ด้วยสปิริตอันแรงกล้าของหงส์แดง
ฟุตบอล : ในสีสันที่วูบวาบจาก 4 ประสานมหัศจรรย์ The 4 Wonders ของหลุยส์ ซัวเรซ, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, ราฮีม สเตอร์ลิง และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มันอาจทำให้เรามองข้ามถึงจุดบกพร่องร้ายแรงที่เร้นกายอยู่ภายใต้เปลือกที่สวยงาม
ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หัวใจผมเต้นแรงขนาดนี้ในการดูลิเวอร์พูลนั้นมีขึ้นเมื่อไหร่?
อาจจะเป็นเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่อตาเติร์ก สเตเดี้ยม ในปี 2005 หรือย้อนไปไกลกว่านั้นในเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกในวันที่เอาชนะนิวคาสเซิล ได้ 4-3 ในปี 1996
การที่หัวใจซึ่งเริ่มชินชาต่อความรู้สึกทางเกมลูกหนังที่เริ่มนิ่งขึ้นตามอายุและประสบการณ์การทำงานที่ใกล้จะครบ 10 ปีนั้นถือว่าไม่ธรรมดา
ชัยชนะเหนือสวอนซี ซิตี้ 4-3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในเกมที่บีบหัวใจจริงๆ
เรื่องตลกร้ายคือเดอะ ค็อป ถูกทดสอบความแข็งแกร่งของหัวใจเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ทั้งในเกมที่คราเวน ค็อตเทจ ซึ่งมาเฉือนเอาชนะได้จากจุดโทษของเจอร์ราร์ดในช่วงนาทีสุดท้าย และเกมที่แอนฟิลด์ ซึ่งควรจะไม่มีอะไรให้กังวลหลังขึ้นนำ 2-0 อย่างรวดเร็ว แต่กลับปล่อยให้สวอนซี ตีเสมอได้ทั้งที่ออกนำไปก่อน 2 ครั้ง 3 ประตู
แน่นอนครับว่าเป็นชัยชนะที่ล้ำค่าและหอมหวานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งชิงอันดับ 4 อย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และเอฟเวอร์ตัน ต่างพลาดพ่ายด้วยกันทั้งคู่ นั่นทำให้โอกาสที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นท็อปโฟร์นั้นมั่นคงขึ้น
และ 4 คะแนนที่ตามหลังเชลซี มันทำให้ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์จะฝันถึงแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 24 ปีได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นอีกหนึ่งเกมที่เบร็นดอน ร็อดเจอร์ส ต้องนำกลับไปทบทวนระบบการเล่นของทีมใหม่
ในสีสันที่วูบวาบจาก 4 ประสานมหัศจรรย์ The 4 Wonders ของหลุยส์ ซัวเรซ, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, ราฮีม สเตอร์ลิง และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มันอาจทำให้เรามองข้ามถึงจุดบกพร่องร้ายแรงที่เร้นกายอยู่ภายใต้เปลือกที่สวยงาม
ลิเวอร์พูล ไม่ต่างอะไรจากนักชกที่มีฟุตเวิร์คว่องไว ออกหมัดรัวเป็นชุดได้สวยงาม แต่การ์ดตก คางเปราะ โดนน็อคได้ทุกเมื่อ
โดยเฉพาะหากเจอกับคู่ชกที่รู้ทางดี โอกาสแพ้ทางหรือชนะแบบเจ็บตัวมีสูง
ระบบการเล่นที่ร็อดเจอ์ส คิดค้นเพื่อสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในบทตัวทำเกมจากแนวลึกนั้นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของทีมในเวลาเดียวกัน
ความสมดุลของแดนกลางนั้นหายไปเพราะ เจอร์ราร์ด นั้นช้าเกินกว่าจะไล่บอลจากคนอื่นได้ ซึ่งหากเป็นเกมที่คู่แข่งมีแดนกลางที่ไม่แข็งมาก ไม่วูบวาบ ลูกมืออย่างคูตินโญ่ หรือจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยังพอช่วยแบ่งเบาได้แต่หากเจอคู่แข่งที่จัดจ้าน ลูกเล่นเยอะ เกมรับของลิเวอร์พูล จะยุ่ยไม่ต่างจากทิชชู่เปียกน้ำ
จริงอยู่ที่พวกเขาอาจโชคร้ายที่จังหวะอันไหลลื่นในช่วง 20 นาทีแรกของเกมถูกขัดด้วยประตูที่สวยงามของจอนโจ เชลวีย์ ผู้ที่ปฏิเสธจะแสดงความยินดีในการยิงทีมเก่าและได้รับเสียงปรบมือจากเหล่าค็อปไอท์บนอัฒจันทน์ฝั่งเดอะ ค็อป เป็นการตอบแทน
ประตูของเชลวีย์ ทำให้โมเมนตัมของเกมเปลี่ยนกลับมาทางสวอนซี ได้ก่อนที่วิลเฟร็ด โบนี่ จะโหม่งไปแฉลบมาร์ติน สเคอร์เทลเป็นประตูตีเสมอ 2-2 และทิศทางของเกมยังเป็นไปในรูปนั้นอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่หงส์ขาวกางปีกทำท่าจะกระพือบิน หงส์แดงก็ขาสั่นพันกันมั่วไปหมด ลนลานจนน่าเกลียด
แม้กระทั่งได้ประตูกลับมานำอีกครั้ง ลิเวอร์พูล ยังดึงจังหวะเกมกลับมาไม่ได้เลย และยิ่งทรุดหนักเมื่อโดนตีเสมอเร็วจากการเสียจุดโทษที่ไม่น่าเสียในช่วงต้นครึ่งหลังของสเคอร์เทล ซึ่งนี่เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นว่าปราการหลังชาวสโลวักนั้นมีสภาพจิตใจที่เปราะบางและสมาธิสั้น มักจะผิดพลาดง่ายๆในเกมไม่สำคัญเสมอ
โชคดีที่ร็อดเจอร์ส ทิ้งไพ่แก้เกมได้ถูกใบด้วยการเติมความ "มั่นคง" เข้าสู่ทีมผ่าน โจ อัลเลน ในแดนกลาง ซึ่งทำให้กระแสเกมของสวอนซี ถูกตัดขาด และใช้ความนิ่งแบบช้าๆของโคโล ตูเร่ มาประคองแนวรับแทนดาเนี่ยล แอกเกอร์ ซึ่งยังห่างไกลจากฟอร์มที่ดีที่สุด
เมื่อกระแสเกมกลับมานิ่ง ที่เหลือคือเรื่องพลังในเกมรุกซึ่งหงส์แดง มีเหลือเฟือเวลานี้ และได้ประตูชัยจากจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก่อนจะปกป้องชัยชนะที่ล้ำค่านี้เอาไว้ได้
เชื่อว่าเกมนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับ ร็อดเจอร์ส และนักเตะลิเวอร์พูลทุกคน จากการวางแผนที่พลาดของกุนซือ และการเล่นที่ผิดพลาดของนักเตะในสนาม รวมถึงการได้เรียนรู้ว่ายามความกดดันมันกัดกินหัวใจนั้น แข้งขามันปวกเปียกอ่อนแรงขนาดไหน
อย่างไรก็ดี ในด้านที่ดีของชัยชนะนัดนี้ มันทำให้เราได้เห็นถึง "สปิริต" อันแรงกล้าของขุนพลชุดแดงเพลิง ซึ่งในเวลานี้กระหายชัยชนะจนออกนอกหน้า อยากชนะจนตัวสั่น และรู้จักผิดหวังที่ทีมเสี่ยงต่อการพลาด 3 คะแนน ไม่กลัวที่จะเล่นเพื่อเอาชนะมาให้ได้
สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติของทีมที่จะประสบความสำเร็จได้ในอนาคต และไม่มีใครสามารถสอนให้ได้นอกจากประสบการณ์ในการเจอของจริงในสนามเท่านั้น
วันนี้เป็นอีกแค่หนึ่งบทเรียน และยังมีอะไรที่พวกเขาต้องเรียนรู้อีกมากหากคิดจะเป็น "แชมเปี้ยน" ที่แท้จริง
ลูกแม่กิ่ง