มาไล่ดูสิ? : เหตุผลที่ "บิ๊กไมค์" คือผู้นำที่แฟนนิวคาสเซิลเกลียดทั้งเมือง

มาไล่ดูสิ? : เหตุผลที่ "บิ๊กไมค์" คือผู้นำที่แฟนนิวคาสเซิลเกลียดทั้งเมือง

มาไล่ดูสิ? : เหตุผลที่ "บิ๊กไมค์" คือผู้นำที่แฟนนิวคาสเซิลเกลียดทั้งเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กี่ครั้งแล้วไมค์? นี่คือคำถามยอดฮิตที่ติดปากแฟนบอล นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งอยากจะบอกกับเจ้าของทีมของพวกเขาที่ชื่อว่า ไมค์ แอชลี่ย์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

สัญญาไว้แต่ไม่ทำ พอทำก็ทำแบบครึ่งๆ กลางๆ และนี่คือการรวมฮิตสิ่งที่เขาทำไว้จนถึงวันที่แฟนๆ พร้อมใจกันเกลียดเขาทั้งเมือง

เด็กอัจฉริยะ

เดือนมกราคมปี 2018 สำนักข่าว สกาย สปอร์ตส จัดเตรียมสตูดิโออย่างพร้อมสรรพเพื่อสัมภาษณ์กับ ไมค์ แอชลี่ย์ เจ้าของทีมนิวคาสเซิล และคำถามแรกที่เขาถูกถามคือ "คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าวันหนึ่งจะมาเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล"

ก่อนที่เขาจะตอบแบบหน้าตาย "ไม่อะ ไม่มีในหัวสมองเลย" ...แค่เริ่มก็เร้าใจเสียเเล้ว

 1

จริงๆ แล้ว ไมค์ แอชลี่ย์ ในวัยเด็กจัดว่าเป็นเด็กดีของคุณพ่อ-คุณแม่ ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เขาชอบเล่นกีฬา และเป็นตัวโรงเรียนในการแข่งขันสควอช และเคยถูกส่งเเข่งขันชิงแชมป์ระดับท้องถิ่นของเมืองวอลซอลล์ มาเเล้ว

อย่างไรก็ตามเหมือนฟ้าส่งเขามาให้ใช้สมองมากกว่ากำลัง เพราะอยู่ดีๆ ก็เกิดได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนไม่อาจกลับไปเล่นเก่งเหมือนเก่าได้ ไอ้หนูไมค์ ค่อนข้างตระหนกกับเรื่องนี้ แต่ก็อย่างที่บอก เขาหัวไวพอ เมื่อรู้ว่าเป็นนักกีฬาไม่ได้ เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที

"พ่อ ขอยืมตังซัก 10,000 ดิ" ไมค์ แอชลี่ย์ เล่าถึงวันที่เขาทำใจได้ เลิกล้มความฝันที่จะเป็นนักสควอช และเอาเงินที่ยืมพ่อมาเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาในย่านไมเดนเฮด เมื่อปี 1982

และแน่นอนเจ้าเด็กไมค์มันมีของ ร้านของเขาขายดิบขายดี นานวันเข้าเขาเริ่มได้เงินมากขึ้นจากยอดขายที่ขยับขึ้นทุกๆปี พอครบ 8 ปี กลายเป็นว่าร้านของเขาขยายสาขาไปกว่า 100 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร และจดทะเบียนเป็น บมจ. ในปี 1999

พรสวรรค์ของ ไมค์ อีก 1 ข้อคือเขาเป็นคนที่ไม่เคยอิ่มตัวกับความสำเร็จ แม้ว่าเขาจะร่ำรวยตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นแต่หมอนี่คิดการใหญ่เกินวัย เขาเดินหมากด้านการตลาดด้วยการกว้านซื้อแบรนด์กีฬาใหญ่ของประเทศอย่าง Donnay, Dunlop Slazenger, Karrimo และ Kangol (จริงๆยังมีเยอะกว่านี้) นับวัน ไมค์ เริ่มกลายเป็นนักธุรกิจระดับเขี้ยวลากดินมากขึ้นเรื่อย เขาตีแบรนด์เอง, ผลิตเอง, ขายเอง ในหน้าร้านของตัวเองภายใต้ชื่อ สปอร์ตส ไดเร็กต์ ซึ่งกลายเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของสหราชอาณาจักร ... แล้วแบบนี้ไม่รวยจะไปไหนเสีย?

 2

มูลค่าของ สปอร์ตส ไดเร็กต์ ของเขาสูงขึ้นมาจาก 10,000 ปอนด์ที่ยืมพ่อมาลงทุน ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเงินนั้นถูกคูณไปได้ด้วยไม่รู้กี่พันกี่แสนเท่า มีการสรุปสินทรัพย์ของ ไมค์ แอชลี่ย์ ในช่วงปี 2006 ก่อนที่เขาจะซื้อนิวคาสเซิล นั้นมากเกือบๆ 2,000 ล้านปอนด์ ถึงเวลานี้เขาใช้เวลาไปกับการกินเที่ยวดื่ม ใช้เงินทำงานแบบเท่ๆ ใครเห็นก็อิจฉา

เสร็จข้าสาลิกาดง

นิวคาสเซิล ในยุคท้ายๆ ของสมัยที่ เซอร์ จอห์น ฮอลล์ เป็นเจ้าของทีมในปี 2006 จัดว่าอาการแย่มาก จากปัญหาทางการเงินขึ้นรุนแรงซึ่งต่อเนื่องมาจากยุค '90 ที่ใช้เงินสะบั้นหั่นแหลก แต่กลับไม่มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะมีการซื้อนักเตะด้วยค่าตัวสถิติโลก (อลัน เชียเรอร์ ย้ายมาในปี 1996) แต่ถ้วยแชมป์ที่สโมสรในยุคนั้นเท่ากับ 0

 3

การประชุมในบอร์ดรูมสาลิกาดงตอนนั้นเคร่งเครียดถึงขีดสุด ทั้งขาดทุน ทั้งหมดหวัง ดังนั้นได้เวลาจะต่อสายหาคนรวยๆ ดูสักคนและถามเขาดูว่าสนใจจะเป็นเจ้าของทีมที่มีประวัติศาสตร์ทีมนี้หรือไม่? จากนั้นสัญญาณจาก นิวคาสเซิล ก็ดังไปถึงหมู่เกาะบาฮามาส ที่ชายร่างท้วมกำลังจิบน้ำสับปะรดกับสาวๆ ละตินอย่างเพลิดเพลิน

"แปลกดีเหมือนกันนะผมอยู่ใน บาร์เบโดส ตอนนั้นผมบอกเลยว่าชีวิตผมดี๊ดีพอสมควรเลยล่ะ แต่เพื่อนของผมก็บอกว่า เห้ย ไมค์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ นิวคาสเซิล กำลังมองหาเจ้าของทีมใหม่อยู่ นายจะเอาหน่อยไหม?"

ไมค์ ตลกกับคำพูดนั้นเขาได้ยินมานานเเล้วว่า นิวคาสเซิล จะขายทีม แต่ก็เห็นเป็นข่าวลือตลอด ทว่ารอบนี้แตกต่าง ข่าวนี้ถูกกรองแล้วและเป็นความจริง เขารีบขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับอังกฤษ เเละจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆให้เรียบร้อย

เขาเริ่มไล่ช้อนหุ้นในสโมสรขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 30% เป็น 58, 77 และในที่สุดก็ครบ 100% สรุปแล้วเขาใช้เงินไป 134 ล้านปอนด์เพื่อซื้อสโมสรที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าแห่งนี้ มันเป็นราคาที่ถูกมากหากเทียบกับเงินที่เขามี แม้ว่าจะต้องตามใช้หนี้เก่าๆ ที่บอร์ดชุดเดิมเคยทำพังไว้ก็ตาม

 4

"ผมมีความฝันที่อยากจะเปลี่ยนแปลงทีม ผมมีแผนในใจไม่ว่าจะในระยะ 3 ปี 5 ปี หรือ 7 ปี คุณลองนึกนะตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังไม่รวยเลยด้วยซ้ำ มองย้อนกลับไปผมบอกได้เลยว่าผมสามารถทำ นิวคาสเซิล ให้เป็นบิ๊กโฟร์ได้ง่ายๆ เลย นั่นคือสิ่งที่ผมคิดล่ะ"

ความรู้สึกแรกของแฟนบอลแม็กพายนั้นไม่ค่อยนิยมชมชอบในตัวของ ไมค์ เท่าไรนัก เมื่อถูกตั้งแง่เรื่องความรู้เรื่องฟุตบอลจากการเป็นคนอังกฤษที่แปลกพอสมควร เพราะเขาไม่ชอบดูฟุตบอล ...

"จริงนะๆ ผมรู้จักฟุตบอลก็เพราะว่าโรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนเก่าของ ปีเตอร์ ออสกู้ด (ตำนานนักเตะของ เชลซี) นั่นล่ะความทรงจำด้านฟุตบอลของผม" ค่อนข้างจะยียวนเหมือนเช่นเคย

แม้จะไม่ชอบดูบอล แต่ไมค์ก็ทำงานกับกีฬามาตลอด ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าอะไรที่แฟนๆ ชอบ และไม่ชอบ เขาจึงค่อยๆปฎิวัติตัวเองแบบเงียบๆ อย่างแรงเลยเขาตั้ง คริส มอร์ธ เป็นบอร์ดบริหาร และเนรเทศตัวเองไปเป็นแฟนคลับของทีมคนหนึ่งที่มักจะไปดื่มในบาร์ประจำเมือง ช่วงแรกๆ ไมค์ แอชลี่ย์ แทบจะไม่ใส่สูทให้เห็นเลย เขาเลือกที่จะใส่เสื้อแข่งของทีมและนั่งเชียร์บนอัฒจันทร์กับแฟนๆ

 5

เท่านั้นยังไม่พอเขายังทำให้ได้ใจขึ้นไปอีก ในวันที่ นิวคาสเซิล ต้องบุกเยือน ซันเดอร์แลนด์ คู่แค้นเเดนอีสานที สเตเดี้ยม ออฟ ไลต์ ซึ่งโดยปกติเเล้วการจะเข้าไปนั่งในบ็อกซ์ของผู้ทรงเกียรตินั้น คนที่ได้นั่งต้องเเต่งตัวสุภาพในระดับหนึ่งแต่ ไมค์ จัดเต็มด้วยชุดเเข่งของทีมพร้อมสกรีนเบอร์ 17 ของ อลัน สมิธ ขึ้นไปเย้ยแฟนแมวดำถึงที่ ดอกนี้นี่เองที่ความนิยมของเขาพุ่งพรวดๆเลยทีเดียว

"ตอนถูกเรียกในชื่อ สปอร์ตส ไดเร็กต์ ผมก็ว่าผมเป็นที่สนใจของสื่อเเล้วนะ แต่ตอนเป็นเจ้าของนิวคาสเซิล นี่คนละเรื่องเลย มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดและสนุกที่สุด ผมได้ไปนั่งท่ามกล่างแฟนๆ ที่ดีใจตอนเราชนะ บรรยากาศแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้หรอกถ้าไม่ซื้อทีมนิวคาสเซิล"

แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ...แฟนนิวคาสเซิลคิดจริงๆ ว่าพวกเขาจะกลายเป็นบิ๊กโฟร์เหมือนที่เจ้าของทีมว่า เพราะตอนนั้น นิวคาสเซิล ซื้อตัวดีๆ มาเยอะพอสมควรทั้ง มาร์ค วิดูก้า, โจอี้ บาร์ตัน, อลัน สมิธ, เฌเรมี่ เอ็นจิทัป และ โฆเซ่ เอ็นริเก้ เป็นต้น หนำซ้ำยังดึงเอา เควิน คีแกน กุนซือที่แฟนรักๆ ที่สุดสมัยคุมทีมล่าแชมป์ลีกยุค ‘90 กลับมาคุมทีมแทน แซม อัลลาร์ไดซ์ อีกต่างหาก... ตอนนี้ค่า GDP ที่ นิวคาสเซิล สูงปรี๊ดเลยทีเดียว

ถอดหน้ากากคนดี

หายนะเกิดขึ้นเพราะความอยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ นิวคาสเซิล จบฤดูกาล 2007-08 ด้วยการคว้าอันดับ 12 ซึ่งก็ไม่เลวนักสำหรับ คีแกน ที่เข้ามาล้างผลงานแย่ๆ จากยุค บิ๊กแซม ทว่า ไมค์ แอชลี่ย์ เชื่อว่า 2 หัวย่อมดีกว่าหัวเดียว เขาจึงไปทาบทาม เดนิส ไวส์ อดีตกัปตันทีมของเชลซี ที่แทบไม่มีความรู้เรื่องการบริหารเลยมานั่งตำแหน่งสปอร์ต ไดเร็คเตอร์ ของสโมสร หน้าที่หลักคือซื้อตัวนักเตะเเละทำงานร่วมกับโค้ช

 6

เวลาผ่านไปแค่ 1 เดือน ทั้ง คีแกน กับ ไวส์ ก็ตึงใส่กัน สุดท้าย คีแกน ก็อยู่ไม่ได้เพราะโดน ไวส์ แทรกแซง และการเข้าประชุมบอร์ดบริหารในเดือนกันยายนปี 2008 คีแกน ก็ระเบิดลงระหว่างประชุมก่อนจะลาออกทันที ก่อนจะด่าไวส์กับไมค์ แอชลี่ย์ ว่า "ไอ้พวกมาเฟียชั้นต่ำ" แถมยังส่งท้ายการจากลาว่า “ผมบอกได้เลยชาตินี้นิวคาเซิลก็ไปไม่ถึงไหนหรอกถ้ายังมีผู้นำอย่าง ไมค์ แอชลี่ย์”

 7

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นิวคาสเซิล แย่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลากหลายความผิดพลาดในบอร์ดรูม ทำเอาสภาพทีมเละไม่เป็นท่า แม้นักเตะดีแต่ผลงานก็แย่ เล่นกันไม่ได้ใจแฟนบอล ซึ่งสุดท้ายก็ตกชั้นไปอย่างน่าเจ็บปวด แอชลีย์ เองก็ถูกแฟนชูป้าย "Ashley Out" จนเขาก็รับแทบไม่ไหวในช่วงแรกเขาประกาศขายทีม ทว่าสุดท้ายก็ขายไม่ออก เพราะกลุ่มทุนจากอาหรับที่เจรจาด้วยล้มข้อเสนอไป

"ผมเข้าใจที่แฟนๆอารมณ์เสีย ผมอาจจะเป็นไอ้ห่วยแตกที่สุด แต่หลายสิ่งผมก็ไม่ได้ตั้งใจ และไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมจะตั้งใจทำให้แฟนๆเจ็บปวดไปทำไมจริงไหมล่ะ? ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย" เขาพูดถึงกระแสด้านลบและไม่ต้องการที่จะข้ายทีมไปในเวลานั้น

 8

สาลิกาดง ทรงๆ ทรุดๆ ล้มเหลวหลายด้านทั้งการเสริมทัพ, การบริหารภายใน และศรัทธาที่ได้จากแฟนๆ พวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 2016 ทั้งๆ ที่มีนักเตะฝีเท้าดีหลายคนแต่กลับเล่นกันไม่ได้เรื่อง

“มันเป็นเรื่องที่น่าอายมากตั้งแต่ต้นจนจบเกม พวกนักเตะในทีมต่างมีความสามารถกันทั้งนั้น แต่บางทีมันอาจยังไม่เพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องมีคาแรคเตอร์และทัศนคติที่ดีด้วย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพวกเขามีมากพอหรือไม่ มันรู้สึกสิ้นหวังจริงๆ” แม้แต่ อลัน เชียเรอร์ ตำนานของทีมยังอดด่าไม่ได้

 9

หลายอย่างเปลี่ยนไป แอชลี่ย์ ไม่ใช่คนดีคนเดิมของแฟนๆเหมือนเก่า เขาจ่ายเงินเพื่อเสริมทัพน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่สโมสรอื่นๆ พัฒนาขึ้น ดังนั้นจึงสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก สาวกของสาลิกาดงจัดแคมเปญไล่แอชลี่ย์ ออกจากตำแหน่งก็ไม่น้อย ซึ่งแรกๆเหมือนเขาจะน้อยใจ และอยากจะถอดใจอยู่บ้าง

เดือนมกราคมปี 2017 คือเดือนที่แฟนๆนิวคาสเซิลดีใจอย่างที่สุดในวันที่ ไมค์ แอชลี่ย์ ประกาศว่าเอาจริง เขาพร้อมจะขายสโมสรอีกครั้งด้วยราคา 300 ล้านปอนด์แถมหนนี้ มีคนจะเอาจริงจะซื้อจริงอีกด้วย เมืองที่มีฟุตบอลเป็นลมหายใจกำลังจะได้กลับสู่จุดที่ควรอยู่อีกครั้ง

อแมนด้า สเตฟลี่ย์ นักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์เจ้าของฉายา “แม่มดแห่งการเงิน” ผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนมือของหลายสโมสรดังในอังกฤษเข้ามาเป็นโซ่ข้อกลางเพื่อหานายทุนใหม่ หนนี้จริงจังถึงขั้นที่หลายสื่อใหญ่พาดหัวว่าใกล้เเล้ว… ทว่าผ่านไปหลายเดือนฝันของแฟนทูนอาร์มี่ก็ต้องเป็นหมัน ข่าวเงียบลงเรื่อยๆ ก่อน ไมค์ แอชลี่ย์ คนที่ประกาศขาย แถมมีคนจะช่วยหาผู้ซื้อ จะตอบว่า "ไม่ขายละ"

 10

"มันเป็นเรื่องเหมาะสมที่ต้องทำให้แฟนๆ รู้ว่ามันไม่มีการทำข้อตกลงใดๆ ทั้งนั้น รวมถึงไม่มีแม้แต่การเจรจากับ อแมนด้า สเตฟลี่ย์ และอะไรๆ อีกแล้วด้วย ความพยายามในการทำข้อตกลงมันน่าสิ้นหวัง, น่าหงุดหงิด และเสียเวลาสิ้นดี" อารมณ์แปรปรวนของนาย ไมค์ เริ่มอีกเเล้ว

แฟนบอลของนิวคาสเซิลโกรธมากถึงมากที่สุด นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่ ไมค์ แอชลี่ย์ หมดศรัทธาสำหรับแฟนบอล เขาทำเหมือนจะขายแต่ก็ไม่ มันเหมือนกับว่าเขาตั้งใจยั่วคนรอบข้างประมาณว่าหลอกให้อยากเเล้วจากไป … ตื้นลึกหนาบางในการประชุมวันนั้นเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ่้นมันอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นน้ัน

ไม่มีใครกล้าปฎิเสธว่าทุกวันนี้ นิวคาสเซิล แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด แฟนๆ ของพวกเขารู้ดี จากวันที่เคยมีนักเตะอย่าง อลัน เชียเรอร์ ที่โด่งดังคับประเทศแต่ยุคหลังๆ พวกเขาต้องใช้กองหน้าอย่าง โฆเซลู, ดไวท์ เกย์ล, เซียม เดอ ยอง อีกทั้งสิ่งที่รับไม่ได้อย่างแรงคือการเปลี่ยนชื่อสนามสุดขลังอย่าง เซนต์ เจมส์ พาร์ค เป็น สปอร์ตส ไดเร็กต์ อารีน่า ซึ่งเป็นบริษัทของเขาเอง มันเหมือนโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา โดยทีมแทบไม่ได้อะไรที่ดีขึ้น นอกจากชื่อสนามชื่อใหม่ที่พวกเขาไม่ต้องการ

"โคตรน่าอัปยศอดสู เขาเปลี่ยนชื่อ เซนต์ เจมส์ พาร์ค เฉยเลย เดี๋ยวคอยดูเถอะซักวันไอ้หมอนี่จะเปลี่ยนชื่อเมืองเราตามชื่อสนาม เอาเถอะ ไมค์ แอชลี่ย์ อยากทำอะไรก็ทำ" ดาร์เรน โควาน แฟนเดนตายของทีมให้สัมภาษณ์กับนิตยสารประจำเมือง

“ปัญหาแรกและปัญหาใหญ่ที่สุดของสโมสรก็คือ ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสร ตั้งแต่เขาเทคโอเวอร์เมื่อ 9 ปีก่อน เราตกชั้น 2 ครั้ง รอดตกชั้นอย่างหวุดหวิด 2 ครั้ง และปีนี้เราก็กำลังหนีตายด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเป้าหมายของสโมสรเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่เขาเข้ามาทำทีม ซึ่งก็คือการเอาตัวรอดอยู่ในพรีเมียร์ลีกโดยใช้เงินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้” บก.ของหนังสือพิมพ์ เดอะ แม็ก กล่าว

 11

หากลองมองย้อนกลับไปในฤดูกาล 2011/2012 ที่นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คงเป็นเรื่องที่แปลกชอบกลเมื่อปัจจุบันสนามเซนต์ เจมส์ พาร์ค เปรียบเสมือนโรงละครแห่งความล้มเหลว ที่น่าเวทนานัก ซึ่งเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับผู้เล่นและผู้จัดการทีมทุกคนที่เข้ามาไม่ว่าฤดูกาลใดก็ตาม จนเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง มันจึงน่าจะเป็นข้อสรุปได้ว่าพวกคนเหล่านี้เป็นเพียงผลพวงของโรค ที่เกิดขึ้นกับสโมสรเท่านั้น มิใช่สาเหตุของโรคร้ายแต่อย่างใด

ไมค์ แอชลี่ย์ ไม่เคยหยุดทำตัวให้แฟนๆต้องเกลียดเขาเพิ่มเลยแม้แต่ครั้งเดียวทุกครั้งที่ได้สัมภาษณ์เขามักจะมีวลีเด็ดๆที่คอยแซะใส่แฟนบอลที่ชอบขับไล่เขา ครั้งหนึ่งเขาเข้าไปชมเกมใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค มีแฟนๆหลายคนตะโกนว่า “ใครอยากจะให้ แอชลี่ย์ ไสหัวออกไปขอให้ยืนขึ้นมาโลดพี่น้อง” จากนั้นแฟนๆก็ลุกขึ้นทั้งสนามขณะที่ แอชลี่ย์ เห็นดังนั้นแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนเขากลับชี้นิ้วไปที่จอยักษ์ประมาณว่า “พวกนั้นมันทำอะไรกันน่ะ” ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี… ไล่เเล้วไงก็เขาไม่ไปซะอย่างใครจะทำไม?

"จะให้ผมรับผิดชอบคนเดียวได้ไง ทั้งกับนิวคาสเซิลและสปอร์ต ไดเร็กต์ โทษผมคนเดียวไม่ได้หรอก ผมอ่ะทำดีที่สุดเเล้ว แต่ดีที่สุดของผมอาจจะไม่ดีพอสำหรับพวกเขาก็ได้" เขาให้สัมภาษณ์ด้วยความยียวน

เขาเหมือนทองไม่รู้ร้อนที่ตั้งแง่เพียงว่ามีแต่คนที่มองเขาในแง่ลบอย่างเดียวและตัดสินเขาด้วยอคติ ทว่ากระแสต่อต้านที่เพิ่มขึ้นทุกวันเขาเองควรจะรู้สึกอะไรได้บ้างหรือเปล่า

"จิตใจคนพวกนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังจ้องแต่ว่าร้ายใส่ คนพวกนี้น่าเกลียดจะตายไป" ไมค์เคยว่าไว้เช่นนี้

 12

โดยลักษณะของบรรดาผู้บริหารของนิวคาสเซิลนั้นส่งผลให้บรรดาผู้เล่นไม่ว่าจะชุดใดของทีมขาดความกระตือรือร้น รวมถึงผู้จัดการทีมคนแล้วคนเล่าที่ต่างก็ลาออกหรือถูกปลดบ่อยครั้ง

การดันทุรังใช้นโยบายการซื้อตัวผู้เล่นราคาย่อมเยาว์ และขายออกด้วยราคาแพงหูฉี่ ปรากฎผลออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง ทีมนี้เต็มไปด้วยบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งที่มีความสามารถแต่ยังขาดประสบการณ์การเล่นในลีกระดับท็อป และพร้อมที่จะย้ายทีมออกไปในอนาคตเมื่อทำผลงานได้ดี แล้วแบบนี้อะไรคืออนาคตของ นิวคาสเซิล กันแน่?

อย่างไรเสียทุกอย่างสำหรับ ไมค์ แอชลี่ย์ มีเหตุผลที่ทำให้เขาไม่เป็นคนผิดเสมอ เมื่อแฟนบอลกดดันให้ซื้อนักเตะเพิ่ม เขาก็บอกแค่เพียงว่าเขาไม่ใช่คนรวยเงินสดอย่าง ชีก มันซูร์ ของ แมนฯ ซิตี้ เสียหน่อย แฟนบอลต่างหากที่คาดหวังกับเขามากเกินไป

"ใครก็บอกว่าผมรวย โอเคผมรวยจริงแหละแต่รวยในทางทฤษฎี ผมอาจจะเป็นเศรษฐีพันล้านแต่ผมรวยเพราะหุ้นสปอร์ต ได้เร็กต์ ไม่ใช่เงินสด จะให้ผมเขียนเช็ค 200 ล้านปอนด์ให้ทีมเอาไปซื้อตัวมันได้ซะที่ไหนกัน ผมต้องขายหุ้นก่อน"

"คนชอบมองอะไรตื้นๆ และชอบเอาผมไปเทียบกับเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้  แบบนั้นใครจะไปทำได้?"

ด้านดีล่ะมีไหม?

เอาล่ะ มนุษย์เราก็เหมือนกับเหรียญ นั่นคือมี 2 ด้านทั้งดีและไม่ดี ครั้นจะให้พูดแต่เรื่องร้ายก็คงจะไม่แฟร์กับเขานัก

 13

เอาล่ะนี่คือคุณงามความดีที่เขาสร้าง... อย่างแรกเลยในวันที่เขาเข้ามาบริหารทีม เขาไม่เพียงแต่จ่าย 134 ล้านปอนด์เท่านั้น เขายังช่วยล้างหนี้เก่าเป็นจำนวนถึง 110 ล้านปอนด์อีกด้วย มันคือหนี้ที่สูงพอๆ กับราคาที่เขาได้ทีมมาเลย อีกทั้งใช่ว่าเขาจะไม่เคยทุ่มเงินซื้อใคร เพียงแต่ว่าหลายครั้งที่ซื้อ มันก็มีหลายดีลที่พังและใช้ไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำเพื่อแฟนบอล ครั้งหนึ่งเขายอมเสียเงินถึง 30 ล้านปอนด์ เพื่อรักษานักเตะขวัญใจอย่าง เควิน โนเเลน, โจอี้ บาร์ตัน ให้อยู่กับทีมต่อไปและพาทีมกลับมาเล่นพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

และอย่างสุดท้ายที่เห็นภาพที่สุดในตอนนี้ คือการที่เขานำคนเก่งอย่าง ราฟา เบนิเตซ เข้ามาทำทีม ซึ่งของมันเห็นๆอยู่ว่าเงินทุนน้อยนิดที่เขาเจียดให้ ราฟา สามารถนำไปต่อยอดจนทีมรอดตกชั้นได้สบายๆ

 14

เขาอาจจะพออ้างได้ว่าบางครั้งการทะเยอทะยานเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ลีดส์ ยูไนเต็ด พยายามจะยกระดับตัวเองเป็นทีมระดับท็อปด้วยการทุ่มซื้อนักเตะฝีเท้าดี จนทีมพังเละเทะจนป่านนี้ยังไม่ได้กลับมาในพรีเมียร์ลีกเลย

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปเยอะ นิวคาสเซิล ที่เขาเคยซื้อมาในราคา 134 ล้านปอนด์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า และการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกแต่ละปีก็ได้ค่าลิขสิทธิ์และกำไรอื่นมากมายเป็น 100 ล้านปอนด์ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมในไทน์ไซด์ ควรจบลงด้วยความยินดีกับสิ่งแค่นี้หรือ?

นิวคาสเซิล คือทีมที่มีแฟนบอลเข้าชมเกมเหย้าร่วม 50,000 คนต่อนัด นี่คือค่าเฉลี่ยที่มากกว่าหลายทีมในพรีเมียร์ลีก นอกจากนี้ นิวคาสเซิล ยังเป็นทีมที่ถูกเลือกถ่ายทอดสดบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 7 ของพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียงบิ๊ก 6 เท่านั้น เรียกได้ว่าฐานแฟนบอลของ นิวคาสเซิล เองก็ไม่ได้น้อยและการถ่ายทอดสดแต่ละครั้ง ป้ายโฆษณาของบริษัทสปอร์ตส ไดเร็กต์ บ่อเงินบ่อทองของ ไมค์ แอชลี่ย์ ที่ติดตั้งในสนามก็จะโดดเด่นหราไปทั่วโลก

 15

ดังนั้นมันอดไม่ได้เลยที่จะคิดว่าเขาเข้ามาซื้อฐานแฟนคลับหรือว่าซื้อสโมสรกันแน่ ...

วันนี้ยังยิ้มได้เมื่อ ราฟา เบนิเตซ ทนการทำงานร่วมกับเขาไหว แต่หากวันหนึ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปนิวคาสเซิลจะหาใครที่ทำงานในระดับเดียวกับ เอล ราฟา ได้อีก? และถ้าไม่ได้พวกเขาจะรอดไปได้สักกี่น้ำ

ถ้าหลายๆสิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบยกเครื่อง นิวคาสเซิลก็จะเหมือนกับเรือเดินสมุทรที่ค่อยๆ ดิ่งลงสู่ก้นท้องทะเล ขณะที่กัปตันเดินเรือสนใจแค่เพียงเงินในธนาคารเท่านั้น

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ มาไล่ดูสิ? : เหตุผลที่ "บิ๊กไมค์" คือผู้นำที่แฟนนิวคาสเซิลเกลียดทั้งเมือง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook