บอลโลกครั้งนี้ใครได้กำไร? และ ใครขาดทุน?

พ.อ. ดร. นที ศุกลรัตน์. ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์  โต้โผผู้บังคับใช้กฎมัสต์แฮฟ

ว่ากันง่ายๆคือ ตามคำสั่งศาลแล้ว อาร์เอสนั้นจะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกผ่านฟรีทีวี 22 นัด ผ่านทางช่อง7และช่อง8แต่หากจะดูให้ครบทั้ง64นัดก็ต้องซื้อกล่องรับสัญญาณของอาร์เอสนั่นเอง ….
 
แต่แล้ว วีรบุรุษของคนไทยนิยมของฟรี ก็เกิดขึ้น เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ตัดสินใจคืนความสุขให้กับคนไทย โดยประสานขอความร่วมมือไปทางเจ้าของสิทธ์ถ่ายทอดสด ใคร่ขอความร่วมมือแบบสุดๆ รบกวนช่วยปล่อยสัญญาณถ่ายทอดสดครบทุกคู่ผ่านฟรีทีวีและเพิ่มช่อง 5 ในการถ่ายทอดได้หรือไม่?โดย กสทช. จะฉดเฉยค่าเสียโอกาสให้..
 
แน่นอนครับว่าคำตอบของอาร์เอสคือเซย์เยส ยอมถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีครบ 64 แมตช์ ซึ่งฟีดแบ็คที่มีกลับมานั้นก็มีหลากหลายมากมาย เช่น “ได้ดูฟรีแล้วโว้ย “,“ต้องอย่างงี้และถูกแล้ว ขอบคุณทุกฝ่ายมากๆ”, “แล้วตรูจะซื้อกล่องทำมะเขืออะไรเนี่ยย”,”เสียตังค์แล้วทำไงอะทีนี้ ดูฟรีกันได้เฉย” เป็นต้น
 
นั่นเป็นเสียงสะท้อนของประชาชนคนไทยบางส่วน ย้ำนะครับว่าบางส่วนเท่านั้น แต่หากจะให้รับรู้ถึงผลกระทบโดยรอบทั้งหมดแล้วหละก็คงต้องลงลึกกันไปอีก มีการคาดการณ์ถึงเรื่องตัวเลขของเม็ดเงินที่ลงทุนของอาร์เอส ย้ำอีกทีคาดการณ์นะครับ ว่า อาร์เอสลงทุนประมูลลิขสิทธ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเป็นราคาประมาณ 600 ล้านบาท
แสดงว่าเสียทุนไป 600 ล้านบาท เรามาดูว่าจะหากำไรมาคืนทุนอย่างไร
1) Main sponsor ทาง RS หาสปอนเซอร์หลักบอลโลกซึ่งสปอนเซอร์เหล่านี้ก็ จะจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าโฆษณาให้กับทาง RS
2) ขายลิขสิทธิ์ต่อ RS ได้ทำการขายลิขสิทธิ์ต่อให้กับผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆ เช่น True PSI AIS และอื่นๆ
3) ขายกล่องบอลโลก ราคากล่องละ 1,590 บาท
 
ต่อมา กสทช.หลังจากแพ้คดีก็พยายามดำเนินการให้คนไทยได้รับชมฟรีให้ได้ โดยได้เชิญหารือกันสามฝ่ายระหว่าง คสช.,กสทช.และอาร์เอส ผลสรุปอาร์เอสเสนอ “ค่าเสียโอกาส" เป็นจำนวน 766.515 ล้านบาท แต่ กสทช. ปรับลดข้อเสนอกลับไปเป็น 427 ล้านบาท ด้านฝ่ายอาร์เอส ตอบรับกับข้อเสนอนั้นจึงทำให้ข้อตกลงลุล่วงและทำให้คนไทยได้ดูบอลโลกผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 แมตช์นั่นเอง
 
ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อนำมารวมกันแล้ว บิ๊กบอสใหญ่จากค่ายอาร์เอส “เฮียฮ้อ” นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ก็ยอมรับแบบตรงๆว่า ได้ไม่คุ้มเสียสำหรับเคสนี้ แต่ว่าก็ไม่ขาดทุน ?
หลายคนอาจจะงงว่าทำไมถึงได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากให้ดูรายได้หลายๆ ช่องทางก็น่าจะได้เกิน 600 ล้านบาทอยู่แล้ว แต่อย่าลืมนะครับว่า อาร์เอส เองต้องออกมาตรการในการคืนความสุขแก่ประชาชนเช่นกัน เมื่อลูกค้าที่ซื้อกล่องบอลโลกไปแล้วในราคา 1,590 บาท ต้องการจะคืนกล่องขึ้นมา เพราะถึงจะติดกล่องหรือไม่ติดกล่อง ก็ได้ดูบอลโลกฟรีๆอยู่ดี
 
นั่นหมายความว่าอาร์เอสอาจจะต้องคืนเงินให้กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการกล่องบอลโลกอีกแล้ว หรือแม้กระทั่งเสริมเพิ่มเติมแพ็คเกจต่างๆให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม ที่เสียเงินจ่ายตังเพื่อดูฟุตบอลโลกนั่นเอง
 
ดูไปดูมาแล้วสุดแสนจะวุ่นวาย เรื่องของธุรกิจ ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึกหละก็ผมพูดได้เต็มๆเลยหละครับ อยากให้ลองคิดกันง่ายๆ วันนึงคุณเดินไปซื้อขนม 20 บาทคุณเดินกลับมามีคนบอกกลับคุณว่าห้ามกินคนเดียวนะ ต้องแบ่งกันกินหลายๆคน แค่นี้ก็น่าจะนึกภาพออกนะครับ
 
สังคมไทยจมอยู่กับอะไรที่ได้มาง่ายๆ จนเกิดเป็นความคุ้นชิน เคยตัวกันจนเกินไป สิ่งที่น่ากังวลต่อไปก็คือกลไกของตลาดในเชิงธุรกิจ เมื่อ บอลโลกสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก กลับมีคุณค่าทางธุรกิจน้อยกว่า ฟุตบอลอื่นๆ แล้วนักลงทุนต่างๆจะกล้าลงทุนซื้อลิขสิทธ์มาถ่ายทอดให้กับเราได้รับชมหรือในอนาคต
 
อย่างไรก็ตามเรื่องมาถึงตรงนี้ ทุกๆคนแฮปปี้ที่ได้ดูฟุตบอลโลกฟรีๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีครับที่มันสร้างความสุขให้กับคนหลายๆคนในประเทศ แต่จะดีกว่าไหม หากเราสรรหาผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ให้กับทุกฝ่าย …ผลลัพธ์ที่ไม่ต้องเอารัดเอาเปรียบใครอีกแล้ว