OutStanding อย่าลาออก : จิตกร ศรีคำเครือ
คงเป็นค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดใจครั้งหนึ่งสำหรับวงการฟุตบอลไทย ...ขอโทษทุกคนถ้าผมเริ่มประโยคหดหู่เกินไปหน่อย
เอเชียน คัพ 2019 คือ "บททดสอบแท้จริง" ทุกคนรับทราบเช่นนั้น หลังตกรอบรองชนะเลิศ เอเอฟเอฟ คัพ ในฐานะกองเชียร์คนไทย เรารู้ครับว่ามันไม่ง่าย
อยู่ร่วมสายกับ ยูเออี, บาห์เรน, อินเดีย ประเมินแบบลวกๆ ไม่มีใครปฏิเสธสองทีมแรก คือตัวเต็งลำดับต้น ฉะนั้นโอกาสเราคือประมาณอันดับ 2 - 3 เพื่อเข้ารอบ (รายการนี้เอาอันดับ 3 ดีที่สุด 4 ทีม เข้ารอบน็อคเอาต์)
โปรแกรมคลอดออกมา ยอมรับใจชื้นเล็กน้อย เจออินเดียในนัดแรก ถ้าเก็บชัยชนะได้ ทุกอย่างเปิดกว้างมากขึ้น
ใช่ครับ อินเดียมีอันดับฟีฟ่าเหนือกว่าเรา, ใช่ครับ อินเดียพัฒนาขึ้นมาก มีสองลีกใหญ่ในประเทศ (อินเดีย ลีก, อินเดียน ซูเปอร์ลีก) ทำให้ตัวเลือกมากมาย รวมถึงพัฒนาแบบทุกภาคส่วน ตั้งแต่โรงครัวยันลงสนามแข่ง
แต่ถามว่าเราเป็นรองอินเดียงั้นเหรอ?
จบเกมนัดแรกที่อาบูดาบี, อินเดีย ถล่ม ไทยแลนด์ 4-1 เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกนับจากปี1986 ศึก เมอร์เดก้า คัพ ที่มาเลเซีย คราวนั้นแพ้ 1 - 3
ก่อนเดินทางไปโม่แข้ง ผมมีโอกาสพูดคุยกับ มิโลวาน ราเยวัช อยู่บ้าง แก คือ โค้ชมากประสบการณ์รับมือสื่อได้ดีเยี่ยม ตอบคำถามกว้างๆ, ตอบตามหลักสูตร ซึ่งมันออกมาดี เพียงแค่คำพูดกับผลงานจริงๆ มันคนละเรื่อง
เกมฟุตบอลไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นครับ ทีมแพ้คือแพ้ในเรื่องหลักๆ แผนการเล่น, คุณภาพนักเตะ, และการบริหารงานของโค้ช
แบ่งย่อยลงลึกอีก ผมเชื่อว่าคุณภาพนักเตะเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น โอเคครับ ระดับทวีปยังต้องก้าวไปเรื่อยๆ พยายามไปเรื่อยๆ ทว่าการเจอกับอินเดียแล้วบอกว่าเราเป็นรองเรื่องคุณภาพนักเตะ ผมขอค้าน
คำว่า "คุณภาพ" คือภาพใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยศักยภาพส่วนตัว, การเรียนรู้แท็คติกจากโค้ช, ทัศนคติต่อการเล่น, สภาพจิตใจ รวมถึงสภาพร่างกาย
เจาะลึกเข้าไปอีก จากบรรทัดบน ผมคิดว่าเรื่องสภาพร่างกายเป็นข้อเดียวที่เราอาจเป็นรองอินเดีย ทัพช้างศึกโม่แข้งยาวนานตลอดทั้งปี ปิดฤดูกาลมีสองรายการใหญ่รออยู่ แล้วเราก็ล้มเหลวจาก ซูซูกิ คัพ ต่อด้วย เอเชียน คัพ ทันที
มันลากยาวจนล้าครับ...รู้ครับว่าเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะคงมีอีกหลายประเทศเจอสถานการณ์เดียวกัน สิ่งควรพูดคือเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีวิธีการรับมือดีกว่านี้ หรือคิดว่าที่ทำอยู่ ดีพอแล้ว?
เรื่องแท็คติก ไม่ต้องผ่าอะไรมาก ต่อให้คุณไม่ได้เป็นสื่อ คงได้รับสารบางอย่างมาเหมือนกันว่าแข้งเลือดไทยไม่ค่อยแฮปปี้กับวิธีการ ราเยวัช เท่าไหร่
เน้นความปลอดภัย, เน้นเกมรับ, ซ้อมน่าเบื่อ, รอจังหวะสวนกลับ จริงๆเรื่องแผนการ ผลลัพธ์จะบอกเองครับว่าคิดถูกหรือผิด? ต่อให้เล่นน่าเบื่อแค่ไหนหากมีแชมป์ติดมือ คงไม่มีเสียงวิพากย์ ยกเว้นจะตรงกันข้าม
พอมาเล่นเวทีใหญ่ ส่งนักเตะเกมรุกลงครึ่งทีม ทั้งๆแท็คติกตัวเอง คือ เล่นเกมรับแล้วรอโอกาสสวนกลับอย่างฉับพลัน อย่างที่เห็นครับ เกมรุกบอดสนิท สอบตกทุกคน
ครั้นหวังพึ่งพาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า คือเปลี่ยนตัวเพื่อเปลี่ยนเกม .... มันเจ็บปวดแค่ไหนที่เห็น ชนาธิป โดนถอดออก แล้วส่ง สิโรจน์ ลงมาเล่นกลางรับ
แวบแรกผมรู้สึกไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ กับการปลดราเยวัชพ้นเก้าอี้กลางศึกใหญ่แบบนี้ กระนั้นพอพินิจอย่างแจ่มแจ้ง ข้อหาใหญ่อีกเรื่องคือ เขาไม่สามารถคุมห้องแต่งตัวของตัวเองได้อีกต่อไป
โค้ชฟุตบอล นอกจากเก่งเรื่องแผนในสนามแล้ว เรื่องนอกสนามคือจิตวิทยาชั้นสูง ต้องมีวิธีบริหารบุคคลด้วย ด้วยความเคารพ .... จุดนี้ราเยวัช “สอบตก”
แม้ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่เป็นเรื่องเหมาะสมที่สุด ณ วินาทีนี้
ส่วนกระแสขับไล่ พ.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ให้ลาออกจากนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นอีกเรื่องที่ผมขอยกมือค้าน ลาออกตอนนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นครับ แค่หาคนมาแทนยังลำบากเลย
สิ่งที่ "บิ๊กอ๊อด" ควรทำคือ เก็บข้อมูลความผิดพลาดเหล่านี้ กลับไปหารือกับทีมงานเพื่อแก้ไข โดยเฉพาะปี 2018 ผลงานทีมไทยทุกชุดตั้งแต่ ยู16 ถึง ทีมชุดใหญ่ เละเทะไม่เป็นท่า
เรื่องบริหารจัดการ ไม่เถียงครับว่าดีขึ้น แต่เรื่องผลงานในสนามเป็นอีกประเด็น ที่นายกสมาคมฯ ต้องรับผิดชอบเช่นกัน เพียงแค่ไม่ใช่รับผิดชอบด้วยการลาออก
ทำเป็นผลประเมินไปเลยครับว่า ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผลงานแย่กันทั้งระบบ จากนั้นเมื่อครบวาระ ก็ทิ้งพิมพ์เขียวนี้ไว้ให้นายกสมาคมฯคนต่อไป
เพื่อเอาไว้เรียนรู้ ทำแบบนี้มันผิดนะ...อย่าทำตามเด็ดขาด