เบล (ไม่) เยี่ยม

เบล (ไม่) เยี่ยม

เบล (ไม่) เยี่ยม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับเกมแรกของชาติที่ถูกมองว่าเป็น "ม้ามืด" ในฟุตบอลโลกครั้งนี้!!

หลังจากเมื่อ 2 วันก่อน (จันทร์ ที่ 16 มิ.ย.) ผมได้นั่ง-นอน ดู 1 ใน 3 ทีมที่ตามเชียร์ใน ฟุตบอลโลก หนนี้ และก็ได้นั่ง และ นอนบ่นไปด้วย ว่าทำไม โปรตุเกส เล่นบอลกันได้ "ห่วยแตก" เหลือเกิน!!

ทีมแรกที่เชียร์ ประสบความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมายไปแล้ว นั่นก็คือ เนเธอร์แลนด์ ตามมาด้วยการผิดหวังอย่างเหนือความคาดหมายอีกครั้ง กับการแพ้ "เละเกินไป" ของ โปรตุเกส มาถึงเมื่อคืน (อังคารที่ 17 มิ.ย.) นั่งประจำการอยู่ที่ฐานบัญชาการ 96 สปอร์ต เรดิโอ ก็ได้ตามเชียร์อีกหนึ่งทีม นั่นก็คือ เบลเยี่ยม.....

และแล้ว มาร์ค วิลมอตส์ ก็ทำให้ผมสมหวัง!!!

ที่สมหวังก็คือ สมหวังในสิ่งที่ผมคิดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าผมหวั่นที่จะต้องผิดหวังอีกหนึ่งทีม เพราะเริ่มตั้งแต่การจัด 11 ผู้เล่นตัวจริง ก็รู้เลยว่า งานนี้ จะไม่ได้เห็นฟุตบอลวันเวย์ แน่นอน

กองหลังจาก กุ๊กไก่ เข้าบอลเหว่อตลอดในเกมนี้

และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เริ่มด้วยการเสียประตูไปก่อนจากลูกจุดโทษ ซึ่งต้องบอกว่า แยน แฟร์ต็องเก้น ทำได้ไม่เนียนตาเลย แถมเกมบุกที่ว่าร้อนแรง ก็กลายเป็นช็อตไปดื้อๆ
 
เริ่มจากการจัดตัวผู้เล่นก่อน แน่นอนว่า ติโบต์ กูร์กตัวส์ เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คนเป็น โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แดเนียล ฟาน บุยเต็น, แว็งซ็องต์ ก็องปานี และ แยน แฟร์ต็องเก้น

ถือเป็นความผิดพลาดของ วิลมอตส์ ที่ประมาทส่งเด็กเมื่อวานซืนอย่าง ชาดลี่ เป็นตัวจริง

ก็พอรับได้สำหรับกองหลังเซตนี้ เพราะว่าคงไม่พ้นจากนี้เท่าไหร่ แต่แผงมิดฟิลด์ 5 ตัวพอเห็นชื่อแล้วกุมขมับ ไล่ตั้งแต่การส่ง มุสซ่า เด็มเบเล่ มาจับคู่กับ อั๊กเซล วิตเซล ตรงกลาง แล้วจับ มารูยาน เฟลไลนี่ เป็นสำรอง ก็เริ่มที่จะหวั่นๆ แล้วล่ะครับ พอมาเห็นตัวรุก 3 คน ประสานงานกันโดย เอแด็น อาซาร์, เควิน เดอ บรอยน์ และ "นาเซอร์ ชาดลี่"!!!!!!
 
และแล้วเกมก็กลายเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์..... ทีมที่ไม่มีอะไรจะเสียอย่าง แอลจีเรีย ก็เล่นบอลได้ตามแท็กติกที่วางไว้ทุกอย่าง
 
แต่กระนั้นก็ต้องขอชื่นชม มาร์ค วิลม็อตส์ ที่คิดเร็วทำเร็ว เปลี่ยนตัวแรกตั้งแต่เริ่มครึ่งเวลาหลัง และส่งตัวที่น่าจะเป็นหนึ่งใน 11 ผู้เล่นตั้งแต่เริ่มอย่าง ดรีส์ เมอร์เท่นส์ มาแทนในตำแหน่งปีกขวา
 
อย่างไรก็ตาม รูปเกมยังไม่เปลี่ยน จนกระทั้งนาทีที่ 58 ต้องจำใจถอด โรเมลู ลูกากู ที่ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรออก และส่งผู้เล่นที่มีความสดอย่าง ดิว็อค โอริกี้ ลงสนามมาแทน แน่นอนว่าการส่งผู้เล่นประสบการณ์น้อยลงมา ก็ยังไม่สามารถทำให้เกมเปลี่ยนไปได้ แต่ก็เริ่มที่จะดูดีขึ้นมา
 
สุดท้ายแล้วพวกเขาเหลือโควต้าเพียงหนึ่ง ก็ต้องใช้บริการของ มารูยาน เฟลไลนี่ พอเข้าถึงนาทีที่ 65 ด้วยการถอด เด็มเบเล่ ออก โดยเป็นการเปลี่ยนตัวตามตำแหน่งทั้งสิ้น การที่ วิลม็อตส์ เปลี่ยนตัวแบบนี้ มันมาจามแท็กติกที่วางไว้ เมื่อทีมกำลังวิกฤติ ซึ่งมันก็เป็น 3 ตัวที่สื่อได้มองเอาไว้ จะมีผิดนิดหน่อยก็แค่ตำแหน่งหน้าเป้า เพราะ ลูกากู ดันเล่นไม่ออกก็เท่านั้น

พี่ฟู ณ เบลเยี่ยม กับ พี่ ฟู ณ ผีแดง ต่างกันสิ้นเชิง

แล้วทันใดนั้นเอง อีก 5 นาที่หลังจากเปลี่ยน "ฟูใหญ่" ลงสนาม เจ้าตัวก็ทำประตูได้ทันที ด้วยการโยนโหม่ง ตามสูตรที่ใครๆ ก็คาดการณ์กันเอาไว้เช่นกัน ว่าพอหมอนี่ลงมา ก็ต้องเล่นแบบนี้ และแน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้กับ เฟลไลนี่ จริงๆ ที่เจ้าตัวสามารถทำได้ ตีเสมอให้กับ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ได้สำเร็จ โดยเหลือเวลาอีก 20 นาทีเพื่อทวงประตูชัย
 
หลังจากนั้น ฟอร์มการเล่นของ เฟลไลนี่ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมไม่เคยเห็นเลยในสีเสื้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นเพราะอะไร ทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้จริงๆ......
 
สุดท้าย จังหวะสวนกลับ เอแด็น อาซาร์ ที่เล่นไม่ดีมาตลอดทั้งเกม ก็กลับแผลงฤทธิ์ ด้วยการลากบอลมาถึงหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะโยนข้ามไปฝั่งขวาให้กับ เมอร์เท่นส์ ซึ่งอยู่คนเดียวโล่งๆ กระชากเข้าไปในกรอบ 18 หลา ก่อนจะซัดเต็มหลังเท้าเข้าไปเป็นประตูที่ 2 ให้กับทีม ขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 10 นาทีสุดท้าย
 
สุดท้ายแล้ว นักเตะที่ทำประโยชน์ให้กับ เบลเยี่ยม ก็กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจะได้เป็นตัวจริงเกมนี้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ เท่านี้ก็ได้คำตอบอย่างง่ายๆ ว่า วิลม็อตส์ ประมาททีมจากแอฟริกาทีมนี้เกินไปนั่นเอง

2 ผู้เล่นสำรอง (ที่น่าจะเป็นตัวจริง) ยิงให้ ปีศาจแดง แห่ง ยุโรป แซงชนะอย่างฉิวเฉียด

การคว้า 3 คะแนนของเบลเยี่ยมครั้งนี้ ทำสถิติที่น่าสนใจอยู่หนึ่งอย่าง คือพวกเขาเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ทำประตูจากตัวสำรองที่เปลี่ยนลงมาได้ถึง 2 ประตู
 
อีกหนึ่งอย่างคือ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ เป็นนักเตะจากสโมสร นาโปลี คนที่ 4 ที่ทำประตูในฟุตบอลโลกได้ ต่อจาก ดีเอโก้ มาราโดน่า (อาร์เจนติน่า, 1986), กาเรก้า (บราซิล, 1990) และ ฟาบิโอ กวายาเรลล่า (อิตาลี, 2010)
 
สำหรับผมที่ตามเชียร์เบลเยี่ยมในฟุตบอลโลกหนนี้ ต้องบอกเลยว่านี่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของพวกเขาเลยทีเดียว เพราะมันทำให้พวกเขารู้แล้วว่า ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ไม่ควรประมาทชาติไหนทั้งสิ้น เพราะกว่าพวกเขาจะเข้ามาถึง 32 ทีมสุดท้ายได้ ก็ต้องผ่าน เสือ สิงห์ กระทิง แรด มาทั้งนั้น
 
สำหรับเกมต่อไป ชาติที่ถูกเรียกว่าเป็นม้ามืด จะเจองานหินที่สุดในรอบแรกอย่าง รัสเซีย (22 มิ.ย.) พวกเขาคงจะไม่ประมาทคู่แข่งเหมือนในเกมนี้แล้วล่ะ
 
และสำหรับแฟนๆ เบลเยี่ยมในครั้งนี้ ก็อยากให้ตามเชียร์กันต่อไปครับ เพราะว่าถ้าผู้เล่นชุดนี้ ผ่านเข้ารอบไปได้ลึกๆ ก็ยิ่งเป็นผลดีของพวกเขา ได้สั่งสมประสบการณ์ เพื่อเข้าไปสู่ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในอีก 2 ปีข้างหน้านั่นเอง
 
ถึงเวลานั้น เปลี่ยนกุนซือด้วยก็ดีนะ..... ^^

 

P.D.

 ติดตามข่าวบอลโลก 2014 โปรแกรมบอลโลก ผลบอลโลก ได้ที่
 http://sport.sanook.com/worldcup

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook