เก็บตกหลังเกม "5 เรื่องต้องรู้" หลัง ลิเวอร์พูล เชือด เปเอสเช ทดเจ็บ 3-2
เยอร์เก้น คล็อปป์ ยิ้มออกจนได้ หลัง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ตัวสำรองที่ถูกส่งลงสนามท้ายเกม ลงไปยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พา หงส์แดง คว้า 3 แต้มได้ก่อนในกลุ่มหฤโหดนี้ ส่วน เปเอสเช ของ โทมัส ทูเคิล ต้องพบกับความปราชัยนัดแรกของฤดูกาล
ไปดูกันว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้างในเกม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อคืนนี้
5. ฟีร์มิโน ไม่ทำให้ผิดหวัง
แม้ว่าจะยิ่งไม่บ่อยเท่า มาเน หรือ ซาลาห์ แต่เมื่อทั้ง 2 คนไม่สามารถงัดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้ ฟีรฺ์มิโน ก็มักจะเป็นคนทำสกอร์แทนเสมอ และเกมนี้เขาก็ทำได้อีกครั้งจากการลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง
ในนาทีที่ 91 ของเกม มิลเนอร์ ตัดบอลมาจาก เอ็มบัปเป้ ได้ โจ โกเมซ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ รีบส่งบอลให้ ฟาน ไดจ์ค ที่ต่อบอลให้ ฟีร์มิโน ทันที ศูนย์หน้าฟันขาวจัดการโยกหลอก มาร์ควินญอส 1 จังหวะ ก่อนจะยิงอย่างแม่นยำ บอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไป
4. เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ เครื่องติดช้าไป
แม้ว่าเกมนี้จะถูกคาดหวังให้เป็นการดวลกันของ 3 ประสาน แต่จริง ๆ แล้วกลับกลายเป็นฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ทำได้น่าตื่นเต้นกว่าในครึ่งแรกและต้นครึ่งหลัง
เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ แทบจะถูกหยุดยั้งโดยสิ้นเชิง โจ โกเมซ, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เจมส์ มิลเนอร์ ทำให้ 2 ตัวจี๊ดของทีมเยือนทำอะไรไม่ได้มากนัก แม้กระทั่งประตูที่พวกเขาได้ในครึ่งแรกยังมาจากการยิงของกองหลังด้วยซ้ำ
กว่าทั้งคู่เริ่มจะปั่นป่วนแนวรับ ลิเวอร์พูล ได้ก็ตอนผ่าน 1 ชั่วโมงแรกไปแล้ว และกว่าการประสานงานของทั้งคู่จะสัมฤทธิ์ผลก็ต้องรอจนถึงนาทีที่ 88 เลยทีเดียว ก่อนที่พวกเขาจะมาเสียประตูชัยช่วงทดเวลา
3. เจมส์ มิลเนอร์ ปิดทองหลังพระ
ทั้ง ๆ ที่อายุ 32 เข้าไปแล้ว แต่ เจมส์ มิลเนอร์ คือคนที่โดดเด่นที่สุดในแผงกองกลางของ ลิเวอร์พูล ณ ตอนนี้ และเอาเข้าจริงแล้ว เขาโดเด่นที่สุดในช่วง 2-3 เกมที่ผ่านมาเลยทีเดียว และรวมถึงเกมนี้ด้วย
มิลเนอร์ โชว์ความเก๋าออกมาตั้งแต่แรกด้วยการเข้าปะทะหนักใส่พวกตัวความเร็วสูงแต่บางของ เปเอสเช ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์, ดิ มาเรีย หรือ เอ็มบัปเป้ ซึ่งนอกจากจะเข้าหนักจนอีกฝ่ายกลิ้งแล้ว เขายังเข้าบอลแม่นด้วย ทำให้อีกฝ่ายหมดโอกาสที่จะตบตากรรมการโดยสิ้นเชิง
เขาทำให้เกมตรงกลางของ ลิเวอร์พูล แข็งกว่า เปเอสเช อย่างชัดเจน และนั่นทำให้ การต่อบอลสั้นของคู่แข่งไม่สามารถไปถึง เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ หรือ คาวานี โดยง่าย ทำให้ เปเอสเช ต้องพึ่งการโยนยาวอยู่พักใหญ่ ๆ
นอกจากนี้เขายังทำประตูที่ 2 ให้กับทีมจากการยิงลูกโทษอันเฉียบขาดอีกด้วย และจังหวะประตูชัยของทีมก็เป็น มิลเนอร์ นี่แหละที่ไปแย่งบอลมาจาก เอ็มบัปเป้ ก่อนที่ ฟีร์มิโน จะยิงประตูในเวลาต่อมา
2. ซาลาห์ ยังไม่ท็อปฟอร์ม
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำได้ดีพอสมควรในเกมนี้ โดยเฉพาะการครองบอลกดดันทางกราบขวา แต่เมื่อเทียบกับฟอร์มในฤดูกาลที่แล้วก็ต้องบอกว่ายังห่างไกลกันมากทีเดียว
ส่วนหนึ่งต้องชม ฆวน เบร์นัต ที่จำกัดพื้นที่เล่นของ ซาลาห์ ทำให้เขาทำอะไรเองไม่ได้มากนัก แต่ปีกชาวอียิปต์เองก็ดูจะไร้จินตนาการไปพอสมควร เขาไม่กล้าทำอะไรแผลง ๆ ไม่กล้าลุยเหมือนเมื่อก่อน และการจบสกอร์ของเขาก็ยังไม่คม
เมื่อเทียบกับ ซาดิโอ มาเน แล้ว รายนี้พยายามจะโชว์ทักษะอยู่ตลอด ทั้งการวิ่งหาตำแหน่งไปทั่ว หรือการโยกมาเล่นฝั่งเดียวกับ ซาลาห์ ก็ทำมาแล้ว นั่นจึงทำให้ ซาลาห์ ยิ่งดูเงียบมากกว่าปกติเสียอีกในเกมนี้
1. สเตอร์ริดจ์ คือคำตอบ หลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ ดูเหมือนว่า แดเนียล สเตอร์ริดจ์ จะทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนในตอนนี้น่าจะเป็นอะไล่ทดแทนสามประสานได้แล้วโดยที่ทีมไม่ต้องกลัวว่าการทำประตูของทีมจะหดหายไปแต่อย่างใด
สเตอร์ริดจ์ แสดงให้เห็นทักษะในการเข้าพื้นที่อันตราย ทั้งในยามไม่มีบอลและมีบอล อย่างตอนที่เข้าทำประตูขึ้นนำให้กับทีม เขาสามารถลอบเร้นเข้าไปอยู่ตรงพื้นที่ระหว่าง ซิลวา, คิมเป็มเบ้ และ อเรโอลา ได้โดยที่ไม่มีใครระวัง
ส่วนในครึ่งหลัง เขายังสามารถตามไปเล่นต่อจากจังหวะที่ ไวจ์นัลดุม ยิงแฉลบได้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ใช่ว่าขาของเขาจิ้มเขาไปที่ของลับของ อเรโอลา แล้ว ลิเวอร์พูล อาจจะะชนะขาดลอยมากกว่านี้ก็เป็นได้