ผ่าฟอร์มแชมป์โลก
ศึกอภิมหาลูกหนังแห่งมวลมนุษยชาติ ยิ่งใหญ่เหนืออื่นใดในปฐพี หรือ ฟุตบอลโลก ได้ระอุขึ้นบนผืนโลกแห่งนี้ในวาระเวียนมาบรรจบปี 2014
ฟุตบอลโลก 2014 เปิดฉากฟาดแข้งกันตั้งแต่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา บรรดายอดทีมน้อย-ใหญ่จากทั่วทุกสารทิศ พาเหรดเข้าร่วมศึกใหญ่ครั้งนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
สำคัญไปกว่านั้น คือเหล่าบรรดาทีมที่เคยหยิบแชมป์รายการนี้ทั้ง 8 อรหันต์ ต่างพร้อมใจได้เข้าร่วมเผดียงศึกครั้งนี้กันพร้อมหน้าโดยมิได้นัดหมาย
นับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก อุบัติขึ้นมาเมื่อปี 1930 มียอดทีมที่ฝ่าดงทีนจนเข้าไปคว้าถ้วยทองคำได้ทั้งสิ้น 8 ชาติด้วยกัน และใน เวิลด์ คัพ ฉบับ "แซมบ้า" ครั้งนี้ ลองไปเช็คฟอร์มพวกเขาเหล่านั้น หลังผ่านเกมแรกในรอบสุดท้าย
ทีมชาติบราซิล (แชมป์ปี 1958, 1962, 1970, 1994 และ 2002)
ในฐานะเจ้าภาพ พวกเขาเข้าร่วมศึกครั้งนี้โดยมิต้องเสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียว พร้อมพ่วงดีกรีแชมป์โลก 5 สมัย (มากสุดในโลก) ขู่บรรดาเพื่อนร่วมสายได้เป็นอย่างดี
เกมประเดิมของทัพ "เซเลเซา" กับทีมชาติโคเอเชีย ต้องบอกว่าหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เลยทีเดียว เมื่ออาคันตูกะเซอร์ไพรส์ได้ประตูนำก่อนแต่ต้นเกม แต่ยังดีที่ เนย์มาร์ ทวงคืนได้ในช่วงครึ่งชั่วโมงของครึ่งแรก
ถึงอย่างไรก็ตามจะเนื่องด้วยเทพีแห่งโชคที่ยืนอยู่ข้างๆ หรือสายตาที่เอนเอียงของสิงห์เชิ๊ตดำชาวญี่ปุ่น ก็ตาม (จุดโทษปัญหา) เกมประเดิมสนามของลูกทีม หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ยังไม่เข้าที่เข้าทางและยังไม่ประทับใจสาวกเท่าที่ควร
ทีมชาติสเปน (แชมป์ปี 2010)
แชมป์ใหม่ถอดด้ามในศึก เวิลด์ คัพ ครั้งล่าที่เพิ่งลาจากช่วงเวลา "This Time Form Africa" เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาหมาดๆ เพรียบพร้อมไปด้วยขุมกำลังระดับพระกาฬ และหน้าเดิมเสียส่วนใหญ่ เติมเต็มด้วย ดีเอโก้ คอสต้า ย้ายสีเสื้อจากเหลืองเป็นแดง (บราซิล - สเปน นะจ๊ะ)
เกมประเดิมนัดแรกกลุ่มบี รีแมตช์นัดชิงฯเมื่อ 4 ปีที่แล้ว สเปน ต่อบอลทำเกมได้เหนือกว่าตามฟอร์ม จนได้ประตูขึ้นนำจากจุดโทษ ชาบี อลอนโซ่ กระทั่งจุดเปลี่ยนมาในช่วงท้ายครึ่งแรก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ โชว์สัญชาติญาณศูนย์หน้า "ฟรายอิงดัตช์แมน" ให้สกอร์เจ๊า 1-1
จุดแตกดับของทัพ "กระทิง" คือ 45 นาทีหลังจากนั้น ฮอลแลนด์ ในขุมกบาลของ หลุยส์ ฟาน กัล นำลูกทีมเจาะทะลวงแนวรับอ่อนปวกเปียกจนขาดวิ่น จนนำมาซึ่งสกอร์ 5-1 เสียค่าราคาแชมป์เก่าจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปมุดไว้ไหน
ทีมชาติอุรุกวัย (แชมป์ปี 1930, 1950)
เจ้าของแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ "เวิลด์ คัพ" มาใน พ.ศ.นี้ อุรุกวัย ที่ทุกลมหายใจเข้า-ออก ก็มีแต่ชื่อของ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงตัวความหวังประจำทีมที่พกอาการบาดเจ็บมาร่วมศึกครั้งนี้ด้วย
แต่จะว่าไปขุมกำลังที่เหลือของ อุรุกวัย ยังอุดมณ์ไปด้วยสตาร์เต็มทีม เอดินสัน คาวานี่, ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ แต่จะด้วยเหตุผลกลใดมิทราบได้ เกมเปิดตัวกลับกล้าแพ้ทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นเต็งบ๊วยของกลุ่มอย่าง คอสตาริกา ไปแบบสุดช็อก
คาวานี่ ยิงจุดโทษให้ อุรุกวัย ขึ้นนำก็เป็นไปตามคาดในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังเหมือนหนังคนละม้วน ทีม "กล้อยหอม" จอมซน ขยี้แนวรับแชมป์โลก 2 สมัย จนแทบไม่เหลือฉายา "จอมโหด" สร้างเซอร์ไพรส์คว้าชัยไป 3-1
ทีมชาติอังกฤษ (แชมป์ปี 1966)
ทีมขวัญใจมหาชน ที่ขนผู้เล่นยังบลัดลุย "เวิลด์ คัพ" ล้นทีม โดยมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นแกนกลาง มีคู่หู "รูน -ริดจ์" เป็นความหวังในแดนหน้า
ความสำเร็จเดียวที่แข้งรุ่นปู่ฝากฝังไว้ตั้งแต่ปี 1966 คือสิ่งที่นักเตะรุ่นหลานๆ พยายามตามหามากว่าครึ่งศตวรรษ ขณะที่ฟุตบอลโลกหนนี้ ยังต้องพบกับงานที่ยากเย็นแสนเข็ญเมื่อถูกจับยัดอยู่ใน "กลุ่มแห่งความตาย" มี อุรุกวัย กับ อิตาลี เป็นก้างชิ้นโต
ในเกมประเดิมของทัพ "สิงโตคำราม" ก็ใช่ว่าจะขี้เหร่เสียทีเดียว แนวรุกที่เต็มไปด้วยตัวจี๊ดๆ 3 อาร์ รูนี่ย์, สเตอร์ริดจ์, ราฮีม (ตัด เวลเบ็ค ออกไปในฐานะที่เข้าใจ) ต่อกรกับ อิตาลี ได้สุดมันส์ในครึ่งแรก แต่การยืนระยะ 90 นาที อังกฤษ แพ้ความเก๋าของ "อัซซูรี่" ที่มี อันเดรีย ปีร์โล่ คุมเกม ไปโดยสิ้นเชิง
ทีมชาติอิตาลี (แชมป์ปี 1934, 1938, 1982, 2006)
แชมป์โลก 4 สมัยภายใต้การนำทัพของ เซซาเร่ ปรันเดลลี่ เพิ่งได้รับข่าวร้ายก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์เพียงไม่กี่วัน เมื่อต้องเสีย ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ กองกลางคนสำคัญที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นหน้าแข้งหัก จากเกมอุ่นเครื่องกับ ไอร์แลนด์
แต่ด้วยขุมกำลังที่สามารถทดแทนได้ ผนวกกับปรัชญาการทำทีมแนวใหม่ของผู้เป็นกุนซือ เปลี่ยนโฉมทีมที่เน้นเกมรับจนน่าเบื่อ กลายเป็น "อัซซูรี่" ยุคบุกแหลก จนทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเหนิดของฟุตบอลอย่าง "สิงโตคำราม" ต้องขยาด
น่าเสียดายที่ทั้ง 3 ทีมอดีตแชมป์โลก (รวม อุรุกวัย กับ อังกฤษ) ถูกจัดให้อยู่ร่วมสายเดียวกัน แน่นอนว่าจะมี 1 ทีมแน่ๆ ที่ไม่ได้ไปต่อ แต่หากจะมีทีมที่ดีที่สุด 1 ใน 3 ทีมนี้ที่เดินหน้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ อิตาลี น่าที่จะมีภาษีดีกว่าเป็นไหนๆ
ทีมชาติฝรั่งเศส (แชมป์ปี 1998)
เดินทางสู่ "เวิลด์ คัพ" หนนี้ ด้วยการขาดแนวรุกตัวเก่งอย่าง ฟร้องค์ ริเบรี่ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บบริเวณแผ่นหลังติดตัวมาจากการรับใช้สโมสร บาเยิร์น มิวนิค กระทั่งหลุดโผในช่วงวินาทีสุดท้าย
การขาดหายไปของ "องค์บาก" ไม่ใช่ปัญหาปวดสมองของ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ แต่อย่างใด เมื่อเขานำเพ็ชรเม็ดงามที่ชื่อว่า อองตวน กรีซมันน์ แนวรุกดาวรุ่งฟอร์มแรงจาก เรอัล โซเซียดาด มาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้อย่างไร้ที่ติ
"ตราไก่" ประเดิมนัดแรกอย่างสบายหายห่วง ไล่อัดทีมรองบ่อนอย่าง ฮอนดูรัส ไป 3-0 โดย คาริม เบนเซม่า กองหน้าตัวความหวังกดไป 2 เม็ด บรรจุชื่อลงในทำเนียบลุ้นดาวซัลโวร่วมกับ เนย์มาร์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ อาร์เยน ร็อบเบน เป็นที่เรียบร้อย
ทีมชาติอาร์เจนติน่า (แชมป์ปี 1978, 1986)
มาในฐานะตัวเต็งเบอร์ต้นๆ ในกาลศึกครั้งนี้ โดยมียอดแข้งความหวังสูงสุดของมวลมหาประชาสี "ฟ้า-ขาว" อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ เป็นหัวใจสำคัญในภารกิจคืนความยิ่งใหญ่สู่บ้านเกิด
อเลฮานโดร ซาเบย่า ผู้เป็นนายใหญ่ กล้าๆ ตัดสินใจตัดชื่อ คาร์ลอส เตเวซ ที่แฟนๆ เรียกร้องพ้นทีม แล้วเลือกที่จะเชื่อมั่นในแนวทางที่ทำมาตั้งแต่ปี 2011 (ตัดชื่อ เตเวซ)
กับเกมประเดิมรับน้องนัดแรกกับ บอสเนีย (ลุยบอลโลกครั้งแรก) ซาเบย่า จัดแผนที่ยากจะเข้าถึง เน้นเกมรับมากเกินไป ทั้งๆ ที่มีแนวรุกระดับโลกอยู่ล้นทีม ขณะที่จังหวะทีเด็ดทีขาดยังไม่เฉียบคมเท่าที่ควร จนเกือบเพลี้ยงพล้ำให้ บอสเนีย ในหลายจังหวะ โชคดีที่ได้ความมหัศจรรย์ของ เมสซี่ ยิงประตูที่ 2 ให้กับทีมได้
**ขณะที่ ทีมชาติเยอรมัน แชมป์โลก 3 สมัย จะลงฟาดแข้งในอีก 1 วันให้หลังที่บทความนี้จะเผยแพร่สู่สารธรณะชน โคจรมาเจอก้างชิ้นโต ทีมชาติโปรตุเกส ที่มียอดแข้ง บัลลง ดอร์ อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นบททดสอบสำคัญรออยู่ในเกมประเดิมสนาม
ที่ผ่านมา มีเพียง อิตาลี กับ ฝรั่งเศส เท่านั้นที่สอบผ่านฉลุย ขณะที่ บราซิล ข้ามเส้นไปหวุดหวิด ส่วน อาร์เจนติน่า ยังดูไม่เข้าที่เข้าทาง ที่เหลือ ทั้ง สเปน, อุรุกวัย และ อังกฤษ สอบตกกันถ้วนหน้า มาดูกันว่า "อินทรีเหล็ก" จะไปได้สวย หรือจะซวยในแมตช์แรก