ก้าวแรกสู่ประวัติศาสตร์ของซิตี้และเปเญกรินี่
ฟุตบอล : แชมป์ลีก คัพ ครั้งนี้ของแมนฯ ซิตี้ จึงมีความหมายสำคัญต่อความหวังในการลุ้นแชมป์อีก 3 รายการที่เหลือ โดยเปเญกรินี่ ซึ่งไม่เคยคว้าแชมป์บนแผ่นดินยุโรปได้เลยมาก่อน หวังจะสร้างชื่อด้วยการนำทีมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน
รสชาติของชัยชนะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่นั้นหอมหวานเสมอ
ดังนั้นไม่สำคัญว่าจะเป็นโทรฟี่รายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือรายการเล็กที่สุดในระดับการแข่งขันอย่างเป็นทางการที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานามว่าเป็น "ถ้วยมิคกี้เมาส์" บ้างหรือเป็น "ถ้วยน้ำพริก" บ้างอย่างลีก คัพ
วินาทีที่ได้ชูโทรฟี่นั้น ไม่มีใครที่ไม่อิ่มเอมใจไปกับมัน
แชมป์ลีก คัพ หรือในชื่อปัจจุบันตามการสนับสนุนของสปอนเซอร์ว่า "แคปิตอล วัน คัพ" ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำความสุขและรอยยิ้มมาสู่ชาว "ซิตี้เซนส์" อีกครั้ง หลังขวบปีแห่งความว่างเปล่าที่แสนเจ็บปวดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
และยังเป็นแชมป์แรกบนแผ่นดินยุโรปของ มานูเอล เปเญกรินี่ ปราชญ์ลูกหนังชาวชิลีด้วย
แชมป์นี้เป็นแชมป์รายการที่ 12 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นแชมป์รายการที่ 3 ในรอบ 4 ปีของสโมสร โดยก่อนหน้านี้พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ในฤดูกาล 2010-11 แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ส่วนในฤดูกาลที่แล้ว 2012-13 ได้เข้าชิงแต่พ่ายต่อวีแกนแบบช็อกโลก
จากข้อมูลตรงนี้ทำให้เราได้เห็นว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่กำลัง "เสพย์ติด" ความสำเร็จ พวกเขาคุ้นชินกับการไล่ล่าเกียรติยศ ซึ่งเราเรียกว่าเป็นทีมที่มี winning mentality
ไม่แตกต่างอะไรจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองในอดีตซึ่งครั้งหนึ่งในช่วงที่ ซิติ้ กำลังก่อร่างสร้างตัวเคยถูกเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เหน็บแนมว่าเป็นแค่ "เพื่อนบ้านที่ชอบส่งเสียงดังน่ารำคาญ"
วันนี้ซิตี้ แซงหน้ายูไนเต็ดไปแบบไม่เห็นฝุ่นในหลายด้านแล้ว
ความมุ่งมั่นจะคว้าแชมป์ของแมฯฯ ซิตี้ ทำให้เกมนัดชิงที่เวมบลีย์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในเกมนัดชิงที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะทั้งสองทีมต่างตั้งใจที่จะลงเล่นเพื่อคว้าแชมป์จริงๆ
โดยเฉพาะเปเญกรินี่ ที่ใส่ผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก สะท้อนความปรารถนาและความหวังที่มีต่อถ้วยใบนี้ว่ามากมายแค่ไหน
ขณะที่ซันเดอร์แลนด์เอง ก็สู้ได้อย่างน่าชื่นชมและถึงแม้จะน่าเสียดาย แต่คงไม่มีอะไรให้เสียใจเพราะพวกเขาได้พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเวลาแรกที่สู้อย่างถึงพริกถึงขิงหลังได้ประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกมจากหัวหอกเสือคาบดาบ ฟาบิโอ บอรินี่
โชคร้ายสำหรับซันเดอร์แลนด์ ซึ่งต้องเจอทีมที่มีตัวพลิกเกมระดับโลกอยู่ในทีมมากมายอย่าง เซร์จิโอ อเกวโร่, ยาย่า ตูเร่ และซาเมียร์ นาสรี่
พวกเขาไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เมื่อประตูของยาย่า มิดฟิลด์ตัวกลางที่เก่งและครบเครื่องที่สุดในโลกเวลานี้ เป็นลูกยิงในเวมบลีย์ที่สวยที่สุดลูกหนึ่ง และมันเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้กระแสธารของเกมเปลี่ยนกลับมาอยู่ฟากซิตี้ทันที
และมากกว่านั้น คุณค่าของประตูนี้อาจนำไปสู่แชมป์รายการอื่นๆที่พวกเขายังเหลือลุ้นครบถ้วนทั้ง 3 รายการไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สถานการณ์ของซิตี้ ทำให้ผมคิดถึงอาร์เซนอลเมื่อฤดูกาล 2010-11 ที่มีลุ้นครบทั้ง 4 แชมป์ แต่พวกเขาพลาดท่าพ่ายต่อเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในนัดชิงลีก คัพ ทำให้ประกายความหวังที่เคยมีดับลงไป และสุดท้ายจบลงด้วยความว่างเปล่าในฤดูกาลนั้นเรื่อยมาจนถึงฤดูกาลนี้
โดยที่มีการมองกันว่าหากวันนั้นกันเนอร์ส คว้าแชมป์ลีก คัพได้ พวกเขาอาจกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งไปแล้วก็เป็นได้
เชลซีในยุคของโจเซ่ มูรินโญ่ ก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวแชมป์ลีก คัพ ในฤดูกาล 2004-05 ด้วยการล้มลิเวอร์พูล ก่อนจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของสโมสรได้ในรอบ 50 ปี
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในอังกฤษได้อีกครั้งหลังตกเป็นเบี้ยล่างของเชลซี โดยเริ่มจากการคว้าแชมป์ลีก คัพ ถ้วยที่พวกเขาเคยปรามาศอย่างรุนแรง ด้วยการล้มวีแกน ในฤดูกาล 2005-06 และฤดูกาล 2009-10 โดยก่อนหน้านั้นในฤดูกาล 2008-09 พวกเขาก็เข้าชิงด้วยแต่พ่ายต่อสเปอร์สในการดวลจุดโทษ
แชมป์ลีก คัพ ครั้งนี้ของแมนฯ ซิตี้ จึงมีความหมายสำคัญต่อความหวังในการลุ้นแชมป์อีก 3 รายการที่เหลือ โดยเปเญกรินี่ ซึ่งไม่เคยคว้าแชมป์บนแผ่นดินยุโรปได้เลยมาก่อน หวังจะสร้างชื่อด้วยการนำทีมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน
แม้จะมี "หลุด" ให้ขำขันกันบ้างเมื่อให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่าคุมทีม "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" ไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ในเมื่อคุณค่าของชัยชนะในครั้งนี้นั้นสูงค่าเกินกว่าจะมาใส่ใจกับการพูดผิดพูดถูกแค่นี้
อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ก่อนจะไปสู่ความสำเร็จได้ ก้าวแรกสำคัญเสมอ