ไม่มีดราม่า หรือ ปาฏิหาริย์
ลีกฟุตบอลที่มีผู้คนติดตามมากที่สุดในปฐพี อย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถึงคราวรูดม่านประเพณี ปิดฉากฤดูกาลอันแสนว้าวุ่น ที่ตบท้ายด้วยภาพฉลองแชมป์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ถือเป็นฤดูกาลที่น่าจดจำอีกปีหนึ่ง ที่ 2 ทีมลุ้นแชมป์ทั้ง "เรือใบ" และ ลิเวอร์พูล ระเบิดฟอร์มสุดสะเด่า ทะลวงตาข่ายคู่แข่งทะลุ 100 ลูกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมแชมป์ และรองแชมป์
แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013-14
ทีมของ มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือมากฝีมือชาวชิลี เดินหน้าระเบิดถังขี้ เอ้ย! ระเบิดตาข่ายฝั่งตรงข้ามไปถึง 102 ประตู ขาดเพียงอีก 1 ลูกจะขยับเทียบเท่ากับ เชลซี ชุดแชมป์เมื่อฤดูกาล 2009-10 ในยุคของ คาร์โล อันเชล็อตติ
ซึ่งถ้าหากว่าบรรดาแข้ง "เรือใบ" ไม่เล่นด้วยความหวาดระแวงใจล่องลอยไปถึงถ้วยแชมป์เสียก่อนในนัดส่งท้ายกับ เวสต์แฮม ป่านนี้คงยิงทะลุลิมิตของ "สิงห์บลูส์" เป็นแน่แท้
แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามความคาดหมาย ถ้วยแชมป์ที่เตะแย่งกันเอาเป็นเอาตายมากว่า 9 เดือน ยังอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ ไม่มีปาฏิหาริย์หรือเหตุการณ์ดราม่าใดๆ เกิดขึ้นในวันส่งท้าย
แอนฟิลด์ กับ เอติฮัด คนละอารมณ์
ความปรารถนาที่แรงกล้าของ "หงส์" เพียงเพื่อจบท็อปโฟร์ก็ เริดหรูสแมนแตน ทำไปทำมากลายเป็นผู้ท้าแย่งแชมป์ตัวฉกาจที่หลายทีมขยาดหนักหนา จากฟอร์มอันน่าสพรึงกลัว เดินหน้าฆ่าไม่ยั้ง!
ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เหล่า "เดอะ ค็อป" จะเศร้าโศกเสียใจ แม้ท้ายที่สุดแล้วอดฉลองแชมป์ที่รอคอยมากว่า 24 ปี ในเมื่อมาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน รออีกปีจะเป็นไรไป
สิ่งสำคัญคือ เบรนแดน รอดเจอร์ส สามารถเสกให้ ลิเวอร์พูล คืนร่าง "หงส์" แสนสง่าได้อีกครั้ง พร้อมประกาศศักดาลุยถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009
เส้นทางสาย "ยูซีแอล" กำลังกลับมาเจิดจรัสด้วยความหวังอันแรงกล้าที่เหล่าบรรดายอดฝีเท้าทั่วทั้งยุทธภพลูกหนังต่างเหลือบสายตาเมียงมองมาที่ แอนฟิลด์ พร้อมพาเหรดต่อแถวเข้าสู่ทีมอย่างไม่ลดละ
ซัวเรซ น้ำตาท่วมจอ หลังเสมอ พาเลซ 3-3
งานเบื้องหน้าโปรดรอไว้ งานใหญ่รออยู่ในสโมสร ทำเช่นไรให้ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงตัวความหวัง ให้พร้อมฝากฝังอนาคตกับยอดทีมย่านเมอร์ซี่ไซด์ มิเช่นนั้นแล้วไซร้ เรอัล มาดริด จ้องเขมือบตาเป็นมัน
น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากๆ จากก้นบึ้งประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดลงกลางอก หลังตกอยู่ในสถานการณ์อันยากจะรับไหว ในเมื่อชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า แต่หายนะกลับกวักมือฉุดลงเหว คว้าน้ำเหลวที่ เซลเฮิร์สต์ พาร์ค (เสมอ พาเลช 3-3)
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ชัยชนะส่งท้ายใน แอนฟิลด์ เหนือ นิวคาสเซิ่ล คงช่วยยาแรงปลอบขวัญคนเศร้าให้ลุกขึ้นสู้กู่ก้องร้องดังๆ ว่า "You'll Never Walk Alone" ในวาระถัดไป
เจอร์ราร์ด ปล่อยโฮหลักพิฆาต แมนฯ ซิตี้
เฉกเช่นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจในวันจม "เรือ" ทั้งสำเภาของกัปตันพันธุ์แกร่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะยังคงติดตรึงอยู่ในพงศาวดารความทรงจำผอง "เดอะ ค็อป" ไปอีกนานเท่านาน
สถานีสุดท้ายปลายทางจบลงตรงหลักไมล์ที่ 38 งานเลี้ยงสิ้นสุดแล้ว แมนเชสเตอร์ เปิดงานคานิวัลปีที่ 4 ติดต่อกัน เพียงแค่เปลี่ยนอาภรณ์หนีร้อนสีแดงเพลิง เป็นฟ้าใสสบายตา
ว่าแต่หมู่เฮาชาว "เร้ด อาร์มี่" หนีหนาวไปหลบอยู่ไหน ในพื้นที่เก่าของเราแต่ก่อนไม่มีแม้แต่เงาให้เหล่าสาวกได้ชื่นชม ล้มเหลวถึงขีดสุดในประวัติศาสตร์สโมสรตอนเปลี่ยนมาเป็น พรีเมียร์ลีก
กิ๊กส์ & เดอะ แก๊งค์
จากสูงสุดคืนสู่สามัญ อันดับ 7 คืองานหยาบชิ้นโบว์แดงแห่ง ยูไนเต็ด หลังหมดยุค เซอร์ เฟอร์กี้ บรมกุนซือผู้มากบารมี ผู้ทำให้ทายาทอสูรคนถัดๆ ไป เจองานยากยิ่งกว่าควานผู้เด็ดเดี่ยว จิตใจแกล้วกล้า กู่ก้องหาสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ในวลี ..."ช้างกูอยู่ไหน"
นับ จากนี้ไป จะ ไรอัน กิ๊กส์ & เดอะ แก๊งค์ หรือ หลุยส์ ฟาน กัล กับเหล่าโค้ชดัตช์ จำต้องขจัดความเศร้าออกจากโรงละคร คืนความสุขแก่มวลมหาประชาผี ณ ตอนนี้ & บัดNOW
-จ่าตุ๊-