คิงดร็อก แบ็ก ทู เดอะ บริดจ์

คิงดร็อก แบ็ก ทู เดอะ บริดจ์

คิงดร็อก แบ็ก ทู เดอะ บริดจ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตัวละครเก่าแต่หนังภาคใหม่! "ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา" กลับสู่รั้ว "สิงโตน้ำเงินคราม" อีกคำรบ รอต่อยอดตำนานแห่งรั้ว "สแตมฟอร์ด บริดจ์"

ครั้งสุดท้ายที่ "ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา" หวดลูกฟุตบอลด้วยรองเท้าสตั๊ดในสีเสื้อของ "เดอะ บลูส์" นั้นเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนที่กรุงมิวนิค และเชื่อเลยว่าแฟนๆ ทุกคนคงจำมันได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นช็อตที่ดาวเตะผู้นี้ซัดจุดโทษเข้าไปพา เชลซี เอาชนะ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค พร้อมกับเถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

เชื่อเลยว่าภาพความทรงจำและความรู้สึกในวันนั้นพลพรรค "สิงโตน้ำเงินคราม" จะยังคงจำและสัมผัสถึงมันได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงตัวกระผมเองด้วย และไม่แน่นะภาพและความรู้สึกเก่าๆ ในวันนั้นมันอาจจะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ในซีซั่น 2014-15

ใครเป็นแฟนเชลซี เห้นแล้วก็ชื่นใจ แม้จะหวังมากไม่ได้เหมือนเก่าก็ตาม

เพราะเมื่อช่วงดึกของคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ก.ค.) ทางสโมสร เชลซี ได้ประกาศเซ็นสัญญาคว้าตัว ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กลับมาร่วมทีมอีกครั้งหนึ่งแบบไม่มีค่าตัว พร้อมสัญญา 1 ปี หลังจากหมดสัญญากับทาง กาลาตาซาราย ไปเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

เมื่อผมได้เห็นข่าวๆ นี้เชื่อไหมว่าผมขยี้ตาตัวเองและอ่านข่าวนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบมาก พร้อมกับอุทานในใจว่า "มันเป็นเรื่องจริงหรือ? นี่ฝันไปรึเปล่า" อะไรทำนองนั้น...พอท้ายที่สุดเมื่อมันเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีการปรุงแต่ง ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่าๆ เมื่อหลายๆ ปีก่อน

บางคนอาจจะหาว่าผมบ้าหรือมโนภาพอะไรไปเอง แต่ผมจะบอกว่า ดร็อกบา นั้นคือกองหน้าที่ตรงสเป็คของผมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแข็งแกร่ง, คล่องแคล่วฉับไว, การจบสกอร์ที่คมกริบและเด็ดขาด และที่ชอบมากที่สุดคือลูกเล่นตุกติกของพี่แกเขา อันนี้ชื่นชอบเป็นพิเศษเลยจริงๆ มันทำให้ผมฮาได้ตลอดเวลากำลังชมการแข่งขัน


และไฮไลท์ของการที่ "คิงดร็อก" ได้กลับมายังรั้ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งนั้นก็คือการได้หวนร่วมงานกับ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ซึ่งเป็นผู้ที่ดึงตัวเขาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาอยู่กับ เชลซี เมื่อปี 2004 ซึ่งในช่วงตอนนั้นถึงปี 2007 เขาทั้งคู่ก็เคยคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ร่วมกัน 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ลีก คัพ 2 สมัย

ส่วนคำถามที่ว่าทำไม "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ถึงต้องการให้ ดร็อกบา กลับมาร่วมงานกันที่ "สิงห์บลูส์" น่ะเหรอ??? ก็น่าจะเป็นเพราะว่า...
 
• ดร็อกบา นั้นคือหัวหอกคู่ใจของ มูรินโญ่ ในยุคนั้น แถมยังเป็นอาวุธลับอีกด้วย หรือ เรียกง่ายๆ ว่า "ท่าไม้ตาย" นั่นเอง
• ต้องการให้ ดร็อกบา นั้นมาเป็นแข้งซีเนียร์ของทีมเพื่อช่วยปลุกระดมเพื่อนร่วมทีมให้ฮึกเหิม เพราะเหล่าบรรดานักในทีมตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแข้งอายุ 20 ต้นๆ
• อาจจะสอดคล้องกับข้อที่ 2 สักนิดตรงที่ว่าตอนนี้ เชลซี นั้น ไม่มี แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ แอชลี่ย์ โคล ที่เป็นผู้เล่นตัวหลักตอน มูรินโญ่ คุม เชลซี ในช่วงแรก ซึ่งจะเหลือแค่เพียง ปีเตอร์ เช็ก กับ จอห์น เทอร์รี่ แค่ 2 คนที่เป็นผู้เล่น เชลซี ในยุค 2004-07 ที่ มูรินโญ่ คุมทีม ซึ่งคาดว่าการได้ ดร็อกบากลับมานั้นอาจจะทำให้กุนซือชาวโปรตุกีสเบาใจขึ้นเยอะ
• ดร็อกบา นั้นคือสัญลักษณ์ และตำนานของสโมสร เชลซี

***ในช่วงท้ายนี้เดี๋ยวเราไปดูบทสัมภาษณ์ของทั้ง มูรินโญ่ และ ดร็อกบา กัน หลังจากได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งที่ เชลซี พร้อมกับผลงานของดาวยิงทีมชาติ ไอวอรี่ โคสต์ กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" ตั้งแต่ปี 2004-12

โชเซ่ มูรินโญ่ กล่าวว่า : "โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ "สิงห์บลูส์" กล่าวถึงการได้คว้านักเตะคู่บุญมาร่วมงานกันอีกครั้งว่า "ดร็อกบา ได้กลับมาที่ เชลซี เพราะเขาเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป ผมรู้ความสามารถของเขาเป็นอย่างดี และผมรู้ว่าเขามายัง เชลซี พร้อมกับความคิดที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรมากยิ่งขึ้น"

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กล่าวว่า : "ยอมรับไม่ต้องคิดอะไรมากในการเซ็นสัญญากลับมายัง เชลซี และมาร่วมงานกับ "เดอะ แฮปปี้ วัน" อีกครั้ง โดยกล่าวว่า "มันเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมาก ผมไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะกลับมาร่วมงานกับ มูรินโญ่ ได้ลงหรอก ทุกคนรู้ดีว่าผมมีความสัมพันธ์ที่แสนวิเศษกับสโมสรแห่งนี้และผมรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเสมอ ความปรารถนาของผมยังคงเดิมคือการเก็บชัยชนะ ผมตั้งตารอที่จะได้ช่วยเหลือทีมอีกครั้ง ผมรู้สึกตื่นเต้นกับบทบาทต่อไปในอาชีพค้าแข้งของผมจริงๆ"

***สำหรับผลงานของ "คิงดร็อก" ลงเล่น เชลซี ไปทั้งสิ้น 341 เกม ยิงได้ 157 ประตู พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย

สุดท้ายนี้ก่อนที่ผมจะปิดคอลัมน์นี้นฐานะที่ผมก็เป็นแฟน เชลซี คนหนึ่งผมอยากฝากข้อความนี้สาวก "เดอะ บลูส์" ว่า อย่าคาดหวังในตัว ดร็อกบา มากเกินไปในการกลับมาครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่ามโนว่า เขาจะมายืนเป็นหัวหอกคู่กับ ดีเอโก้ คอสต้า, อย่ามโนว่า เขาจะมายึดตำแหน่งตัวจริง, อย่ามโนว่า เขาจะยิงกระจุยกระจาย เพราะเขาคือ ดร็อกบา

อย่าหวังกับกรูมากนะเฟ้ยยยยยยยย

แต่อย่าลืมนะว่าเขาอายุ 36 ปีแล้ว เขาไม่ใช่ ดร็อกบา จอมโหดคนเดิมอีกต่อไป ซึ่งสถานะของ ดร็อกบา ในตอนนี้คือ มาช่วยน้อง ๆ ในทีมและเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวในฐานะแข้งซีเนียร์มากกว่า รวมถึงการได้เรียนรู้งานโค้ชจาก มูรินโญ่ ไปในตัว ส่วนบทบาทในสนาม ก็คงจะลงพอ ๆ กับ เดมบา บา เมื่อซีซั่นก่อน ในฐานะกองหน้าเบอร์ 3

สำหรับผมที่เป็นแฟน เชลซี ตาดำๆ คนหนึ่ง ยอมรับเลยว่า รู้สึกดีใจมากจริงๆ ที่ "เดอะ ดร็อก" ได้กลับมายัง สแตมฟอร์ดบริดจ์ อีกครั้งหนึ่ง และเชื่อเลยว่าการกลับมาแบบพลิกความคาดหมายครั้งนี้น่าจะสร้างรอยยิ้มให้แฟน "สิงห์บลูส์" ได้ไม่น้อยเลย...

HaMu Drogba Junior

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook