5 ประเด็นร้อนหลังเกม : เรือใบสีฟ้า เฉือน หงส์แดง ยังอยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมแรกที่หยุดความร้อนแรงของ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ เมื่อพวกเขาเปิดบ้านที่แมนเชสเตอร์ปราบคู่แข่งแย่งแชมป์ลีกไป 2-1 ขยับขึ้นมามี 50 คะแนน และตามหลัง ลิเวอร์พูล เหลือแค่ 4 แต้มในตอนนี้
ไปดูกันว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้างระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ในเกมนัดที่ 21 ของฤดูกาล
5. แมนฯ ซิตี้ ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโกลไลน์
ช่วงที่มีการนำเอาเทคโนโลยีโกลไลน์มาใช้ใหม่ๆ มีกูรูและนักฟุตบอลหลายคนออกมาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยหลักๆอ้างว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับฟุตบอลเป็นการทำลายสุนทรียภาพของการแข่งขัน รวมถึงความสนุกตื่นเต้นที่เกิดจากการตัดสินที่ผิดพลาดของผู้ตัดสินด้วย แต่หลังจากที่เกมระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เตะไปเมื่อคืนนี้ เชื่อเหลือเกินว่านักกีฬาหรือผู้จัดการทีมส่วนใหญ่ต้องอยากให้มีระบบนี้อยู่ในสนามแน่ๆ
ในนาทีที่ 18 ลิเวอร์พูล ชวดได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ จอห์น สโตนส์ พยายามเตะบอลออกมาจากเขตโทษของตัวเอง แต่จังหวะนั้น เอแดร์ซอน ไม่รู้ว่า สโตนส์ จะเตะทิ้ง เขาเลยพยายามพุ่งไปชกบอล ผลคือ สโตนส์ เตะไปติด เอแดร์ซอน จนบอลกระดอนไปที่เส้นประตู ก่อนที่ สโตนส์ จะวิ่งตามไปเตะทิ้งออกมาได้ ซึ่งจังหวะดังกล่าวมันหวุดหวิดมากจริงๆ เพราะถ้าใช้สายตาของคนปกติจะดูแทบไม่ออกเลยว่าบอลยังไม่ข้ามเส้น ขนาดเอาภาพจากโกลไลน์มาเทียบยังดูยากเลยว่ามีพื้นที่ที่อยู่บนเส้นเท่าไหร่กันจึงไม่ได้ประตู
ถือเป็น 1 ในข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าหากนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับเกมกีฬาอย่างเหมาะเจาะย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าโทษแน่นอน และน่าจะทำให้ความพยายามที่จะนำเอา VAR มาใช้จริงๆในพรีเมียร์ลีก เพิ่มมากขึ้นด้วย
4. อเกวโร ยังเหนือชั้น แม้มีจังหวะผิดพลาดให้เห็น
แม้จะไม่สามารถงัดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ทั้งเกม แต่ อเกวโร ยังคงแสดงให้เห็นว่าเขาคือกองหน้าระดับท็อปของโลก เมื่อใช้โอกาสเพียงครั้งเดียวที่เขาสามารถเอาบอลลงได้ดีตะบันประตูขึ้นนำให้กับทีม
ในนาทีที่ 41 อเกวโร ซึ่งยังไม่ได้โอกาสจังๆเลยก่อนหน้านี้ สามารถสปีดแซง ลอฟเรน ไปเอาบอลลงได้ในกรอบเขตโทษ ก่อนที่จะพลิกตัวยิงมุมแคบอย่างเหนือชั้น ทำเอา อลิสซอน หมดปัญญาป้องกัน ซึ่งประตูดักล่าวแสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณการทำประตูอันยอดเยี่ยม
น่าเสียดายที่เกมนี้เขามีจังหวะจับบอลแรกพลาดไปบ่อยๆเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นทีมของเขาคงไม่หืดจับขนาดนี้ตอนท้ายเกม
3. ซาเน พิสูจน์ตัวเองต่อเนื่องว่าเป็น 1 ในดาวรุ่งที่ดีที่สุดแห่งยุค
แม้ว่าจะโดนตำหนิเรื่องทัศนคติอยู่เสมอทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร แต่แนวรุกวัย 22 ปีพิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นอีกครั้งว่าเขาคือของจริง โดยเฉพาะความไวและการเลี้ยงบอลอันเป็นเลิศของเขาช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้า 3 แต้มในเกมนี้
ซาเน ได้รับมอบหมายให้ประจำการด้านซ้าย ซึ่งต้องดวลกับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งเขาก็ทำได้เหนือกว่า เมื่อสามารถเล่นงานแบ็คขวาของ ลิเวอร์พูล เสียจนหัวหมุน และทำให้ จอร์จินโย ไวนัลดุม และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ต้องลงมาช่วยอยู่บ่อยครั้ง
ซาเน ยังปิดเกมนี้ด้วยความสมบูรณ์แบบ เมื่อเขาสามารถทำประตูได้จากการยิงหนีมือ อลิสซอน ชิ่งเสา แถมยังกลายมาเป็นประตูชัยให้ทีมอีกด้วย
2. โรเบิร์ตสัน เฉิดฉาย
ตรงกันข้ามกับคู่หูในด้านขวาที่ต้องรับศึกหนักจากซาเน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ประจำการทางด้านซ้ายกลับทำผลงานได้ดีสุดๆ เมื่อเขาสามารถรับมือกับ ราฮีม สเตอร์ลิง และ เซร์คิโอ อเกวโร ได้อย่างอยู่หมัด ทำเอาประสิทธิภาพเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ลดน้อยลงไปพอสมควร
แมนฯ ซิตี้ ดาหน้าเขาใส่ ลิเวอร์พูล ไม่ยั้งตั้งแต่นาทีแรกของเกม แต่ โรเบิร์ตสัน ก็ยังทำหน้าที่ในเกมรับได้ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องดวลกับตัวความเร็วสูงอย่าง สเตอร์ลิง เขาก็ยังสามารถเอาบอลมาจากเท้าของคู่แข่งรายนี้ได้ตลอด
แถม โรเบิร์ตสัน ยังปิดเกมของตัวเองได้ดี เมื่อเขาสามารถเติมขึ้นไปแอสซิสต์อันยอดเยี่ยมได้ ซึ่งต้องชมการวิ่งจากนอกเขตโทษของเขาที่สามารถไปรับบอลเปิดของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ทันเวลา แถมน้ำหนักการจ่ายบอลให้ ฟีร์มิโน ก็ยังไร้ที่ติอีกด้วย
เสียดายอย่างเดียวที่ทีมของเขาเป็นฝ่ายแพ้ในเกมนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วสัปดาห์แรกของปี 2019 ของ โรเบิร์ตสัน คงเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมไปเลยทีเดียว
1. เป๊ป ต้องหาแบ็คซ้ายจริงๆจังๆได้แล้ว
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่มีแบ็คซ้ายคนอื่นให้ใช้นอกจาก เบ็นฌาแม็ง เมนดี้ มาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว และเมื่อ เมนดี้ ก็ยังคงเจ็บออดๆ แอดๆอยู่เช่นนี้ การจะหวังให้เขากลับมารับหน้าที่ได้ทั้งฤดูกาลออกจะเป็นเรื่องที่เวอร์เกินไป แถมการใช้แบ็คซ้ายจำเป็น 3-4 รายตลอดฤดูกาลนี้ก็ไม่เวิร์คเอาเสียเลย
เฟเบียน เดลฟ์ ซึ่งเป็นขาประจำในตำแหน่งนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้วไม่สามารถงัดฟอร์มที่น่าประทับใจออกมาได้ เขาผิดพลาดบ่อย และล่าสุดก็เพิ่งโดนไล่ออกและติดโทษแบน ด้าน โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะเขาเพิ่งจะเจอกับปัญหาในเกมกับ เซาแธมป์ตัน มาหมาดๆ ส่วนในเกมนี้ เอเมอริก ลาปอร์ต ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะเขาดูจะไม่ถนัดในการเล่นด้านข้างของสนามเอาเสียเลย แถมสุดท้ายยังโดนถอดออกเพื่อให้ ไคล์ วอล์กเกอร์ ลงมารับหน้าที่แทนด้วย
ถ้า เป๊ป หวังจะป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้ เขาควรต้องหาใครสักคนที่เล่นเป็นฟูลแบ็คโดยธรรมชาติมารับหน้าที่นี่ได้แล้ว