลากมาด่าประจานต่อหน้าสาธารณชนไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ซึ่งๆ หน้าในสนามแข่งขัน
 
มอยส์ เลือกจะไม่ตอบโต้ นั่นก็เพราะตอบโต้ไม่ได้ 
 
ผลงานของเขาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "มือไม่ถึง" ทีมระดับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลำพังการจบด้วยอันดับที่ 4 ยังน่าจะเรียกได้ว่า "แค่พอรับได้" ด้วยซ้ำ แต่นี่ลำพังแค่โควตา้ ยูโรปา ลีก ก็ยังอาจจะไม่ได้
 
แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ต่างอะไรกับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส, บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งล้วนแต่เป็นเต้ยในลีกของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
 
การคุมทีมพวกนี้ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่และเพียบแปล้ไปด้วยนักเตะฝีเท้า ยอดเยี่ยม แต่มันก็แลกมาด้วยความกดดันมหาศาลสมน้ำสมเนื้อกับค่าจ้างสูงลิบลิ่วของผู้ จัดการทีมด้วยเหมือนกัน
 
♪ฉันเจ็บ ทุกการกระทำ ที่ทำให้เธอเสียใจ
 
ทุกครั้งที่ทีมแพ้ โดยเฉพาะกับการแพ้ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แฟนๆ ด่ากันขรมระงมทั่วทุกทิศยิ่งกว่าระบบสเตอริโอเซอร์ราวนด์ ความเสียใจเกิดขึ้นทุกย่อมหญ้าภายใต้โลโก้ "ปีศาจแดง"
 
ทุกครั้งที่ทีมแพ้ แน่นอน มอยส์ ในฐานะผู้จัดการทีมเป็นคนหนึ่งที่ต้องเจ็บปวด แต่เขาคงยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิมหลายเท่ากับการต้องเห็นแฟนๆ เสียใจ เสียใจเพราะการกระทำของเขา
 
ฉันทรมานแค่ไหน ใครจะรู้ ที่ผ่านมา
 
การต่อสู้โดยไม่มีแฟนๆ - กลุ่มคนที่น่าจะเรียกได้ว่า "เป็นพวกเดียวกัน" - คงทำให้ มอยส์ เหมือนสู้อยู่อย่างลำพัง ไม่ต้องคิดถึงฝ่ายบริหาร ทีมงาน เพราะการช่วย มอยส์ มันเป็นหน้าที่การงาน
 
แล้วยิ่งหากวันไหนทีมแพ้ ถือเป็นความผิด มอยส์ แต่หากวันไหนทีมชนะ นักเตะรับเครดิตไปเต็มๆ
 
ทั้งหมด ฉันเป็นคนแพ้ แต่แค่ไม่มีน้ำตา
 
ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ทุ่มเทขนาดไหนเพื่อให้ทีมคว้าชัยชนะ เพื่อให้ทีมไปถึงเป้าหมายให้ได้ แต่ดูเหมือนยิ่งทำจะยิ่งสูญเปล่า หลังทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปรัชญาการเล่น ระบบการจัดการที่นำเข้ามาใช้นั้นกลับ "ถูกต่อต้าน" และน่าจะเป็นจากนักเตะระดับแแกนนำด้วย
 
 
ก่อนที่ปีศาจแดงจะทำการปลด มอยส์ มีข่าวว่าบรรดาแข้งผีแดงก็แอบไปฟ้องบอร์ดบริหารว่า "พวกกูไม่เอาแล้ว"
 
รู้ทั้งรู้ว่าแพ้ "แล้ว" แต่หากทุกอย่างยังไม่ถึงฎีกา ชะตายังไม่ถูกตัดสิน มอยส์ ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและก้าวเดินออกจาอุโมงค์ลงสู่สนามแข่งขันด้วยสายตา "ยังสู้" ปรากฏผ่านหน้ากล้องโทรทัศน์ถ่ายทอดสดทุกครั้ง
 
ออกมาให้ใครได้รู้ ความจริงที่ซ่อนอยู่ ในรอยน้ำตา
 
ว่ากันว่าคนเราโกหกได้ด้วยปาก แต่หากจะให้โกหกทั้งร่างกายเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ "อวัจนะภาษา" หรือ "ภาษากาย" หลายต่อหลายครั้งของกุนซือหัวหยิกหยอยแสดงความจริงให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสีหน้าผิดหวังเต็มประดาปานจะร้องไห้ยามถูกขึ้นนำ หรือจะเป็นจังหวะไหลรูดแทบหล่นเก้าอี้เพราะรูปเกมสู้ไม่ได้
 
แต่หลังจากรู้ตัว... ทุกครั้ง มอยส์ จะกลับมาตั้งท่าทำตัวให้สมกับที่มีโลโก้ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่บนหน้าอกเสื้อเสมอๆ แม้ใบหน้าซึ่งเคยมีราศีและอาบด้วยรอยยิ้มอย่างในวันแรกรับงานนั้นจะเปลี่ยน ไปประดับเป็นริ้วรอยจากความเครียดและความบอบช้ำจากรอยแผลในจิตใจแทนแล้วก็ ตาม
 
ฉันเสียใจแค่ไหน ที่ผ่านมา...♫
 
"การได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้นมันเป็นบางสิ่งที่ผมจะรู้สึก ภาคภูมิใจอย่างที่สุดเสมอไป"
 
"การได้รับตำแหน่งหลังจากช่วงเวลาที่ ประสบความสำเร็จและมั่นคงอย่างต่อเนื่องยาวนานของสโมสรนั้นมันเลี่ยงไม่ได้ เลยที่จะเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ แต่มันก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมชื่นชอบและไม่เคยจะต้องคิดซ้ำสองเลยเพื่อจะ ตอบตกลงรับงาน"
 
"ขนาดงานของตำแหน่งผู้จัดการทีมยูไน เต็ด มันใหญ่โตมโหฬารมาก แต่ผมไม่เคยจะถอยหนีจากงานหนักและนั่นก็เหมือนกับกับทีมงานของผม ผมขอบคุณพวกเขามากสำหรับการอุทิศตัวและความจงรักภักดีมาตั้งแต่ฤดูกาลที่ แล้ว"
 
"เรามุ่งมั่นอย่างเต็มและทุ่มเทกับ กระบวนการในการสร้างรากฐานขึ้นมาใหม่ซึ่งนั่นจำเป็นสำหรับทีมชุดใหญ่ เรื่องนี้ต้องทำให้สำเร็จขณะที่ก็ต้องทำผลงานให้ดีทั้งใน พรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ผลงาน และผลลัพธ์ ทั้งหมดมันไม่ได้เป็นอย่างที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแฟนๆ คุ้นเคยหรือคาดหวัง และผมก็เข้าใจและรู้สึกถึงความเสียใจของพวกเขาเหมือนกัน"
 
"ในช่วงเวลาสั้นๆ กับสโมสร ผมได้เรียนรู้ว่าสถานที่พิเศษอย่าง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และแคร์ริงตัน คืออะไร ผมอยากจะขอบคุณทีมงานยูไนเต็ด กับการช่วยให้ผมรู้สึกถึงการต้อนรับและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวยูไนเต็ด ตั้งแต่วันแรก และแน่นอนว่าผมต้องขอบคุณแฟนๆ ซึ่งให้การสนับสนุนผมมาโดยตลอดทั้งฤดูกาล ผมขอให้พวกคุณและสโมสรพบกับความโชคดีในอนาคต"
 
"ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าผู้จัดการทีมจะ ต้องไม่หยุดเรียนรู้ในอาชีพของตัวเองและผมก็รู้ว่าผมจะใช้ประสบการณ์อัน ประเมินค่าไม่ได้จากช่วงเวลาของผมในฐานะผู้จัดการทีมยูไนเต็ด ผมยังคงภาคภูมิใจกับการได้เคยนำทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก และผมก็ยังรู้สึกขอบคุณ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สำหรับความเชื่อมั่นในความสามารถของผมและให้ผมได้มีโอกาสเป็นผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

จากบทสัมภาษณ์ เดวิด มอยส์ หลังถูกปลดพ้นตำแหน่งกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

♪ฉันเจ็บ ทุกการกระทำ ที่ทำให้เธอเสียใจ
ฉันทรมานแค่ไหน ใครจะรู้ ที่ผ่านมา
ทั้งหมด ฉันเป็นคนแพ้ แต่แค่ไม่มีน้ำตา
ออกมาให้ใครได้รู้ ความจริงที่ซ่อนอยู่ ในรอยน้ำตา
ฉันเสียใจแค่ไหน ที่ผ่านมา...♫
 
'นนท์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook