ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม : ว่าที่ยอดมวยวัย 19 ผู้มีดีมากกว่าแค่หน้าตา

ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม : ว่าที่ยอดมวยวัย 19 ผู้มีดีมากกว่าแค่หน้าตา

ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม : ว่าที่ยอดมวยวัย 19 ผู้มีดีมากกว่าแค่หน้าตา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ปีที่แล้วผมยังค่าตัว 50,000 บาทอยู่เลยพี่” เจ้าของค่าตัว 130,000 บาทต่อการชกหนึ่งครั้ง บอกกับเราถึงช่วงเวลา 1 ปีที่มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นกับตัวเขา

ในมุมมองของผู้เขียน “นักมวยไทย” เป็นหนึ่งในอาชีพที่ปกปิดและเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีที่สุด

พวกเขาไม่เคยแสดงออกว่าเจ็บปวดแค่ไหน ในการชกแต่ละครั้ง นักมวยไทยทำเหมือนกับว่าร่างกายตัวเองเป็นเหล็กกล้า ไม่สะทกสะท้านกับการโดนหมัดเท้าเข่าศอกของเพื่อนร่วมอาชีพ มีแต่ภาพของความแข็งแกร่ง แข็งแรง  สีหน้าที่เรียบง่าย หรือ การชกที่เอ็นเตอร์เทน เอาใจคนดูเท่านั้น ที่เขาจะแสดงออกมาให้เห็น

เราจึงอาจไม่ค่อยได้ทำความรู้จักตัวตนจริงๆของ นักมวยไทยอาชีพสักเท่าไหร่ นอกจากสิ่งที่เขานำเสนออยู่บนสังเวียน ยิ่งถ้าเป็นนักชกที่มี องค์ประกอบครบถ้วนที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ ทั้ง ฝีไม้ลายมือ, หน้าตาที่ดี, เสน่ห์ ฯ ก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจได้ว่า พวกเขาเหล่านี้มีต้นทุนที่ดี คงได้อะไรมาง่ายๆ จากองค์ประกอบต่างๆ ที่เขามี จนอาจมองข้ามเบื้องหลังความสำเร็จที่พวกเขาฝ่าฟันมา



ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม จัดเป็นอีกหนึ่งนักมวยไทย ที่มีคุณสมบัติอย่างว่าครบถ้วน ประกอบกับผลงานการชกตลอดปี ที่ชนะรวด 7 ไฟต์ติด ไม่แพ้ใคร แถม 3 ใน 7 ชัยชนะที่เขาทำได้ ยังเป็นการเอาชนะกุหลาบดำ ส.จ.เปี๊ยกอุทัย เจ้าของรางวัลยอดมวยถ้วยพระราชทาน คนล่าสุด แบบหายคาใจ 3 ไฟต์รวด เขากลายเป็น 1 ใน 5 แคนดิเดตลุ้นรางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ.2561 หรือรางวัลยอดมวย

จากผลงานที่ผ่านมา บวกกับองค์ประกอบที่เขามี ก็ทำให้ผู้คนต่างรู้จักเขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ว่าได้ อย่างที่เราบอกไว้...นักมวยไทยเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีที่สุด และเราก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มวัย 19 ปี รายนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผยออกมา ที่น่าจะทำให้เรา ได้รู้จักตัวตนของตะวันฉาย มากกว่าจากที่เห็นบนเวที

ไอ้แอ้ดจากพัทยา
เมืองพัทยา ดินแดนแห่งแสงสี ความศิวิไลซ์ และไม่เคยหลับใหลของจังหวัดชลบุรี หากย้อนกลับเวลาไปสัก 10 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นของ ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทย นักชกเรือนแสนเกิดขึ้นที่นี่ ด้วยเงิน 800 บาท

1
“ผมชอบดูมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก พวกมวยช่อง 7 สี ก็จะเปิดดูตลอด มีอยู่วันหนึ่งพ่อขับรถผ่านเวทีมวยเทพประสิทธิ์ ซึ่งเป็นเวทีมาตรฐานพัทยา ผมเห็นมีคู่มวยกำลังต่อยกัน ผมรู้สึกว่า นักมวยนี่เท่ดีจัง อยากเป็นแบบนั้นบ้าง พอพ่อเห็นว่าผมชอบมวยไทย ท่านก็สนับสนุนพาผมไปฝึกหัดชกมวยตอนอายุ 8 ขวบ”

“ก่อนหน้านั้น ผมเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรเด่นเลยสักอย่าง เรียนก็กลางๆ เล่นกีฬาอื่นก็ไม่เป็น ที่บ้านพอมีฐานะอยู่บ้าง ผมไปเรียนมา กลับมาบ้านก็นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ จนได้มาฝึกชกมวย ก็รู้สึกมีความสุข ได้เจอเพื่อนรุ่นๆเดียวกัน ได้ออกกำลังกาย หลังจากฝึกมาสักระยะ เขาก็ลองเอาผมไปต่อยดู ไฟต์แรกผมต่อยในบาร์มีฝรั่งมาดู ไม่มีค่าตัว ปรากฏว่า ผมเตะซ้ายอย่างเดียว น็อกคู่ชกตั้งแต่ยกแรก ได้ทิปมาประมาณ 800 บาท ดีใจมาก ที่มีเงินไปซื้อขนมกิน”

“เจ้ากัน” ด.ช.ณรงค์ศักดิ์ แก้วมาลา ที่เรียนรู้วิชามวยไทย จากครูคนแรก อนันต์ศักดิ์ เปียปลื้ม เริ่มค่อยๆ ฉายแววความเก่งหลังจากเปิดตัวไฟต์แรกด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยม จากนั้นไอ้หนูแข้งซ้าย ก็เริ่มเดินสายชกมวยเด็ก ในพื้นที่เมืองพัทยา และภายในจังหวัดชลบุรี

เขาไล่ต่อนต้อนคู่ชกในรุ่นน้ำหนักเดียวกันขาดลอย จนไม่สามารถหาคู่ชกได้ในจังหวัด รวมไปถึงรอบๆ ภาคตะวันออกที่ไม่มีใครสู้ไอ้แอ้ดรายนี้ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเริ่มมองไปถึงเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น ในการเข้ามาชกที่กรุงเทพฯ ตอนอายุ 14 ปี

3
“ที่พัทยาฯ มีรายการให้ต่อยเยอะนะ ทั้งในผับ บาร์ รวมถึงพวกเวทีมวยเดินสาย แต่ตอนนั้นผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้ จนยึดมวยไทยมาเป็นอาชีพที่เลี้ยงดูตัวเอง และสร้างอะไรได้หลายอย่าง”

“ตอนนั้นผมชกเพราะผมสนุก ชนะแล้วมันได้ใจ เพราะชนะมาตลอด จนไม่มีตัวต่อยด้วยในชลบุรี จะต่อยกับใครก็ต้องต่อน้ำหนักให้เขา พอผู้ใหญ่เริ่มเห็นแวว เขาก็พาไปต่อยเดินสายที่อีสานบ้าง”

“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมชอบจดใส่สมุดว่า ต่อยกับใคร ผลเป็นไงบ้าง แต่พอชนะบ่อยเกิน ก็เริ่มจดไม่ไหวแล้ว ขี้เกียจนั่งนับ สุดท้ายก็ได้เข้ามาต่อยในกรุงเทพฯ ที่ไปต่อยเวทีลุมพินี เป็นคู่แรก ตอนอายุ 14 ปี ตอนนั้นน้ำหนักตัวผมแค่ 36 กิโลฯเอง”

“ตอนเด็กเคยฝันไว้ว่า ชีวิตนี้ อยากชกมวยมีค่าตัวสัก 5 หมื่น อยากไปเหยียบลุมพินี ราชดำเนิน สักครั้งในชีวิต ได้เข็มขัดติดมือสักเส้น ก็น่าจะพอใจมากแล้ว แต่ว่าถึงตอนนี้มันมาไกลที่เคยฝันตอนเด็กไว้เยอะมากเลย”

ท่ามกลางดวงดาว
ลุมพินี เวทีมวยมาตรฐานของเมืองไทย จัดเป็นสังเวียนที่เหล่ายอดนักมวยไทยมากมาย เคยผ่านการชกที่นี่มาแล้ว ไม่แปลกหากเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง จะใฝ่ฝันอยากมาขึ้นชกเวทีลุมพินี สักครั้งในชีวิต

5
โอกาสนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิด ในวัย 14 ปี “จตุคาม เพชรรุ่งเรือง” (ชื่อเดิมก่อนเปลี่ยนเป็น ตะวันฉาย) เดินทางจากจังหวัดชลบุรี เพื่อขึ้นมาชกที่เวทีมวยลุมพินี และนับตั้งแต่นั้น เขาก็กลายเป็นดาวรุ่งมวยเด็กที่ได้รับการจับตามอง จนนำมาซึ่งการซื้อตัวมูลค่าเกือบครึ่งล้านในวัย 16 ปี

“ครั้งแรกที่ผมได้มาชกที่ เวทีลุมพินี บรรยากาศยิ่งใหญ่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้เลย มีคนมาดูเยอะมาก ผมเป็นนักมวยที่ชอบเสียงเชียร์ ชอบคนดูเยอะ ยิ่งคนดูเยอะ ยิ่งฮึกเหิมอยากต่อย อยากโชว์ให้คนเห็นว่า เรามีความสามารถ ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”

“ผมก็ไปกลับ ชลบุรี-กรุงเทพฯ มาชกอยู่อีกหลายไฟต์ ก็ชนะมาตลอด ตอนนั้นผมเริ่มพอมีชื่อเสียงบ้าง จนได้เข้ามาอยู่ค่ายพี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ตอนอายุ 16 ปี เพราะว่าลูกพี่ซื้อตัวมาจากค่ายเก่า เบ็ดเสร็จค่าตัวน่าจะ 400,000 บาท ตอนนั้นผมชกอยู่รุ่น 100 ปอนด์”

ปีใหม่ เอราวัณ, ลำลูกกา อ.สุเมธ (ยอดพยัคฆ์), มังกรทอง ต.หมอศรี, กิ่งซางเล็ก ต.หลักสอง, เขมรแดง ศักดิ์ชาตรี, แทนชัย สันติอุบล, จอมทอง ศักดิ์วิเชียร คือบรรดาเหล่ามวยเด็กที่ “กัน” ณรงค์ศักดิ์ แก้วมาลา เคยผ่านการประลองฝีมือมาแล้ว

6
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือโลกอีกใบที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางดวงดาวกับเหล่านักชกแถวหน้าของประเทศ ในค่ายดังอย่าง พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ยิ่งทำให้เขาต้องกระตือรือล้นมากขึ้น เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงกับสตาร์ดังรุ่นพี่ในค่าย ทั้ง วันฉลอง, ปกรณ์, เสือคิม, แสนสะท้าน ฯ

รวมถึง พระจันทร์ฉาย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม นักชกที่เขานับถือเป็น พี่ชาย รวมถึงยังเป็นคนที่ตั้งชื่อ “ตะวันฉาย” ให้แก่ตัวเขาอีกด้วย

“พี่นน (พระจันทร์ฉาย) เป็นไอดอลของผม ผมชอบและติดตามพี่เขามาตลอด แกเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียง ชกสไตล์มวยฝีมือเหมือนกัน ด้วยความที่ผมชอบแกมาก ก็จะทักเฟซบุคไปคุยกับพี่นนอยู่ตลอด ผมนับถือแกเหมือนพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง ผมพูดอยู่ตลอดว่า ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากไปอยู่กับพี่นนนะ เพราะว่า ค่ายพี.เค.แสนชัยฯ เป็นค่ายดังและมีนักมวยเก่งๆ รวมอยู่ที่นี่เยอะมาก ผมชอบเรียนรู้จากคนเก่งๆ”

“ถ้าไม่มีพี่นน ผมก็คงไม่ได้มาอยู่ค่ายพี.เค. แสนชัยฯ เพราะว่าพี่นน เป็นคนไปคุยกับลูกพี่ (เสี่ยแขก-สมชาย เทศรุ่งเรือง) ให้ซื้อตัวผม ไม่ว่าราคาไหนก็ต้องเอามาให้ได้ ชื่อตะวันฉายของผม ก็เป็นชื่อที่พี่นนตั้งให้ เพราะว่าจะได้คู่กับ พระจันทร์ฉาย”

“วันแรกที่มาถึง ผมเดินเข้าไปหา ไปคุยเล่นกับพวกรุ่นพี่ทุกคนเลย (หัวเราะ) คิดในใจว่า ถ้าได้มาอยู่ที่นี่ต้องตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อเก่งให้ได้เหมือนกับพวกพี่ๆเขา”

ถึงแม้ว่า ตะวันฉาย จะได้มาอยู่ค่ายใหญ่ที่พร้อมสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เส้นทางจากมวยเด็ก สู่การเป็น นักชกแถวหน้าของเมืองไทย จะง่ายดายเหมือนกับตอนที่ชกตามต่างจังหวัดเป็นร้อยไฟต์

7
บาดแผล และความพ่ายแพ้
“ซ้ายเฟอร์เฟค” อีกฉายาหนึ่งที่ ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทย ได้รับจากสื่อมวลชน บ่งบอกได้ถึงความสมบูรณ์ของเท้าซ้ายเจ้าตัวที่เป็นอาวุธเด็ด ในการปราบคู่ชกมานักต่อนัก

แต่ก่อนที่คำว่า “ซ้ายเฟอร์เฟค” จะถูกนำมาใช้กับเขา ตะวันฉาย ก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการเป็นนักมวยไทยที่สมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง

“เมื่อก่อนจุดอ่อนผมเยอะมากเลยนะพี่ แต่ผมเป็นคนที่สำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่ายังมีอะไรที่ควรต้องปรับปรุงบ้าง ยิ่งไฟต์ไหนผมแพ้มา ผมจะไม่โทษโน่นโทษนี่ แต่ต้องกลับมาแก้ไขจุดที่ผมพลาดทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในไฟต์ต่อไป ถ้าผมแพ้ลูกไหน ผมต้องแก้ลูกนั้น อย่าให้คนอื่นมาดูถูกเราได้ว่า เราเป็นนักมวยที่ไม่พัฒนา”

“ไฟต์ที่ผมจำขึ้นใจเลยนะ คือไฟต์ที่ผมแพ้ ตีโต้ (หอยหวานโภชนา) กับแพ้ วันมีโชค (ภูหงส์ทอง) ผมแพ้เพราะหมดแรง โดนลูกที่สู้ไม่ได้ มันเป็นไฟต์ที่ผมฝังใจ ผมไปแพ้เพราะแรงหมดตอนท้าย ทำให้หลังจากนั้น เวลาผมรู้สึกเหนื่อยๆขึ้นมา ในการชก ผมจะนึกถึงไฟต์นั้น และฮึดมาตลอด เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดแบบนั้นอีก”

11
ความพ่ายแพ้คือบทเรียน ที่สอนให้เขารู้ข้อเสียของตัวเอง จากนักมวยเด็กที่เก่งกาจ เมื่อเข้าสู่สังเวียนที่ใหญ่ขึ้น เดิมพันสูงขึ้น และเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น ตะวันฉาย เลือกที่ จะตั้งใจฝึกซ้อม พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จนไม่นานนักจุดบกพร่อง จุดอ่อนของเขาเริ่มค่อยๆหายไปทีละข้อ

พร้อมๆกับ ความฝันที่เริ่มค่อยๆสำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นทีละขั้น จากมวยช่อง 7 สีที่เคยดูผ่านจอทีวี ในที่สุดเขาก็พาตัวเองเข้าไปในจอตู้ ชกออกทีวีได้สำเร็จ  เข็มขัดสักเส้นที่เคยคิดไว้ ก็ได้มาแล้ว ด้วยการเป็นแชมป์ประเทศไทย รุ่น 126 ปอนด์ รวมถึงค่าตัว 50,000 บาทที่เคยฝันไว้ ตะวันฉาย ก็สามารถทำสำเร็จ ตอนอายุ 18 ปี

ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ในปี 2018 ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ระเบิดฟอร์มเก่งตั้งแต่ต้นปี ยันปลายปี เริ่มจากการเอาชนะ หยก พรัญชัย มวยดัง 2 ไฟต์ติด ตามมาด้วยการปราบ เฟอร์รารี จักรยานมวยไทยยิม และ หนึ่งล้านเล็ก จิตรเมืองนนท์

ผลงานใน 4 ไฟต์แรกของปี กลายเป็นใบเบิกทางนำพา ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม โคจรมาพบกับ กุหลาบดำ ส.จ.เปี๊ยกอุทัย คู่ชกดีกรียอดมวยถ้วยพระราชทาน ที่ใครๆก็ต่างมองว่า ตะวันฉาย คงไม่สามารถต้านความหนักหน่วงของ เจ้าของฉายา ซ้ายอุกกาบาต ได้

12
“ก่อนชกนี่ผมโดนดูถูกสารพัดเลย หาว่าผมโม้บ้าง ผมโดนน็อกแน่ๆ ผมพยายามไม่สนใจพวกคำพูดเหล่านั้น รู้สึกว่ามันไร้สาระ เราเป็นคนสาธารณะ ตอบโต้ไปก็หัวเสียเปล่าๆ แต่บางครั้งเห็นแล้วขึ้นเหมือนกัน แต่ผมเก็บอาการไว้”

“จริงๆ ผมไม่เคยเจอคนดูถูกต่อหน้านะ มีแต่ในเฟซฯ นี่แหละที่เขาพิมพ์เขามา บางคอมเมนต์เขาดูถูกเราเกินไป๊ (ลากเสียง) หมั่นไส้เหมือนกัน อยากเจอแถวนี้บ้าง จะขอคุยด้วยหน่อย (หัวเราะ)”

“ผมเลือกที่จะตั้งใจซ้อมดีกว่า ขึ้นไปชกให้เต็มที่ แล้ววันจริงผมจะทำให้คนที่ดูถูกผมเห็นว่า ผมสามารถทำได้ คิดอีกมุมหนึ่งก็เป็นพลังใจให้ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”

“ต้องยอมรับว่า กุหลาบดำ เขาหนักจริง ไฟต์แรกผมโดนเขาหนักๆหลายชุด กระเด็นกระดอน แต่คิดในใจว่า ผมแพ้ไม่ได้ มีคนรอซ้ำเติมเยอะอยู่ ช่วงที่เขาโถมมา ผมยกการ์ดปิด ไม่ให้หลุด มีสมาธิอยู่ตลอด พอจบไฟต์แรกชนะ รู้สึกโล่งใจ เหมือนผ่านจุดที่คนเขาดูถูกมาได้”

12s
ตะวันฉาย เป็นฝ่ายได้รับการชูมือในการพบกันครั้งแรก แต่ด้วยความที่ คู่ชก มีชื่อชั้นที่เหนือกว่าประมาณหนึ่ง นั่นทำให้ไฟต์ล้างตาที่ 2 และ 3 ตามมาอีกในช่วงระยะเวลา 3 เดือน โดยที่ไฟต์สามนั้น มีเงินเดิมสูงถึง 6 ล้านบาท

“ไฟต์สอง ไฟต์สามก็เหมือนเดิม ยังมีคนมาคอมเมนต์ดูถูกเราอยู่ บอกเดี๋ยวก็โดนเอาคืน โดนน็อก แต่ผมไม่สนใจ ผมฝึกซ้อมเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด แก้ลูกที่เขาเก่งบล็อกหมัด กับเตะตัดขาเขา ที่เหลือขึ้นอยู่กับประสบการณ์ กับหัวใจของเราบนเวที”

“อย่างที่บอกว่าเขาเป็นมวยที่อาวุธหนักมาก ทั้งที่ผมขึ้นชกไฟต์สองที่ยังขาช้ำจากไฟต์แรกเลย แต่ก็ผ่านมาได้ จบเกมก็เอ็นข้อเท้าฉีก ทำให้ผมเตะไม่ค่อยถนัด แต่ไม่ได้บอกลูกพี่ ก็พยายามรักษาสภาพให้ข้อเท้าดีที่สุด ไว้ใช้จริงในไฟต์ที่สาม ถ้าบอกผมตอนนั้น ลูกพี่ไม่กล้าวางเดิมพันมากขนาดนั้นหรอก (ยิ้ม)”

“พอมาถึงไฟต์สาม ส่วนตัวผมไม่ได้กดดันเรื่องเงินเดิมพัน 6 ล้านบาดนะ แต่นึกถึงอาการเจ็บสะสมมาจาก 2 ไฟต์แรกมากกว่า รู้สึกเหมือนมันร้าวไปทั้งขา แต่เรามีหน้าที่สู้ ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ก่อนไฟต์นั้นทุกคนในค่ายเล่นเดิมพันข้างผมหมด บางคนไม่เคยเล่นการพนัน ไม่เคยแทงมวย เขายังเชื่อใจผม ลงไป 5 หมื่น ผมก็ไม่รู้ว่าเขากล้าเล่นได้ไง เหมือนเขาให้ใจเรา ไว้ใจเรา เพราะเขาคงเห็นแล้วว่า เวลาซ้อม ผมจริงจังมากแค่ไหน”

“ผมขึ้นเวทีไปชกไฟต์สาม ตอนแรกก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และจับทางได้เขามากกว่า 2 ไฟต์แรก ผมคุมเกมได้ 3 ยกแรก แต่มาพลาดต้นยก 4 โดนเตะขาจังหวะที่ไม่ได้เกร็ง  ขยับไม่ได้เลย ตอนแรกนึกว่าขาหักด้วยซ้ำ ผมยืนได้ด้วยขาข้างเดียว เพราะถ้ายกขาเตะตอนนั้นผมล้มแน่นอน เขาก็เร่งถีบเข้าหน้าอกอีกชุด ผมหายใจไม่ออก โดนหมัดมาอีก ตอนนั้นผมยืนตัวแข็งอย่างเดียวให้เขาทำ”

13
“ระหว่างนั้นผมเริ่มนึกถึงภาพเงินเดิมพัน 6 ล้านบาท หันไปมองกองเชียร์ที่เล่นข้างเรา ทำให้ผมยอมไม่ได้จริงๆ ก็เลยฮึดไปไล่เตะเขา ทั้งที่ขาผมชาไปหมดแล้ว เขาคงเห็นว่าเราโดนหนักขนาดนี้ เรายังไม่ยอม เขาก็เริ่มถอยและพลิกมาได้ตอนท้ายยก 4 เชื่อไหมว่าจบไฟต์สาม ผมเดินไม่ได้อยู่ 2 วัน”

“ความจริง กุหลาบดำ เขาเตรียมตัวมาดีมากเลยนะในการชกกับผม ผมไม่รู้ว่าจังหวะนั้นถ้าเป็นคนอื่น เขาจะทนได้แบบผมไหม แต่ผมเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ใครมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าไม่หลับคาเวที ผมไม่มีทางถอดใจ ยอมแพ้ง่ายๆ”

ตะวันฉาย ได้รับชัยชนะในไฟต์ที่มูลค่าเดิมพันสูงถึง 6 ล้านบาท พร้อมก้าวกระโดดขึ้นมาเป็น ตัวเต็ง รางวัลยอดมวยที่มีจะการประกาศผลในช่วงปลายปี… แม้เขาโดนดูถูกมาก่อนการชกทั้ง 3 ไฟต์ แต่หลังจากได้รับชัยชนะไฟต์สุดท้าย กลับไม่มีการตอบโต้คืนจาก ตะวันฉาย ต่อคนที่ไม่ชอบเขา

ในทางกลับกัน ตะวันฉาย กลับแสดงความเห็นอกเห็นใจ กุหลาบดำ ส.จ.เปี๊ยกอุทัย คู่ชกที่พ่ายแพ้เขาในวันนั้น ที่ถูกโจมตีอย่างหนักหลังจบเกม

15
“ผมไม่ชอบโม้อยู่แล้ว  เขา (กุหลาบดำ) แพ้ก็เสียใจอยู่แล้ว ถ้าผมซ้ำเติมเขาอีก มันก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผมเข้าใจความรู้สึกเขา เพราะผมเคยอยู่ในจุดเดียวกับเขา เวลาแพ้ก็โดนซ้ำเติมเยอะ ถ้าคู่ชกยังไปซ้ำเติมเขาอีก แบบนี้มันไม่เรียกว่ากีฬาแล้ว”

“สำหรับผม ข้างบนเวที คือหน้าที่ เป็นกีฬาที่เราต้องเล่น แต่ข้างล่างเวที เราทุกคนคือพี่ น้อง เพื่อนฝูงกัน อย่างกุหลาบดำ เจอกันข้างนอก ผมก็ทักทายคุยกับเขาปกติ เป็นเพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่ง ผมเข้าใจดี ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ต้องเจอะไรบ้าง เราต้องให้เกียรติกัน และรู้จักประมาณตัวเอง อย่าไปคิดตัวเองเก่ง ตัวเองดัง แล้วจะแอ็คใส่คนอื่นได้”

“พี่เห็นรอยแผลเป็นนี่ไหม” ตะวันฉายชวนผู้เขียนคุย พร้อมกับชี้นิ้วมาที่รอยแผลเป็น บนโหนกแก้มขวา “แผลนี่ผมได้มาวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2552 ที่ค่ายสุรนารี โคราช ตอนนั้นผมอายุ 12 ปี ไปต่อยคู่เอก แต่ว่าเขาขอเปลี่ยนตัวคู่ชก ซึ่งผมต้องแบกน้ำหนัก 3 กิโลฯ เขาให้เลือกว่าต่อยหรือไม่ต่อยก็ได้ แต่ผมชนะมาตลอดไงก่อนหน้านี้ ก็มั่นใจ เลยขอเขาต่อย”

“พอขึ้นบนเวทียกแรกผมโดนศอกเข้าเต็ม แตกหน้าฉีก ผมไม่สนใจแผล จะเอาไปเอาคืนอย่างเดียว แต่เขาตัวใหญ่กว่า สูงกว่า ศอกคืนไม่ถึง จนมาถึงยก 4 กรรมการเห็นหน้าผม เลือดเต็มไปหมด เขาก็บอกว่า “พอเถอะหนู ไม่ไหวแล้ว” ผมก็บอกว่ายังไหว จะต่อยต่อลูกเดียว สุดท้ายกรรมการก็ยุติการชก ให้ผมแพ้ วันนั้นต้องเย็บสด ไม่มียาชา โดยหมอทหาร ใช้ด้ายเส้นใหญ่ๆ เลยเป็นแผลเป็นที่เละ”

17
“หลังจากวันนั้นผมเปลี่ยนความคิดเลย อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ต้องรู้จักประมาณตัวเอง เก่งเล็ก เก่งใหญ่ไม่เหมือนกัน แผลเป็นที่หน้า นี่แหละเป็นสิ่งที่เตือนผมมาถึงทุกวันนี้”

ชัยชนะและความสุขที่แท้จริง
“ปีนี้ผมสำเร็จมาก ซึ่งก็มาจากหลายๆปัจจัย ทั้งเรื่องการฝึกซ้อม ผมไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว พอแล้ว ผมยังซ้อมเต็มที่เหมือนเดิมทุกครั้ง เรื่องการสนับสนุน ถ้าไม่มีลูกพี่คอยผลักดัน ก็คงไม่มาถึงจุดนี้ ที่สำคัญคือตัวเราเอง ต้องมีวินัย อย่าท้อ อย่าแพ้อะไรง่ายๆ บอกกับตัวเองว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องเดินต่อไปให้ไกลที่สุด”

“อีกเหตุผลที่เป็นพลังให้ผมสู้ คือผมมีภาระหลายอย่าง ผมซื้อที่ดิน ผ่อนที่ดินเอาไว้ คนอาจไม่รู้ว่า ผมมีหนี้เป็นล้านเลยนะ เพราะผมเคยเห็นตัวอย่างนักมวยรุ่นพี่หลายคน ในอดีต พอเขาแก่ตัวไม่มีอะไรเหลือเก็บไว้เลย ผมเห็นแล้วหดหู่ ผมไม่อยากเป็บแบบนั้น แต่พี่จะรู้เหรอว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง? ผมยอมเหนื่อยตอนหนุ่มๆ เพื่อสบายตอนแก่ดีกว่า”

รายได้มากมายจากการชกมวยไทย ของ ตะวันฉาย ในวัย 19 ปี นอกเหนือจากนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และช่วยเหลือดูแลครอบครัว เขายังแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปซื้อบ้าน ซื้อรถ และที่ดินเก็บเอาไว้ เพื่อเป็นสมบัติติดตัวเอาไว้ หลังจากได้เห็นตัวอย่างจากอดีตรุ่นพี่ในสายอาชีพเดียวกับเขา ที่สิ้นเนื้อประดาตัวในยามแก่เฒ่า

ที่สำคัญ เงินจากน้ำพักน้ำแรงของเขา ยังได้พลิกฟื้นครอบครัวของ ตะวันฉาย ที่ครั้งหนึ่งเคยไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้อยู่อาศัย และเหลือเงินใช้แค่ 100 บาทเท่านั้น

17
“เมื่อก่อนผมได้เงินจากชกมวย ผมก็เอาไปเที่ยว ไปซื้อของ ผมชอบเลี้ยงเพื่อนฝูง ต่อยได้ค่าตัวมาเยอะ ก็ใช้เงินเยอะ ไม่มีเหลือเลย พอผมมาคิดดูแล้ว มันเป็นความสุขแค่ชั่วคราว ไม่ใช่ยั่งยืน ผมก็เลยไม่เที่ยวเตร่ เอาเงินมาสร้างอนาคตให้ตัวเอง และครอบครัวดีกว่า”

“ผมเคยอยู่จุดที่มี และไม่มีมาก่อน ตอนผมอายุสัก 3-4 ขวบ ผมจำได้ว่า ตอนนั้นพ่อผมรวยมาก พ่อทำธุรกิจเกี่ยวกับเรือให้เช่า พวกสปีดโบ้ท เจตสกี มีเป็น 10 ลำเลยนะ มีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถหลายคัน แต่พอเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจพอเริ่มเจ๊ง พ่อก็ต้องทยอยขายทีละอย่าง จนไม่เหลืออะไรเลย ต้องไปอยู่ห้องเช่าเล็กๆ พ่อก็เปลี่ยนมาทำอาชีพเป็นช่างเคาะ พ่น สี”

“ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา รู้แค่ว่า พ่อพาไปไหน ก็ไปด้วย พ่อเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าหย่าร้างกับแม่ตอนผมยังเล็กๆ”

“จนสักอายุ 10 ขวบ ผมเริ่มแปลกใจแล้วว่า ทำไมเมื่อก่อนเราเคยอยู่สบายกว่านี้ มีกินมีใช้ แต่ทุกวันนี้เราถึงลำบาก บางวันสองคนพ่อลูกมีเงินติดตัวแค่ 100 บาท เหลือมอเตอร์ไซค์แค่คันเดียว”

“ในเมื่อเราไม่ได้มีสมบัติจากพ่อแม่ เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนที่ไปซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ซื้อที่ดินได้ด้วยเงินของเรา เราสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ใหม่ มันเป็นความสุขที่เราสัมผัสได้จริง และทำให้เรามั่นใจว่า อนาคตตัวเองจะไม่ลำบาก”

สัจธรรมที่ว่าการเป็นแชมป์นั้นง่าย แต่การรักษาแชมป์นั้นยาก ดูเหมือนจะสามารถนำมาใช้ได้จริงกับทุกเรื่องๆ ในชีวิตคนเรา วันหนึ่งเราเคยมีเงินทอง ชื่อเสียง คนสรรเสริญ แต่อีกวันทุกอย่างที่เคยมี อาจสูญหายไปก็ได้

ตะวันฉาย วัย 19 ปี เลือกที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาในจุดช่วงกำลังไต่ขึ้นจุดสูงสุด ด้วยการไม่หลงระเริงไปกับมัน และทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

18
“ผมก็ทำตัวปกติเหมือนกับตอนที่ยังไม่ดัง เจอใครผมก็ทักทาย ยิ้มให้ ไม่หยิ่งใส่ใคร ผมไม่ชอบคนแบบไหน ผมก็ไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่น อย่างนักมวยบางคนที่ผมเคยชื่นชอบเขา พอได้มารู้จักตัวจริง เขาหยิ่งใส่ผม ผมก็เปลี่ยนความคิดจากเขา ดังนั้นผมไม่ต้องการให้คนที่รักผม เอฟซี (แฟนคลับ)  รู้สึกแบบนั้นกับผม ศรัทธาจากแฟนมวย เป็นพลังที่ทำให้เรายังฮึดสู้ อยากทำผลงาน และไม่ทำให้เขาผิดหวัง”

“อย่างเวลาเขาตั้งฉายา ซ้ายดารา ให้เอาจริงๆ ผมก็เขินๆนะ ดูไม่ค่อยเข้ากับผมเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้มาดดาราขนาดนั้น แต่แฟนๆเขาเรียกเราแบบนี้ ก็ไม่ได้ถึงกับไม่ชอบ”

“ฉายานี้ก็คงมาจากผมเป็นคนหนุ่มที่ขาว หน้าตี๋มั้ง? ปกติเวลาเจอคนข้างนอก ไม่ได้อยู่ในชุดนักมวย มีแต่คนพูดว่า มาดไม่เห็นเหมือนนักมวยเลย? ได้ยินมาบ่อยจนชินแล้วครับ แต่ผมว่านักมวยดูง่ายนิดเดียว แค่ท่าเดินก็รู้แล้วใครนักมวย ไม่นักมวย”

ฝีมือ อาจทำให้เขามีโอกาสได้รางวัล “ยอดมวย” ในเร็ววันนี้ แต่การอ่อนน้อมถ่อมตน การให้เกียรติผู้อื่น รวมถึงการวางแผนชีวิตได้อย่างเป็นระบบนั้น จะทำให้ ตะวันฉาย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม ยืนระยะชื่อเสียง และรักษาสิ่งที่เขามีไว้ได้อีกนานแสนนาน

19
ทุกคำพูดที่เขาบอกเล่า น่าจะทำให้เรารู้จักและเข้าใจตัวตนของ เด็กหนุ่มผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่ประสบความสำเร็จ และมีเรื่องราวที่น่าค้นหามากกว่าแค่การมองผ่านเปลือกนอกของ นักมวยไทยที่หน้าตาดีคนหนึ่ง

“มวยไทย สอนให้ผมรู้จักระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ ผมไม่ชอบให้ใครมาดูถูกว่านักมวยเป็นอาชีพที่คิดไม่เป็น เก็บเงินไม่ได้ ทุกอาชีพมีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคุณรักที่จะทำอาชีพอะไร คุณก็แค่ต้องทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าความสำเร็จมีไว้ให้กับคนที่พยายาม”

“ทุกวันนี้ผมภูมิใจมากที่ความพยายามของผม ทำให้ครอบครัวมีทุกอย่าง จากที่พ่อเคยต้องออกไปทำงานเพื่อเลี้ยงดูพ่อ วันนี้ผมให้พ่ออยู่บ้านเลี้ยงไก่ชน ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว  นั่นคือความสำเร็จของผม ของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ทำได้ และผมก็อยากประสบความสำเร็จไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรง ต่อยมวยไม่ไหว”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook