5 ประเด็นร้อนหลังเกม : หลังศึกแดง(ไม่)เดือด!!!
เกม แดงเดือด รอบที่ 2 ผ่านไปแล้วในฤดูกาลนี้ โดย ลิเวอร์พูล ชวดโอกาสที่จะมาย้ำชัย เมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายกดดันหนักตลอดเกม แต่กลับไม่สามารถเจาะปราการเหล็กของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ แถมเกือบโดนเซอไพรส์ท้ายเกมอีกต่างหาก
1 แต้มของ ลิเวอร์พูล เพียงพอ ที่จะทำให้พวกเขากลับไปเป็นจ่าฝูง แต่ไม่พอให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยึดพื้นที่ลุ้นไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า ไปดูกันว่าในเกมแดงเดือดครั้งนี้ มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง
5. การเปลี่ยนตัวที่รวดเร็ว
เกมแดงเดือดรอบที่ 2 ในฤดูกาลนี้เพิ่งจะผ่านไปเพียง 42 นาที แต่ทั้ง 2 ฝั่งเปลี่ยนตัวรวมกันไปแล้วถึง 4 ราย โดยเป็นของฝั่งเจ้าบ้าน 3 รายที่เปลี่ยนในนาทีที่ 19 กับ 25 และ 42 ส่วนฝั่งผู้มาเยือนในนาทีที่ 30
อันเดร์ เอร์เรรา เป็นฝ่ายโดนเปลี่ยนออกเป็นคนแรกเมื่อได้รับบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ซึ่งเขาก็ได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากแฟนบอลเจ้าถิ่นจากการเล่นที่ยอดเยี่ยมในจังหวะก่อนหน้า
จากนั้น ฆวน มาต้า ต้องโดนเปลี่ยนออกเป็นคนต่อมา เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บในจังหวะปะทะกับกองกลางของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะพยายามฝืนเล่นมาเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว ต่อมาเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ที่ลงขาผิดจนข้อเท้าพลิก และถูกแทนที่โดย แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เมื่อครบครึ่งชั่วโมงแรกพอดิบพอดี ปิดท้ายด้วย เจสซี ลินการ์ด ที่เพิ่งลงมาได้เพียง 17 นาที แต่ก็ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับ อลิสซอน ก่อนโดนเปลี่ยนออกในที่สุด
ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งคู่ เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีศึกใหญ่กับ อาร์เซนอล และ เปเอสเช รออยู่ ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังต้องลุ้นแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ อีกยาว ๆ และไม่มีช่องให้พวกเขาสะดุดแล้ว
4. ลิเวอร์พูล เล่นหนัก
แม้จะเป็นทีมเยือน แต่ ลิเวอร์พูล ไล่บี้เจ้าถิ่นอย่างหนักตั้งแต่นาทีแรกยาวไปจนเกือบครบ 45 นาที โดยเฉพาะ 3 ประสานและ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ไล่กวดบอลตั้งแต่ยังอยู่ในแดนของ แมนฯ ยูไนเต็ด จนทำให้พวกเขาบุกไม่ขึ้น ต้องอาศัยแต่ลูกสวนกลับเท่านั้น แถมการเข้าปะทะยังไม่มีการเกรงใจเจ้าถิ่นใด ๆ ทั้งนั้น ทำเอานักเตะ ปีศาจแดง ล้มหมอนนอนเสื่อไปหลายครั้ง และหนักถึงขั้นต้องเปลี่ยนตัวจนหมดโควต้าไปเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่ เอร์เรรา, มาต้า และ ลินการ์ด เสียด้วยที่โดน เพราะ แรชฟอร์ด เองก็มีจังหวะลงไปนั่งกุมข้อเท้าบ่อย ๆ ส่วน แอชลีย์ ยัง, ปอล ป็อกบา และ อเล็กซิส ซานเชซ ก็โดนจนร่วงมาแล้ว ส่วนคนที่เขาหนักส่วนใหญ่แล้วก็ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน นี่แหละ ซึ่งเกมนี้เจ้าตัวเด่นเหลือเกินในการจับตายนักเตะ ยูไนเต็ด
3. นักเตะบิ๊กเนมน่าผิดหวังเป็นอีก 1 เกมที่น่าผิดหวังสำหรับสามประสาน ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาทำท่าว่าจะแผลงฤทธิ์ได้ตั้งแต่นาทีแรก จากการเข้าไปกดดัน แอชลีย์ ยัง กับ คริส สมอลลิง จนเสียขวัญ แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
ยัง กับ สมอลลิง เล่นได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จน ฟีร์มิโน ทำอะไรมไ่ด้มากนัก และเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ มาเน กับ ซาลาห์ ก็ขาดตัวเชื่อมที่รู้ใจไปในทันที นั่นทำให้ทั้งคู่แทบไม่ได้ต่อบอลกันเลย ในขณะที่ ซาลาห์ ก็โดน ชอว์ กับ ลินเดอเลิฟ รุมกินโต๊ะที่อีกฝั่ง
ด้าน โรเมลู ลูกากู กับ อเล็กซิส ซานเชซ ยังคงน่าผิดหวังอย่างต่อเนื่อง ลูกากู มีช่วงเวลา 2 ครึ่งที่คล้าย ๆ กัน นั่นก็คือการไม่มีบทบาทกับเกมเลยตลอด 40 กว่านาทีแรก แล้วจากนั้นก็โผล่มาเรียกเสียงฮือฮาด้วยการจ่ายบอลอันเหลือเชื่อ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประตูเกิดขึ้น
ส่วน อเล็กซิส ซานเชซ นั้นไร้ประโยชน์ในฐานะกองหน้าอย่างสิ้นเชิง
2. ตัวสำรองที่น่าผิดหวังของ หงส์แดงในเกมระดับแดงเดือดแล้ว การเปลี่ยนตัวควรจะเป็นอะไรที่ช่วยยกระดับความเผ็ดร้อนของเกมให้มากขึ้นจดทะลุเดือด แต่ในเกมนี้กลับเป็นขั้วตรงข้าม เมื่อการเปลี่ยนตัวแต่ละครั้งของ ยูไนเต็ด คือการรักษาตัวรอดไปเรื่อย ๆ จากการบาดเจ็บที่โผล่มาเร็สเสียเหลือเกิน ในขณะที่ ลิเวอร์พูล กลับทำให้เกมรุกของพวกเขาจืดลงเรื่อย ๆ ที่ตัวสำรองลงมาในสนาม
แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ได้โอกาสลงเล่น 1 ชั่วโมงแต่กลับทำผลงานได้น้อยกว่า ฟีร์มิโน เสียอีก ชากิรี เองก็ไม่สามารถจะหาโอกาสเจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของเจ้าถิ่นได้เลย
ส่วน โอริกี้ ลงมาในสนามราว 11 นาที แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก โดยที่ทีมไม่ได้โอกาสยิงเพิ่มเลยในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในสนาม
1. โอกาสยังเปิดกว้างไม่ว่าจะการลุ้นแชมป์หรือลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ลีก โอกาสยังเปิดกว้างสำหรับทุกทีม เมื่อในสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล สามารถกลับไปเป็นจ่าฝูงได้อีกครั้งจากการเล่น 27 นัดเท่า แมนฯ ซิตี้ ในขณะที่ฉีกหนี สเปอร์ส ออกไปเป็น 6 คะแนน หลัง ไก่เดือยทอง บุกพ่าย เบิร์นลีย์ แบบงง ๆ 1-2
ด้าน แมนฯ ยูไนเต็ด โดน อาร์เซนอล แซงไปอยู่ที่ 4 โดยตามหลัง ปืนใหญ่ อยู่ 1 คะแนน แต่พวกเขาก็ยังมีคิวต้องออกไปเยือน อาร์เซนอล อีกในต้นเดือนหน้า ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการแซงกลับไป หรือการโดนทิ้งห่างก็ได้
ผลบอล เสมอในเกมนี้ยังไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับทั้ง 2 ฝ่าย และนั่นก็ยังทำให้ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ยังมีอะไรให้ลุ้นกันต่อไป ซึ่งเผลอ ๆ ก็อาจต้องลุ้นจนนัดที่ 38 เลยทีเดียว กว่าจะสรุปอันดับ 1-6 ได้