พ่อโหด, สู้กับหมี, ราชาแซมโบ้ : เปิดชีวิตสุดห่ามของ "คาบิบ" ที่ราวหลุดมาจากบากิ
4 ยกก็เพียงพอเเล้วที่ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักชกมวยกรงผู้เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลกในยุคปัจจุบันชาวไอร์แลนด์จะสิ้นสภาพหมดแรงขัดขืนจากลีลาของ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ แชมป์โลกนามสกุลยาวและอ่านยากจากรัสเซีย
ท่าซับมิชชั่นทีเด็ดเผด็จศึกด้วยท่า Rear Naked Choke ล็อคคอจากด้านหลัง ทำให้จอมเกรียนชาวไอริช ต้องตบตัวยอมแพ้ ผู้ตัดสินชี้ขาดว่า "คาบิบ" เป็นผู้ชนะในไฟต์นี้เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เพียงแต่ว่าผู้ชนะอย่างเขากำลังหูดับจากความโกรธแค้นที่สั่งสมมาก่อนที่จะได้ขึ้นชกไฟต์นี้
เขาขยี้ท่าซับมิชชั่นหลังจาก แม็คเกรเกอร์ แท็บยอมแพ้ต่อไปอีกประมาณ 3 วินาที เขาล็อกเเน่นไม่ยอมปล่อยราวกับเป็นภาษากายที่ใช้แทนคำพูดว่า "ไหนแกลองพูดเหมือนตอนก่อนชกอีกทีซิ" อะไรประมาณนั้น
ความบาดหมางของทั้งสองคนไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวเพราะ แม็คเกรเกอร์ ทำให้ความรู้สึกและเสียงของแฟนมวยกรงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝั่งกองเชียร์ของแม็คเกรเกอร์ มองว่า คาบิบ เป็นนักมวยหุ่นยนต์ สไตล์จืดชืด เก่งแต่ท่านอน ไร้จุดขาย ไร้การตอบโต้ เพื่อเพิ่มดีกรีก่อนชกให้ร้อนแรง เพราะ แม็คเกรเกอร์ เป็นพวกข่มคู่ชกก่อนเกมเสมอ ขณะที่อีกฝั่งนั้นรอให้ คาบิบ ใช้หมัดตอบโต้แทนปาก และดับอหังการอดีตแชมป์ปากสว่างแต่เก่งจริงอย่าง แม็คเกรเกอร์ เสียที
คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ เป็นใคร เติบโตมาแบบไหน ทำไมจึงทำให้โลกของมวยกรงสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้ ถ้าคุณอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่าแค่ "คนที่ชนะแม็คเกรเกอร์" คุณมาถูกทางเเล้ว...เพราะชีวิตเขามันห่ามราวกับหลุดออกมาจากมังงะต่อสู้ดังของญี่ปุ่น "บากิ จอมประจัญบาน" เลยทีเดียว
นักรบในสายเลือด
"ลูกผู้ชายทุกคนต้องเกิดมาเพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับสงคราม แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่แสนสงบสุขก็ตาม" นี่คือสิ่งที่ คาบิบ เชื่อมาตั้งแต่เด็ก
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเขาเติบโตมาจากครอบครัวอิสลามในรัสเซีย โดยมีคุณพ่อเป็นทหารในกองทัพช่วงปี 1980
พ่อของ คาบิบ สู้รบกับพวกกบฎแบ่งแยกดินเเดนใน ดาเกสถาน ตลอดช่วงยุค 1990 ซึ่งทำให้นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของครอบครัว นูร์มาโกเมดอฟ และตัวของ อับดุลมานาฟ พ่อของ คาบิบ ก็ยอมรับว่าความเป็นอยู่ที่ต้องระแวดระวังตลอดเวลาคือสิ่งที่เป็นเหมือนจิตวิญญาณที่ติดตัวของลูกๆ ทั้ง 3 คนของเขา
อับดุลมานาฟ ผู้เป็นพ่อ เปลี่ยนโฉมชั้น 1 ของบ้านให้เป็นเหมือนโรงยิมเพื่อให้ลูกๆ ของเขาได้ฝึกความเเข็งแกร่ง ซึ่ง คาบิบ พี่คนโตของตระกูลนั้นได้รับการฝึกวิชาต่อสู้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ภาพที่ผู้คนแถวนั้นเห็นประจำคือเด็กน้อยคาบิบใส่เสื้อกล้ามซ้อมมวยปล้ำอย่างเอาจริงเอาจัง และตัวของ อับดุลมานาฟ รู้ดีว่าลูกชายของเขาถูกสถานการณ์หลอมให้เป็นเด็กที่พิเศษกว่าคนทั่วไป
"จุดแข็งของคาบิบคือระเบียบวินัยและหัวจิตหัวใจของเขา" ผู้เป็นพ่อกล่าวถึงลูกชาย
คาบิบ มีสัญชาตญาณนักสู้โดยธรรมชาติและการได้รับการถ่ายทอดศาสตร์แห่งการต่อสู้ทั้ง ยูโด, แซมโบ้ และมวยปล้ำจากคุณพ่อทำให้ในรุ่นเดียวกันไม่มีใครสู้เขาได้ ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลกใจเพราะนอกจากพ่อจะเป็นทหารเเล้วยังเป็นครูฝึกการต่อสู้ในกองทัพ ดาเกนสถาน อีกด้วย
อับดุลมานาฟ ไม่เคยอ่อนข้อให้ลูกตัวเอง คาบิบ ต้องฝึกหนักเหมือนกับเด็กๆ เขาไม่ลังเลที่จะอัดลูกตัวเองให้ล้มลงกับพื้นเช่นเดียวกับที่ทำใส่เด็กคนอื่นในท้องถิ่นที่หลั่งไหลมาเรียนมาเรียนวิชาต่อสู้กับกับกองทัพด้วยหลากหลายเหตุผล
"ผมฝึกเด็กๆ มา 20 กว่าปี ตั้งแต่ 5 ขวบจะให้เริ่มเล่นเกี่ยวกับยิมนาสติกก่อน พอถึง 8 ขวบก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการต่อสู้แขนงต่างๆ เรื่อยมา ท้ายที่สุดเเล้วตอนอายุ 16 ปี พวกเขาจะต้องเลือกว่าอยากจะเอาจริงเอาจังกับกีฬาชนิดไหนมากที่สุด" อับดุลมานาฟ เล่าถึงวิธีการฝึกเด็กๆ ของเขา
แต่ด้วยความลื่นไหลและเรียนรู้ได้ไวกว่าเด็กทั่วไปทำให้ คาบิบ เอาชนะคู่แข่งได้โดยง่ายได้ ไม่ว่าจะลงเเข่งขันในรายการรูปแบบใด เขามักจะจบลงด้วยการเป็นคนที่ถูกชูมือในตอนจบ
ใครหลายคนอาจจะบอกว่าการฝึกวิชาต่อสู้นั้นสิ่งต้องห้ามคือ "อย่าเอามาใช้เพื่อการทะเลาะวิวาท" แต่ดูเหมือนว่าความจำเป็นบังคับให้ คาบิบ ต้องใช้วิชาที่มีคอยกำราบเหล่าอันธพาลที่จ้องจะรังแกผู้มาใหม่อย่างเขา ถึงอย่างนั้น คาบิบ ก็ไม่ลืมเส้นทางสู่สังเวียน เพราะในเวลาเดียวกันเขาเดินหน้าเข้าสู่การเป็นนักชก MMA อย่างเต็มรูปแบบ และกลายเป็นนักชกอาชีพในปี 2008 ถึงตอนนี้เราต้องยอมรับเเล้วว่า แม้จะโชคร้ายที่ได้เกิดมาในเเดนอันตราย แต่อย่างน้อยๆ เขาก็เกิดถูกครอบครัว ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะวิชาให้กับเขา เรียกได้ว่าเป็นแชมป์ตั้งแต่เกิดอย่างแท้จริง
เติบโตบนเส้นทางแชมป์
จะว่าไป คาบิบ เองก็ไม่ต่างจากเด็กที่เกิดในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงสักเท่าไหร่ ดาเกสถาน ถิ่นที่เขากำเนิดก็มีพื้นที่ติดกับประเทศจอร์เจีย เอาเป็นว่า ทบิลิซี่ เมืองหลวงของประเทศดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของเขามากกว่า มอสโก ด้วยซ้ำไป
ดังนั้นไม่ต้องสืบเลยว่าชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตของเขาไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนัก ซึ่งมันก็เป็นผลดีที่ทำให้เขาได้ฝึกและมีสมาธิกับสิ่งที่ถูกนำมาต่อยอดให้เป็นแชมป์โลกในอนาคต อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งชีวิตชนิดที่ว่า ตื่น-กิน-ซ้อม-นอน วนแบบนี้เป็นสิบๆ ปี ก็กลายเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่เถรตรงต่อความรู้สึกตามสไตล์คนบ้านนอก
เขาไม่ได้อยากจะทำให้ใครยอมรับในตัวของเขาเลย นอกจากพ่อ ดังนั้นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 9 ขวบที่เขาต้องการ คือ การได้สู้กับลูกหมีเพื่อแสดงให้ผู้เป็นพ่อเห็นว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน
"ลูกชายย่อมอยากที่จะแสดงออกให้พ่อเห็นว่าเขาแข็งแกร่ง การได้สู้กับหมีนี่แหละบอกถึงความแข็งได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมกว่าการออกกำลังกายเยอะ" คาบิบ กล่าวถึงเรื่องการซ้อมปล้ำกับหมีในภายหลัง
ความซื่อแบบหนุ่มต่างจังหวัดทำให้ คาบิบ เล่นกับสื่อไม่เป็น, โปรโมตตัวเองด้วยคำพูดไม่ได้ เขามาแบบทื่อๆ ใช้กำปั้นซัดคู่แข่งอารมณ์ประมาณว่าต่อยก่อนเคลียร์ทีหลัง ซึ่งแน่นอนในเรื่องของความเก่งกาจไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวของเขาหรอก เพียงแต่ว่า คาบิบ ไม่เป็นที่รู้จักของวงกว้างมากนักเมื่อครั้งอดีต เหตุผลก็เพราะเขาธรรมดาเกินไปและไร้จุดขาย
ฝีมือที่ถูกเหลาจมเฉียบคมมาตั้งแต่เด็กทำให้ คาบิบ เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่พิสูจน์ว่า แซมโบ้ คือศิลปะการต่อสู้ที่ไม่แพ้ศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นเลย
มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งมีการถกเถียงกันในวงการต่อสู้ว่ามีศาสตร์แขนงไหนกันแน่ที่แข็งแกร่งที่สุด บราซิเลี่ยน ยูยิตสู, มวยไทย, มวยปล้ำ หรืออะไรก็ตาม ซึ่ง อับดุลมานาฟ พ่อของคาบิบก็ตอบแบบง่ายๆ ว่า "ผมบอกนักสู้ของผมทุกคนว่าให้ตอบกลับคำถามนี้ด้วยการเอาชนะคู่แข่งให้ได้ นั่นคือการพิสูจน์ว่า แซมโบ้ คือศาสตร์ที่แกร่งที่สุดได้ดีที่สุด"
ดูเหมือนว่า คาบิบ จะทำหน้าที่ลูกที่ดีอีกเช่นเคย 16 ไฟต์ในการชกแบบ MMA เขาใช้เทคนิคของแซมโบ้ที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจัดการคู่แข่งทุกคน ด้วยสไตล์จับทุ่มโหดๆ ลงพื้น แล้วจัดการคู่ต่อสู้ด้วยท่านอน กลายเป็นที่มาของฉายา “อินทรีแห่งดาเกสถาน” ที่ลากลงพื้นเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครต้านทานได้ นั่นหมายความสถิติของเขาเท่ากับชนะ 16 แพ้ 0 ไร้รอยขีดข่วนยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตัวยังแว่บไปคว้าแชมป์โลกแซมโบ้ถึง 2 ปีซ้อน (แต่ต่างรุ่นน้ำหนัก) ทั้งในปี 2009 ที่เคียฟ และปี 2010 ที่ มอสโก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เวทีระดับโลกอย่าง UFC กลายเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา
คนซื่อเริ่มทันคน
คาบิบ เข้าสู่สังกัด UFC ตั้งแต่ปี 2011 ในรุ่น ไลท์เวต แต่กว่าจะได้เดบิวท์จริงๆ ก็ต้องรอถึงปี 2012 ถึงกระนั้น เขาก็ไล่สอยคู่แข่งเหมือนมะม่วง ร่วงเป็นแถบๆ ทั้ง คามาล ชาโลรุส เหยื่อรายแรกที่โดน คาบิบ จัดซับมิชชั่นจนหมดสภาพ ตามด้วยการชนะคะแนน กลีสัน ทิโบ อย่างเป็นเอกฉันท์ และน็อก ธิอาโก้ ตาวาเรส ตั้งแต่ยกแรก ทั้งหมดนี้คือความยอดเยี่ยมของเขาในปีแรกที่รู้จัก UFC
ยิ่งเดินต่อ ยิ่งไม่มีทีท่าจะหยุด ณ ปัจจุบันนี้ 27 ไฟต์ผ่านไป คาบิบ ยังไม่เคยถูกใครสอนให้สะกดคำว่าพ่ายแพ้ โดยเขาชนะน็อกไป 8 ครั้ง, ซับมิชชั่น 9 ครั้ง และชนะคะแนนอีก 10 ครั้ง ที่สำคัญคือ คาบิบ คือผู้ครองสถิติ จับคู่ต่อสู้เทคดาวน์ลงพื้นได้สูงสุดในไฟต์เดียว เมื่อจับ อาเบล ทรูคิโญ่ ทุ่มลงพื้นถึง 21 ครั้ง
ขุมพลังที่ส่งเขาถึงความยิ่งใหญ่นอกจากวินัยในการฝึกซ้อมแล้ว เขายังมีแรงขับภายในเป็นเหมือนก๊อกที่ 2 ในการต่อสู้แต่ละไฟต์ นั่นคือเขาเป็นนักชกรัสเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม (เจ้าตัวเคร่งจัดถึงกับไม่ยอมขึ้นสู้ในช่วงเดือนรอมฎอน หรือถือศีลอดเลยทีเดียว) หลายครั้งเขาจึงถูกล้อเลียนเกี่ยวกับเชื้อชาติและศาสนาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการ "หุบปากด้วยกำปั้น" ตามที่พ่อของเขาเคยสอน คือสิ่งที่เขาพร้อมจะแสดงออกอยู่เสมอ
"ผมรู้สึกทุกครั้งว่าตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศชาติ และทุกๆ ประเทศที่แยกมาจากสหภาพโซเวียต พวกเราทุกมองว่าล้าหลังมาตลอด" คาบิบ กล่าวในช่วงที่เขาเริ่มมีเชื่อเสียงขึ้นมาในระดับโลกเมือ 1-2 ปีก่อน
“ผมมีพี่น้องมุสลิมหนุนหลังกว่า 1,000 ล้านคน ผมเป็นตัวแทนของคนเหล่านี้ทุกคน เมื่อเข้าไปยืนอยู่ในกรงพวกเขาคือสิ่งแรกที่ผมนึกถึง"
หลังไฟต์ที่ชนะ ไมเคิล จอห์นสัน เมื่อปี 2016 คาบิบ เดินทางกลับมายัง ดาเกสถาน อีกครั้งซึ่งมันต่างกับตอนที่เขาจากมา เพราะตอนนี้มีแฟนมวยกรงมากมาย มาแห่ต้อนรับเขาถึงสนามบินจนแน่นขนัด
คาบิบ เปลี่ยนคำดูถูกเป็นพลัง เขาคือนักรบของพระเจ้า ดังนั้นชื่อเสียงของเขาก็ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อหลังจากการฝึกฝน ทำให้เขาเริ่มสื่อสารด้วยถ้อยคำที่จับใจผ่านสื่อได้มากขึ้น ดังนั้นการมีแฟนคลับเป็นชาวรัสเซียและชาวมุสลิมทำให้ อินสตาแกรม ของเขามีผู้ติดตามถึง 1.9 ล้านคน
ถึงกระนั้น คาบิบเองก็ไม่ใช่นักสู้ที่มีประวัติอันงดงามเสียทีเดียว เพราะจุดด่างพร้อยของเขา คืออาการบาดเจ็บที่มักจะเวียนมาเป็นระยะ จนพลาดโอกาสโด่งดังและคว้าแชมป์โลกก่อนหน้านี้ถึงหลายคน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตัวยังมีปัญหาเรื่องการคุมน้ำหนัก อย่างเช่นในไฟต์ที่มีคิวขึ้นชิงแชมป์เฉพาะกาลรุ่นไลท์เวตกับ โทนี่ เฟอร์กูสัน ในศึก UFC 209 เมื่อปี 2017 เจ้าตัวก็ดันล้มป่วยจากการโหมลดน้ำหนักจนไฟต์ดังกล่าวล่ม โดยหลังจากนั้นมีการแฉว่า เขาไปกินเค้กทีรามิสุในช่วงก่อนขึ้นชกไม่นาน ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาดังกล่าวควรต้องคุมอาหาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาล้ออย่างสนุกปากเลยทีเดียว
ก่อนถึงไฟต์โลกจารึก
ความโดดเด่นโด่งดังของ คาบิบ เริ่มทำให้ทั่วโลกพูดถึงนักชกที่มีความเถรตรงมากที่สุดคนนี้ จนมีคำพูดทีว่า "ถ้า คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ อยู่เขาจะซ่าแบบนี้ได้ไหม?"
แม็คเกรเกอร์ นั้นถือว่าไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตนักมวยเเล้ว เขาเติบโตจากข้างถนนจนกลายเป็นแชมป์ 2 รุ่น (เวลเตอร์เวต และ ไลท์เวต) มีทรัพย์สินมากมายชนิดที่ว่านั่งกินนอนกินก็ยังอยู่ได้ไปตลอดชีวิต นั่นอาจเป็นเหตุผลที่จู่ๆ เจ้าตัวก็ไม่ยอมป้องกันแชมป์ที่อุตส่าห์เจ็บตัวคว้ามาได้เสียดื้อๆ
แต่ถึงอย่างนั้น แม็คเกรเกอร์ ก็คงไม่ชอบใจแน่ที่มีนักชกกำลังสร้างชื่อเสียงทับเส้นทางของเขา ดังนั้นจอมเกรียนไอริชจึงเดินส่ายอาดลงจากบัลลังก์ เพื่อสู้กับ คาบิบ ให้รู้เเล้วรู้รอดไป
หนึ่งประการที่ทำให้เกิดดรีมไฟต์นี้คือตั้งแต่ปลายปี 2016 ที่ แม็คเกรเกอร์ ถูกมองว่าเป็นลูกรักของ UFC เพราะหลังจากครองเเชมป์แล้วเขากลับไม่ยอมรับไฟต์จากผู้ท้าชิงหลายๆ คน จริงอยู่ที่ในเวลานั้นเขาต้องดูแลภรรยาของเขาที่กำลังจะคลอดลูก แต่กระนั้นมันก็ช่างย้อนแย้งเมื่อเจ้าตัวยังหาโอกาสไปทำ “มันนี่ไฟต์” ศึกข้ามวงการกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ตำนานนักชกไร้พ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในไฟต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สมาคมก็ไม่ทำอะไร แถมยังต้องช่วยโปรโมทให้ด้วยซ้ำ เพราะชื่อเสียง และลีลาฝีปากของเขายังสามารถสร้างรายได้ให้กับ UFC อีกเยอะ
เหล่านักสู้อย่าง โทนี่ เฟอร์กูสัน, เควิน ลี และ อัล ยาควินต้า รวมถึงตัว คาบิบ เองก็ไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามถือว่าเรื่องนี้เป็นแค่ชนวนเล็กๆ ของความบาดหมางระหว่าง เเม็คเกรเกอร์ กับ คาบิบ เอง
แต่ประเด็นใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องระหว่าง คาห์บิบ กับ อาร์เต็ม โลบอฟ นักชกชาวรัสเซียที่เป็นสมุนคู่กายของ แม็คเกรเกอร์ นั่นแหละ นักสู้ร่วมชาติคู่นี้มีปัญหากัน เพราะตัวของ โลบอฟ เองก็หยามเหยียด คาบิบ ว่าเป็นพวกขี้ตื่นปอดแหก ถอนตัวจากไฟต์ต่างๆ บ่อยเกินไป
"คาบิบ ถอนตัวกี่ครั้งเเล้วล่ะ 6 ครั้งได้เเล้วมั้ง เขาหนีตลอดแหละ เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ถอนตัว เขาไม่ได้สนห่าเหวอะไรเลยโดยเฉพาะแฟนๆ ที่ซื้อตั๋วบินมาจากรัสเซีย ผมว่าถ้าแบบนี้ต่อให้เขามีเข็มขัดก็ไม่ควรถูกเรียกว่าแชมป์หรอก แม็คเกรเกอร์ สิคือแชมป์ตัวจริง ส่วน คาบิบ อย่าให้พูดเลย ผมว่ายังห่างอีกเยอะ" สมุนของแม็คเกรเกอร์ ยกยอลูกพี่ของเขาแบบสุดลิ่มทิ่มประตู และใส่คนบ้านเดียวกันซะยับเยิน
หลังจากนั้นไม่นาน คาบิบ และ โลบอฟ มีโอกาสได้ประจันหน้ากัน ซึ่งต้องบอกว่า โลบอฟ โชคร้ายเพราะลูกพี่ของเขาไม่เดินมากางปีกไว้ให้เป็นที่หลบ คาบิบ จึงได้โอกาสเข้าประชิดตัวทันที
"อย่าสะเออะพูดชื่อฉันขึ้นมาอีกแกเข้าใจไหม? ถ้าแกข้องใจหรือมีอะไรอยากจะพูดให้มาพูดต่อหน้าฉันนี่" คาบิบ ไม่เปิดโอกาสให้ โลบอฟ ได้พูด ขณะที่ โลบอฟ เองก็ออกอาการหวั่นเกรงอย่างชัดเจน
"ผมไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย" โลบอฟ ตอบกลับด้วยอารมณ์คนละแบบกับเมื่อหลายวันก่อน
สุดท้าย คาบิบ ก็ตบสั่งสอนเข้าไปที่หน้าของ โลบอฟ เสียดังสนั่นและทิ้งท้ายก่อนจากว่า "แกไม่ได้พูดแน่นะ? ดี… วันหลังอย่าทำตัวปากไม่มีหูรูดอีกเป็นอันขาด"
มันยากจริงๆ ที่จะบอกว่า "ใครเป็นคนผิดในเรื่องนี้" แต่ที่แน่ๆ ศึกระหว่าง คาบิบ กับ แม็คเกรเกอร์ ถูกจุดไฟให้ติดขึ้นเรียบร้อยเเล้ว
ลูกพี่ออกโรง
หยามลูกน้องก็เหมือนหยามลูกพี่ แม็คเกรเกอร์ เองมีพื้นฐานเป็นคนรักพวกพ้องตามสไตล์ไอริชชน และจุดเดือดต่ำอยู่เเล้ว จึงเกิดอาการร่างกายอยากปะทะขึ้นทันที เขาอยากจะซัด คาบิบ ให้ร่วงโดยไม่สนด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่ใช่แค่ในกรง 8 เหลี่ยมเท่านั้น จะด้วยวาจา, บนถนน หรือบนรถ ไม่มีช่วงเวลาที่เขาไม่เคยหยุดคิดจองเวร คาบิบ แน่นอน
และเรื่องก็มาถึงจุดแตกหักในเดือนเมษายน 2018 เมื่อ คาบิบ มีโปรแกรมขึ้นชิงแชมป์รุ่นไลท์เวทที่ว่าง (จากการที่ UFC ปลด แม็คเกรเกอร์ จากตำแหน่งแชมป์เองนั่นแหละ) ในศึก UFC 223 ซึ่งคู่ชกของเขาก็ต้องเปลี่ยนตัวถึง 3 หน เริ่มจาก โทนี่ เฟอร์กูสัน แชมป์เฉพาะกาล ซึ่งเจ็บ, แม็กซ์ ฮอลโลเวย์ แชมป์รุ่นเวลเตอร์เวต ก็ป่วย จนมาลงเอยที่ อัล ยาควินต้า
แต่จุดพีคของเรื่องกลับมาในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะในช่วงไม่กี่วันก่อนขึ้นชก แม็คเกรเกอร์ ก็บินตรงจากกรุงดับลินบ้านเกิด มุ่งสู่มหานครนิวยอร์ก สังเวียนแข่งขันเพื่อหวังเอาคืนคนที่รังแกเด็กในคาถา ตัวเขาและทีมงานขัดขวางรถบัสที่บรรทุกนักสู้ซึ่งมีโปรแกรมลงแข่งร่วมศึก ด้วยการขว้างแผงกั้นเหล็ก, ถังขยะ และทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือจนกระจกแตก มีนักสู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายราย ทว่าตัวเป้าหมายหลักกลับไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่ปลายเล็บ
แน่นอน ข้อสงสัยย่อมมีว่านี่คือการจัดฉากหรือไม่ แต่งานนี้ แม็คเกรเกอร์ ก็ถูกดำเนินคดีจริงๆ ส่วนไฟต์ก็ยังดำเนินต่อ และคาบิบคือผู้ชนะตามคาด คว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ ซึ่งก้ไม่ต้องสืบว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ การป้องกันแชมป์ครั้งแรกของ “อินทรีแห่งดาเกสถาน” ก็ต้องเจอกับ “เกรียนไอริช” ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
ยิ่งใกล้วันชกจริงทุกสิ่งก็เริ่มจะร้อนแรง แฟนบอยของฝั่งแม็คเกรเกอร์ และ คาบิบ เองก็พาลเกลียดขี้หน้าตามรอยไอค่อนของพวกเขา ช่วงเวลานั้นมีกูรูของ UFC ได้แสดงออกถึงความกังวลว่าหลังจากไฟต์ระหว่าง คาบิบ และ แม็คเกรเกอร์ จบลงจะมีเหตุการณ์บานปลายระหว่างแฟนๆ ทั้งสองคนหรือไม่
การจะคุยกัน, จับมือ, ทำข้อตกลงและขึ้นชกกันเลยไม่ใช่เรื่องที่วงการ UFC จะทำกัน วงการนี้ต้องเกทับบลัฟแหลก นั่นคือสิ่งที่ แม็คเกรเกอร์ ถนัดมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ทั่วโลกจับตาดูเสมอเช่นกัน
เขากวนประสาท คาบิบ ทุกด้านเท่าที่จะทำได้ และดูเหมือนว่าแฟนคลับของเขาจะชอบใจมากๆ ที่ได้เห็นการยั่วยุแบบมีคลาสเช่นนี้ ขณะที่แฟนคลับฝั่งคาบิบก็ได้แต่กำหมัดและกัดฟันกรอดๆ เพราะขวัญใจของพวกเขาไม่ได้ตอบโต้อะไรที่ร้อนแรงกลับไป ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนกับว่า คาบิบ โดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียว และเมื่อคาบิบ โดนรังแกนั่นก็มีความหมายแบบกลายๆ ว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลกกำลังโดนหยามเหยียดไม่ต่างกัน
ในวันแถลงข่าวก่อนขึ้นชกเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แม็คเกรเกอร์ เทวิสกี้แบรนด์ Proper No. Twelve ของตัวเองที่เพิ่งเปิดตัวหมาดๆ ใส่แก้วและยื่นให้กับ คาบิบ ราวกับจะบอกว่า "เอาหน่อยไหมล่ะ?" แทบไม่ต้องสงสัยว่า นี่คือการตั้งใจกวนประสาทอยู่เเล้วเพราะคำสอนของศาสนาอิสลามคือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ขณะที่ คาบิบ เก็บความร้อนรุ่มไว้ในใจและให้สัมภาษณ์แบบไม่เล่นด้วย คำพูดของเขาเรียบเฉยราวกับว่า แม็คเกรเกอร์ ยุเขาไม่ขึ้นแม้แต่น้อย
"ผมรู้จักอเมริกาดี ที่นี่ยอดเยี่ยม ผู้คนก็เป็นมิตร… ผมเป็นนักกีฬาอาชีพ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกับใครเกี่ยวกับเรื่องศาสนาและชื่อของผม ผมแฮปปี้ดี"
ได้เวลาคุยกันด้วยหมัด
ในศึก UFC 229 ณ ที-โมบาย อารีน่า เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา คาบิบ เตรียมตัวขึ้นชกกับ แม็คเกรเกอร์ พร้อมกับรับเสียงโห่เล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้ทำให้สมาธิของเขาแตกซ่าน เจ้าตัวอาจจะดูเยือกเย็นในการให้สัมภาษณ์ แต่เมื่ออยู่ในกรง 8 เหลี่ยมเขาเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ทั้ง 4 ยกเขาแสดงออกให้แม็คเกรเกอร์เห็นว่าไม่ว่าจะ ออน กราวด์ (เกมนอนสู้ ชกแบบปล้ำ) หรือ ออน ฟีต (เกมยืนสู้) เขาก็ทำได้เหนือกว่าทั้งหมด โดยเฉพาะยก 3 ซึ่งคาบิบชวนอีกฝ่ายแลกหมัด ทั้งๆ ที่ความจริงเรื่องเกมยืนสู้นั้นเป็นของถนัดของนักชกไอริช แต่ คาบิบ เล่นงานแม็คเกรเกอร์ตั้งแต่ยกแรกๆ ด้วยการลากไปล้ำบนพื้นจนหมดแรง น้ำหนักหมัดเบาลงจนแทบไม่ระคายผิวเลย
คำพูดหยามเหยียดก่อนขึ้นชกของ แม็คเกรเกอร์ ที่ทำให้คนหัวเราะใส่ คาบิบ ก้องอยู่ในหูของเขา "เจ้าหนูหัดไว้เครา", "ขวัญใจเด็กติ๋ม, "แกมันไอ้หน้าหนูขี้ปอดแหก ฉันนี่สิของจริง" เหมือนเป็นตัวส่งพลังให้ทุกหมัดทุกซับมิชชั่นของ คาบิบ รุนแรงขึ้นแบบคุณสอง
และมันยิ่งจะคูณ 3 ไปอีกเมื่อ แม็คเกรเกอร์ ไม่สะทกสะท้านและรู้สึกผิดเลยที่ทำให้เพื่อนร่วมวงการต้องเลือดตกยางออกในวันที่เขาบุกพังรถบัส แถมยังไม่วายเหน็บกันเรื่องศาสนาซ้ำสอง "ขอบคุณพระเยซูคริสต์มากๆ เลยที่ไอ้อ่อนนี่ยังอุตส่าห์หิ้วไข่ลงมาจากรถบัสคันนั้นได้อย่างปลอดภัย... เพราะเขาจะโดนผมฆ่าตอนนี้แหละ คุณจะไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเราหรอก เพราะผมจะจับเขายัดใส่โลงศพเอง"
เข้าสู่ยกที่ 4 ดูเหมือนว่าทุกคำจะถูกลั่นกรองออกมาจนระอุได้ที่ คาบิบ ได้โอกาสเข้าไปใส่ซับมิชชั่นแม็คเกรเกอร์ ในขณะที่ตาของจอมเกรียนไอริชเริ่มจะลอยจากการโดนล็อกแน่น ท่าทีของ คาบิบ กลับเอาจริงขึ้นแบบสวนทางกัน สายตาของเขาเคียดเเค้น ราวกับว่าซับมิชชั่นนี้เป็นตัวแทนของพี่น้องชาวมุสลิมทุกคนที่โดนล่วงเกินด้วยวาจา
"ผมรู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังรอชัยชนะของผม ผมรู้สึกได้ว่าผู้คนจำนวนมากกำลังเข็มขัดเเชมป์เส้นนี้ พวกเขาอยากให้ผมเป็นตัวแทนคว้ามัน… แน่นอนผมจะทำ" จากนั้นแม็คเกรเกอร์ สิ้นสภาพ และหลังจากนั้นก็เหลือแต่ภาพ คาบิบ ชืนชูกำปั้นด้วยความสะใจ ก่อนที่จะกระโดดลงไปจัดให้ทีมงานของ แม็คเกรเกอร์ ที่ยังปากดีไม่หยุด ขณะที่ทีมงานของคาบิบก็พุ่งขึ้นมาซัดแม็คเกรเกอร์ กลายเป็นเหตุจลาจลทั้งในและนอกสนาม จนต้องยกเลิกพิธีชูมือผู้ชนะคาดเข็มขัดแชมป์ ต่างฝ่ายต่างต้องโดนกันตัวออกจากเวที
แม้ไฟต์ดังกล่าว จะสร้างสถิติใหม่ให้กับ UFC ด้วยการเป็นไฟต์ที่มียอดซื้อเพย์เพอร์วิวมากที่สุดถึง 2,500,000 ครั้ง แต่ผลพวงที่ตามมาก็วุ่นวายเกินคาดคิด เมื่อคณะกรรมการกีฬาของรัฐเนวาด้า ระงับการจ่ายค่าเหนื่อย 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของคาบิบเอาไว้ก่อน ทั้งคู่ถูกแบนเป็นการเบื้องต้น 10 วัน ก่อนที่จะมีการตัดสินในภภายหลังว่า จะโดนแบนเพิ่มอีกหรือไม่และมากน้อยเพียงใด
จริงอยู่ที่ ดาน่า ไวท์ ประธานศึก UFC ได้ยืนยันว่า จะไม่มีการปลดคาบิบจากตำแหน่งแชมป์ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า ด้วยเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้น อย่างไรเสียการรีแมตช์คู่นี้ก็ขายได้ แต่คำขู่ที่เตรียมไล่ ซูไบร่า ตูกูกอฟ ลูกทีมของคาบิบ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่พรวดขึ้นเวทีมาชกแม็คเกรเกอร์ออกจากการเป็นนักสู้ของ UFC ก็ทำให้แชมป์โลกรุ่นไลท์เวตคนปัจจุบันขู่ที่จะออกจากสถาบันเช่นกัน ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ไม่ว่ากับใครและเมื่อไหร่ “อินทรีแห่งดาเกสถาน” ผู้นี้พร้อมไฝว้ทุกเมื่อ
"ลูกผู้ชายทุกคนต้องเกิดมาเพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับสงคราม แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่แสนสงบสุขก็ตาม" คุณจำคำนี้ของเขาในวัยเด็กได้ไหม?