5 สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเวิลด์คัพ2014

5 สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเวิลด์คัพ2014

5 สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเวิลด์คัพ2014
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกๆ 4 ปีเราจะได้เรียนรู้และสนุกสนานไปกับทัวร์นาเมนต์ลูกหนังของมวลมนุษยชาติ ในอารมณ์สุขเศร้า คงมีอีกหลายสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกีฬาลูกกลมๆ นี้พร้อมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ขณะนี้เป็นเวลา 15 นาฬิกา 9 นาที ของวันที่ 12 ก.ค. 2014

ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกว่า ตอนที่กำลังนั่งเขียนอยู่นี้ เวิลด์ คัพ 2014 ทั้งรอบชิงอันดับ 3 และรอบชิงชนะเลิศยังไม่เตะ และไม่มีข้อมูลเรื่องความพร้อมหรือรายชื่อมากมายนัก แตะเชื่อว่าเมื่อผลออกมาทุกคนคงรู้แล้วว่า ฟุตบอลโลก ให้อะไรกับเราบ้างนอกจากสุขภาพที่เสื่อมโทรมเพราะการอดนอน (ฮา)

ทุกๆ 4 ปีเราจะได้เรียนรู้และสนุกสนานไปกับทัวร์นาเมนต์ลูกหนังของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และน้ำตา แต่ในอารมณ์สุขเศร้า คงมีอีกหลายสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกีฬาลูกกลมๆ นี้พร้อมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และนี่คือ 5 สิ่งที่เห็นได้ในภาพกว้างๆ ของฟุตบอล

1. ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาชายเดี่ยว (จริงๆ นะ)

เน้นย้ำกันอยู่เสมอว่า นี่คือกีฬาของทุกคน ต้องเล่นกันเป็นทีม

โรนัลโด้ผู้แบกโปรตุเกสไว้คนเดียวไม่สามารถประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกหนนี้

เวิลด์ คัพ 1970 บราซิลมีตำนานลูกหนังชื่อ "เปเล่" เวิลด์ คัพ 1986 ชาวอาร์เจนติน่า มี "หัตถ์พระเจ้า" ที่ชื่อ ดิเอโก้ มาราโน่า ชายผู้สร้างตำนานการยิงประตูมากมายด้วยเท้าข้างเดียว แต่เมื่อเข้าสู่ยุค 90 เราได้พบกับยุคสมัยของผู้เล่นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ ทั้ง ซีเนอดีน ซีดาน กับทีมชาติฝรั่งเศส และ หลุยส์ ฟิโก้ ในทีมชาติโปรตุเกส ไม่เว้นแม้บราซิลเจ้าตำรับการเลี้ยงเดี่ยวยังมี ริคาร์โด้ กาก้า ที่ฉายแสงสุดขีดในยุค 2000

แม้ประวัติศาสตร์จะพยายามบอกเราว่า มีผู้เล่นแต่ละฝั่งในสนามถึง 11 คน เหมือนที่ เยอรมัน สร้าง ฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาร์ กับตำแหน่ง สวีปเปอร์ และ โอลิเวอร์ คาห์น ผู้รักษาประตูหนึ่งเดียวกับรางวัล โกลเด้น บอล สุดยอดนักเตะใน เวิลด์ คัพ แต่เรามักจะมองที่ ซูเปอร์สตาร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทีมเสมือนกับคนอื่นอยู่ในม่านหมอก

คอสตาริก้า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดพวกเขาไม่มีสตาร์อย่างเด่นชัดแต่วินัยของนักเตะสูงมาก

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปสอดคล้องกับความเบื่อหน่ายของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ซึ่งไม่นิยมความซ้ำซาก มีมันสมองอันชาญฉลาดที่อยากพัฒนาอยู่เสมอทำให้เราไม่อยากเห็นอะไรเดิมๆ โค้ชทั้งหลายซึ่งเป็นกลุ่มคนมากประสบการณ์ไม่ต้องการใช้แท็คติกหรือรูปแบบเดิมจากเมื่อ 10-20 ปีก่อน เพราะจากตอนนั้นจนตอนนี้ แผนทุกแผนคงโดนวิเคราะห์จนพรุนไปหมด

ความเป็นกีฬาชายเดี่ยวของฟุตบอลลดลงเรื่อยๆ และการฝากความหวังไว้ที่ใครเพียงคนเดียวไม่ใช่วิถีหลักของกีฬาลูกหนังอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็น อาร์เจนติน่า ที่มี ลิโอเนล เมสซี่ เข้าชิงกับ โปรตุเกส ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นแน่

แต่การที่มีทัพ "ฟ้าขาว" อยู่ในรอบชิงดำปีนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า ฟุตบอลชายเดี่ยวยังคงอยู่ เพราะถึง อาร์เจนติน่า จะตีตั๋วไป มาราคาน่า สเตเดี้ยม ได้ พวกเขาก็ไปแบบทุลักทุเลทีเดียว และเยอรมันที่จะเปิดฉากลุยกับ อาร์เจนติน่า น่าจะเป็นตัวแทนของคำว่า 'ทีมเวิร์ค' ขนานแท้

2. หมดยุคกองหน้าตัวเป้า

ในรายชื่อ 4 ผู้ทำประตูสูงสุดของศึกฟุตบอลโลกคราวนี้ วันนี้ (12 ก.ค.)

ฮาเมส โรดริเกซ (โคลอมเบีย) 6 ประตู
โทมุส มุลเลอร์ (เยอรมัน) 5 ประตู
ลิโอเนล เมสซี่ (อาร์เจนติน่า) 4 ประตู
เนย์มาร์ (บราซิล) 4 ประตู

จะเห็นได้ว่าคนที่เป็นกองหน้าแบบธรรมชาติขนานแท้มีแค่ ลิโอเนล เมสซี่ คนเดียวเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว เมสซี่ ก็มีความสามารถหลากหลายอันยากจะลอกเลียนแบบ แต่อีก 3 คนไม่ใช่กองหน้าธรรมชาติ อย่าง โทมัส มุลเลอร์ ที่เราเห็นเขาเจาะตาข่ายคู่แข่งบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกับทีมชาติหรือสโมสร บาเยิร์น มิวนิค แต่เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพียงแต่เขามีความสามารถในการปรับตัว

โธมัส มุลเลอร์ ขยับจากกองกลาง สู่กองหน้าริมเส้น สู่กองหน้าตัวเป้า

ส่วน เนย์มาร์ เราเห็นกันเป็นประจำว่าพื้นที่ของเขาคือริมเส้น และหน้าที่หลักของเขาคือการพากองหลังทัวร์ทั้งสนาม เรียกว่าเอาไว้วิ่งฉีกแนวรับฝ่ายตรงข้ามให้ขาดกระจุย วิ่งพล่านให้คู่แข่งปวดหัว เป็นอีกแข้งที่มีลีลาเฉพาะตัวเหลือล้น แถมยังมีความสามารถในการสับไกแบบสุดพริ้วและยั่วโมโหในเวลาเดียวกัน

ฮาเมส กองหน้ากึ่งปีกผู้นำเป็นดาวซัลโวฟุตอบลโลกในขณะนี้

ส่วน ฮาเมส ซึ่งเก่งมานานแล้วตั้งแต่อยู่ในโปรตุเกส และเก่งอย่างต่อเนื่องแม้ย้ายไปเล่นให้ โมนาโก แต่กลับฉายแสงเด่นชัดในตอนนี้ เพราะบังเอิญ โคลอมเบีย ขาดดาวยิงที่ชื่อ ราดาเมล ฟัลเกา เขามีพรสวรรค์เหลือล้น ทั้งยิงทั้งจ่าย โดยเฉพาะการถวายพานให้เพื่อนร่วมทัพ ซึ่งขึ้นชื่อมาก

จากรายชื่อที่เห็น เราคงเห็นชัดเจนขึ้นว่า เดี๋ยวนี้นักฟุตบอลต้องเล่นได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง

3. ยุคสมัยของ 'แอนตี้ฟุตบอล' เริ่มต้นขึ้นแล้ว

คำว่า "แอนตี้ ฟุตบอล" (Anti-football) เริ่มใช้กันอย่างกว้างขวางในภาษาอังกฤษเมื่อประมาณปี 2001 (วิกิพีเดีย เขาบอกไว้งั้นน่ะ) แต่คำนี้เริ่มต้นที่ไหนไม่มีใครรู้ ส่วนสไตล์ของ แอนตี้ฟุตบอลไม่มีอะไรมาก ผ่านบอลและตั้งรับ ไม่เน้นเกมรุก ไม่ต้องมีกองหน้าก็ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายพลาด ก็ยิงประตูใส่ ตัดสินเกมได้จากประตูเดียวนั่นล่ะ ผิดไปจากการเล่นเกมลูกหนังยุคเก่าที่เดินหน้าบุกเพื่อเจาะตาข่าย

แผนการเล่นของแอลจีเรีย แม้จะมีหน้าเป้าแต่ต้องลงมารับอยู่ดี

แท็คติกนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายที่ตกเป็นรอง แค่ไม่ค่อยโดนใจผู้ชมที่อยากเห็นการเปิดหน้าแลกสุดชีวิต และตัวอย่างของ แอนตี้ฟุตบอลเราก็คงเห็นกันมามากแล้ว ที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ก็คงมี เชลซี ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ผู้คนชอบล้อเลียนว่า เอารถบัสมาจอดขวางไว้ กี่คันก็ว่ากันไปนั่นล่ะ

แม้จะมี 3 แนวรุกตามหน้ากระดาษแต่พอถึงเวลาจริงกรีซไม่ได้เล่นตามผังนะครัช

ส่วนตัวอย่างของ แอนตี้ฟุตบอล ใน เวิลด์ คัพ ครั้งนี้ ที่ชัดเจนก็มี กรีซ แต่เนื่องจากแนวรุกไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอย่างน้อย มีกองหน้าสักคน หรือตัวทำสกอร์ที่ไว้ใจได้ห้อยไว้หน่อยก็น่าจะดี แต่พวกเขาไม่มีเลย ฉะนั้นก็ต้องตกรอบกันไป  

4. ม้ามืดมีมากกว่า 1 ตัว

เคยพูดอยู่เสมอว่า เบลเยี่ยม ไม่ใช่ชาติม้ามืดอย่างแน่นอน เพราะแม้จะเป็นชาติเล็กๆ วัดจากพื้นที่ จำนวนประชากร และการหายหน้าหายตาไปจาก เวิลด์ คัพ แต่ซูเปอร์สตาร์ แข้งชั้นนำคับทีมไม้เว้นแม้แต่สำรอง การเดินทางจนถึงรอบ 8 ทีมของพวกเขาไม่แปลกอะไรเลย และเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้น ซึ่งว่ากันตามตรง ถ้าพวกเขามีโค้ชที่ดีกว่า มาร์ค วิลม็อตส์ บางทีพวกเขาอาจจะโค่น อาร์เจนติน่า ไปแล้วก็ได้!

เนื่องจาก เบลเยี่ยม ไม่มีเกียรติประวัติที่บอกว่าทีมประสบความสำเร็จ แต่จากการที่ มีสตาร์และดาวรุ่งชื่อดังล้นทีมทำให้ถูกจับตามองมากในฟุตบอลโลกครั้งนี้

ส่วนชาติม้ามืดที่มาจากตำแหน่ง "ม้านอกสายตา" ต้องยกให้ คอสตา ริก้า พวกเขาสมควรได้ตำแหน่งสุดยอดทีมแห่งความเซอร์ไพรส์ไปครองเสียจริงๆ! นอกจากจะฝ่าด่าน กรุ๊ป ออฟ เดธ มาได้ พวกเขายังมีดวงนิดๆ เพราะเข้ารอบมาเจอ กรีซ ซึ่งมาในฐานะ "ม้ามืด" ไม่ต่างกัน หลังโกงความตายเอาชนะ ไอเวอร์ โคสต์ ยักษ์ใหญ่อันแข็งแกร่ง ตัวแทนทวีปแอฟริกา

แต่ก็อย่างว่า การแบ่งสายซึ่งเป็นโชคชะตาทำให้ทั้งคู่ต้องกำจัดกันเอง หวังว่ามันคงไม่ใช่แผนของ ฟีฟ่า ที่อยากกำจัดชาติน่ารำคาญออกไปจากทัวร์นาเมนต์หรอกนะ เพราะการขีดเส้นประกบคู่น็อกเอาท์ถูกวางไว้ตั้งแต่การแข่งยังไม่เริ่ม

โคลอมเบียคือม้ามืดตัวจริงในฟุตบอลโลกหนนี้

น่าแปลกใจตรงที่ สื่อต่างประเทศยกให้ โคลอมเบีย เป็นอีกชาติม้ามืด ทั้งที่ในรายชื่อผู้เล่นมีแต่ตัวน่ากลัวไม่ธรรมดา อาจจะยกเว้น มาริโอ เยเปส ไว้สักคน ที่เหลือในแนวรุก ถ้าตกรอบแรกถือว่าพลาดมากๆ บอกตามตรงว่า ถ้า ราดาเมล ฟัลเกา ติดทัพมาด้วย โคลอมเบีย ไม่มีทางแพ้บราซิลในรอบ 8 ทีมแน่!

5. ฟุตบอลเป็นภาษาสากล

ความจริงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่คงไม่มีคงตั้งข้อสงสัยอีกต่อไป แต่ เวิลด์ คัพ ครั้งนี้ตอกย้ำคำว่า "กีฬาเป็นภาษาสากล" ให้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากหากวิเคราะห์รายชื่อนักเตะของทุกทีมที่ลงทำการแข่งขัน แทบทุกชาติจะมีนักเตะอย่างน้อย 1-2 คนที่ค้าแข้งในลีกชั้นนำของยุโรป

อย่าคิดว่ารัสเซียชาตินิยม เรียกแต่นักเตะในลีก และไม่มีใครค้าแข้งในลีกใหญ่ แต่บางคนที่ติดทีมชุดนี้อย่าง ยูริ ชีร์คอฟ ก็เคยไปอยู่กับ เชลซี หรือ อิกอร์ เดนิซอฟ ก็เคยเล่นให้ เซบีย่า เรียกว่ามีประวัติการค้าแข้งในลีกชั้นนำ และมีประสบการณ์ ฉะนั้นก็ถือว่ารัสเซีย ไม่ต่างจากชาติอื่นเลย

การที่นักเตะแห่ไปค้าแข้งในยุโรป หรือการที่หลายสโมสรใน เอเชีย ในตะวันออกกลาง หรือ เมเจอร์ ลีก ซ็อกเกอร์ สหรัฐ พยายามทุ่มเงินซื้อแข้งวัยเก๋าไปอยู่ด้วยก็เพื่อเรียนรู้ว่า ชาติหัวแถวแถบยุโรปทำอะไร มีขั้นตอนอย่างไรในลำดับการพัฒนา พูดแบบเชิงธุรกิจก็ว่าซื้อบุคลากรมาใช้งานประสบการณ์นั่นล่ะ

ยาสุฮิโตะ เอ็นโดะ รองกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นสารภาพตามตรงว่า คุยกับ อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยนไม่รู้เรื่อง เพราะพูดกันคนละภาษา แต่ภาษากาย การวางหมากบนกระดานแท็คติก และอาการทางสีหน้าก็พอจะบอกได้ว่าโค้ชต้องการอะไรจากนักเตะ และด้วยเซนส์ทางด้านลูกหนังของทุกคน เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลังหรือเข้าสู่สภาวะคับขัน เชื่อว่าทุกคนคงรู้อยู่แก่ใจว่าควรจะแก้สถานการณ์อย่างไรเพื่อเดินหน้าสู่ชัยชนะ

อิลซัค กลายเป็นที่รักของชาวญี่ปุ่นแม้จะทำทีมไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม

นอกจากความเป็นภาษาสากลแล้ว กรณีตัวอย่างที่ยกขึ้นมายังทำให้เห็นได้ว่า ฟุตบอลมีความเปิดกว้างและแผ่ขยายอำนาจไปทั่วโลกมากขึ้น บางที การที่หลายชาติทำผลงานได้ดีอาจเป็นเพราะทุกทีมพยายามยกระดับมาตรฐานให้มีความใกล้เคียงกัน ส่วนการเข้ารอบตกรอบเป็นเครื่องที่ชี้วัดเรื่องของช่วงจังหวะในการทำทีม และอาจจะทำให้แต่ละชาติรู้ตัวว่า เราพัฒนาได้ต่อเนื่องตามขั้นตอนหรือไม่

ความจริงแล้วมีมากกว่า 5 ข้อที่เราทุกคนได้จากการเรียนรู้ เวิลด์ คัพ ครั้งนี้และคงยังมีแง่มุมต่างๆ ที่นำเสนอได้ไม่หมด

แปลกดีนะที่ก๊ฬาลูกหนังซึ่งเริ่มต้นจากลูกกลมๆ ลูกเดียวกลับบอกอะไรเราได้มากมายขนาดนี้

เนซึมิ หอยทะเลคุง

ติดตามข่าวบอลโลก 2014 โปรแกรมบอลโลก ผลบอลโลก ได้ที่
http://sport.sanook.com/worldcup

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook