โจ เฟรเซียร์ : เพื่อนรักที่จำต้องรับบทตัวร้ายให้ ‘มูฮัมหมัด อาลี’ เป็นพระเอกของโลก

โจ เฟรเซียร์ : เพื่อนรักที่จำต้องรับบทตัวร้ายให้ ‘มูฮัมหมัด อาลี’ เป็นพระเอกของโลก

โจ เฟรเซียร์ : เพื่อนรักที่จำต้องรับบทตัวร้ายให้ ‘มูฮัมหมัด อาลี’ เป็นพระเอกของโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พูดถึงบาสเก็ตบอลก็ต้องไมเคิล จอร์แดน,พูดถึงนักกกอล์ฟก็ต้องนึกถึง ไทเกอร์ วู้ด และเมื่อพูดถึงนักมวยก็ต้อง มูฮัมหมัด อาลี ... พวกเขาเหล่านี้ต่างถูกเรียกว่า "เดอะ เกรท" หรือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสาขาของตัวเอง แต่นั่นแค่เบื้องหน้าที่คนทั่วไปได้เห็นเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องราวของเจ้าของฉายา "พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง" อย่าง อาลี นั้น เขาอาจจะเป็นฮีโร่ของโลก สำหรับ  โจ เฟรเซียร์ คนที่เขากล้าเรียกว่าเพื่อนรัก กลับได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม

อาลี ทำอะไรกับคนที่เคยหยิบยื่นไมตรีและเป็นคู่ซี้ของเขา ... นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ทั้งคู่ยังใส่นวมและสร้างประวัติศาสตร์ไฟต์สุดมันตลอดกาลเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา

อาลี เพื่อนรัก
มูฮัมหมัด อาลี คือจุดสูงสุดแห่งยุคสมัย ในช่วงเวลาที่กระแสเหยียดผิวของสหรัฐอเมริกา อยู่ในสถานการณ์ที่ร้อนฉ่า เขากล้าเอาตัวเองเข้าไปชนใส่เรื่องนี้ตรงๆ

สมัยที่ใช้ชื่อซึ่งพ่อแม่ตั้งให้ แคสเซียส เคลย์ เขาคือนักชกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1960 และคว้าแชมป์โลกเส้นแรกในอีก 4 ปีต่อมาด้วยการเอาชนะ ซอนนี่ ลิสตัน ไปอย่างเหนือความคาดหมาย

แต่สิ่งที่เกินคาดหมายยิ่งกว่าก็คือ หลังจากไฟต์นั้น แคสเซียส เคลย์ ได้เปลี่ยนศาสนาที่นับถือจากคริสต์เป็นอิสลาม พร้อมเข้ากลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง และศาสนาแนวเชื้อชาตินิยมผิวดำ ที่ถูกโจมตีว่าเป็นกลุ่มอุดมการณ์แบบคนดำเป็นใหญ่หัวรุนแรง แถมเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี เรื่องนี้เป็นการท้าทายและต่อต้านระบบสังคมที่ครอบงำโดยคนขาวในสมัยนั้น

000_was701463
“แคสเชียส เคลย์ เป็นชื่อทาส ผมไม่ได้เลือกเอง และผมก็ไม่ต้องการ … ผมคือมูฮัมหมัด อาลี ผู้เป็นอิสระ มันแปลว่ารักจากพระเจ้า … และขอให้ทุกคนใช้ชื่อนี้เมื่อพูดกับผมหรือกล่าวถึงผม”

อาลี ไม่ใช่แค่คนที่หนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นเท่านั้น เขาฉลาดมากเรื่องการวางตัว และเขาเป็นอัจฉริยะในเรื่องการปรับตัว เขารู้ว่าอเมริกา ต้องการฮีโร่ และรู้ด้วยว่าตัวเขาเองสามารถเป็นคนๆ นั้นได้

ไม่ใช่แค่คิด แต่วิเคราะห์เป็นจริงเป็นจัง การจะเป็นฮีโร่นั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ "ต้องมีตัวร้าย" อาลี สวมหน้ากากคนดี โดยบทที่อาลี ต้องแสดงคือ ยอดนักมวยที่เป็นวีรบุรุษของคนผิวสี เรื่องนี้ทำให้เขาได้คะแนนเสียงเชียร์ไปเยอะและกลายเป็นฮีโร่จริงๆ  เมื่อถึงวันที่ชื่อเสียงมีมากในระดับหนึ่งแล้วเหล่าตัวโกงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ไม่ว่า อาลี จะทำอะไร เขามีอิมแพ็คพอที่จะทำให้แฟนของเขาคล้อยตามไปเป็นที่เรียบร้อย

โดยเฉพาะเหตุการณ์ฮีโร่ 100% เกิดขึ้นในปี 1966 ที่ อาลี ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อรบในสงครามเวียดนาม ซึ่งเขาปฎิเสธมันแบบไม่ใยดีด้วยเหตุผลที่พระเอกสุดๆ

000_sapa990120150830
"แหม่ … ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพวกเวียดกงซะหน่อย และผมไม่เดินทางไกลบ้านเป็นหมื่นไมล์ ไปฆ่า ไปเผาประเทศที่ยากจน เพื่อพวกคนขาวที่ปกครองคนดำแบบทาสแน่นอน" เขาว่าไว้เช่นนั้น และนั่นทำให้รัฐบาลไม่อาจจะอยู่เฉยกับการต่อต้านที่ออกนอกหน้าจนเกินไป  

อาลี โดนแบนจากการขึ้นชกเป็นเวลา 3 ปีจากการปฎิเสธกองทัพ และจำต้องขึ้นศาลเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง เขายังขาดความช่วยเหลือหลายด้าน ดังนั้น จึงต้องรบกวนไปถึง เฟรเซียร์ ในหลายเรื่องทั้งคอนเน็คชั่นและเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะในยุคนั้นนักมวยไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดต่อไฟต์เดียวรวยไปทั้งชาติเหมือนทุกวันนี้  ดังนั้นการโดนแบนและไม่ได้ขึ้นชกทำให้ อาลี เข้าขั้นภาวะถังแตก

อาลี ยื่นข้อเสนอไปยัง เฟรเซียร์ ว่าหาก เฟรเซียร์ สามารถช่วยให้เขาพ้นโทษแบบและกลับมาชกได้อีกครั้ง อาลี จะขึ้นชกกับ เฟรเซียร์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขาทั้งคู่จะได้เงินก้อนโต

000_arp2987244
โจ เฟรเซียร์ ตอบรับทันทีเพราะเดิมทีเขาก็สนับสนุนความคิดของ อาลี ที่ต่อต้านการเข้าร่วมกับกองทัพ อยู่เเล้ว เขาให้ความช่วยเหลือ อาลี ในการขึ้นศาลเพื่อทวงสิทธิ์ของตัวเองกลับคืนมา ที่สุดแล้วประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ก็คืนสิทธิ์ในการขึ้นชกให้กับ อาลี อีกครั้ง

สองเพื่อนรักกำลังปลาบปลื้มกับสิทธิ์การขึ้นชกที่ได้กลับมา ทว่าหลังจากนั้นไม่นานขณะที่ อาลี ต้องการทวงคืนความยิ่งใหญ่บนสังเวียนอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องสร้าง "เรื่องราว" ให้มันเป็นที่จดจำ และคนที่เขาใจร้ายด้วยครั้งนี้ก็คือเฟรเซียร์ เพื่อนรักของเขานั่นเอง

เพราะมันจำเป็น
ทั้งอาลี และ เฟรเซียร์ ต่างเป็นยอดนักชกเฮฟวี่เวททั้งคู่ ณ ยุค ‘70 อาลี คือตำนานไร้พ่าย 31-0 ไฟต์ และเป็นการชนะน็อคถึง 25 ครั้ง ขณะที่ เฟรเซียร์ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปี แบกสถิติ 26-0 และเป็นการชนะน็อค 23 ครั้ง ด้วยสถิติแบบนี้มีหรือแฟนๆ จะไม่อยากดูพวกเขาชกกัน ยิ่งมีปูมหลังจากการเป็นเพื่อนรักด้วยแล้ว มันยิ่งน่าดูไปกันใหญ่ และเมื่อยิ่งมีสัญญาใจกันอยู่เล้วจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไม่เร็วก็ช้าไฟต์ระหว่างคู่ซี้คู่นี้จะมาถึงแน่นอน

11alifrazier1-articlelarge
ปี 1971 เหล่าโปรโมเตอร์เล็งเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่มวยไฟต์นี้จะพร้อมออกสู่สายตาของแฟนหมัดมวยและโกยรายได้ให้มากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์มวยสากลเคยมีมา แผนที่วางไว้เพอร์เฟ็กต์ แต่มันยังเพอร์เฟ็กต์ได้อีกในแง่การตลาดเพราะอยู่ๆ อาลี ก็มีเรื่องให้บาดหมางกับ โจ เฟรเซียร์ ต้นเหตุมาจาก อาลี ที่เป็นคนสุดโต่งในแนวคิดไม่พอใจที่ เฟรเซียร์ ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ ไม่กล้าออกตัวเหมือนกับเขา และเข้ากลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองและศาสนาแนวเชื้อชาตินิยมผิวสี แถมยังมีนักลงทุนผิวขาวสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกด้วย

มีครั้งหนึ่ง เฟรเซียร์ เผลอเรียกชื่อ อาลี ว่า "เคลย์" ชื่อที่เจ้าตัวเกลียดที่สุด กลับกลายเป็นว่า อาลี ระเบิดอารมณ์ทันที เขาใช้เรื่องนี้โจมตี เฟรเซียร์ แบบไม่หยุดหย่อน ถ้าเป็นหมัดก็คงต้องเรียกว่าเป็นหมัดชุดก่อนขึ้นสังเวียนที่ทำให้ไฟต์นี้น่าดูชมระดับคูณ 10 เข้าไปโดยไม่ต้องเอาอะไรมาหารเลยทีเดียว

"เขาเป็นคนดำที่ไม่มีความเหมือนผมเลยสักนิด และนั่นคือเหตุผลที่ผมเรียกเขาว่า ลุงทอม (Uncle Tom : ทาสคนดำที่ก้มหน้าทำตามคำสั่งคนผิวขาวและใจร้ายกับพวกเดียวกันเอง) ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเป็นเหมือนน้องชาย แต่วันนี้เขาเปลี่ยนไป เขาทำงานให้กับพวกศัตรูของเรา" อาลีเปิดก่อน

000_sapa990122158140
ไฟต์ดังกล่าวเป็นศึกที่ต้องซื้อที่นั่งเพื่อเข้าชม มันถูกจัดขึ้นที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น มหานครนิวยอร์ก เมกกะแห่งวงการมวยแห่งสมัยนั้นความจุ 20,455 ที่นั่ง ค่าตั๋วชั้นริงไซด์ติดขอบเวที ตีไปเสียว่าต่ำๆ ต้องมี 150 ดอลล่าร์ (เปรียบเทียบกับปัจจุบันราวที่นั่งละ 928 ดอลล่าร์) ซึ่งถือว่าไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยๆ และปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสตอรี่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ตั๋วเข้าชมหมดเกลี้ยง ทั้ง อาลี และ เฟรเซียร์ ได้ส่วนแบ่งจากค่าเข้าชมและถ่ายทอดสดอีกคนละ 2.5 ล้านเหรียญซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่มากที่สุดของนักกีฬาทุกชนิด ณ เวลานั้น  แต่ที่แน่ๆ อาลี ยังไม่หยุดปากของเขา

"ถอดหน้ากากได้แล้ว … โจ เฟรเซียร์ น่าเกลียดและอัปลักษณ์เกินกว่าจะเป็นแชมป์ โง่เกินกว่าจะเป็นแชมป์ จุดสูงสุดของแชมป์เฮฟวี่เวท คือ คนที่ทั้งฉลาดยิ่งใหญ่เหมือนกับผมนี่แหละ 98% ของคนดูจะเชียร์ผม ผมชนะพวกเขาก็ชนะด้วย ถ้าผมแพ้พวกเขาก็แพ้ด้วย แต่อีก 2% ที่เชียร์ เฟรเซียร์ ผมขอเรียกไอ้พวกนี้ว่าอังเคิลทอมเลยแล้วกัน"

แม้แฟนๆ จะคลั่งไคล้ทั้งฝีมือและฝีปากของ อาลี จนเสียงเชียร์ส่วนใหญ่เป็นของฝั่ง อาลี ไปตามคาด ทว่าด้าน เฟรเซียร์ นั้นแทบเป็นคนละคน เขาดูไม่สนใจและแยแสกับเรื่องนี้  สิ่งที่เขาเตรียมมาก่อนขึ้นชกมีเพียงหมัดฮุกซ้ายที่เป็นไพ่ตายของเขาเท่านั้น ... และเมื่อไฟต์เริ่มขึ้น ก็เป็นไปตามคาดเพราะ การชก 3 ยกแรก อาลีใช้ความเร็วที่เหนือกว่า บุกเข้าโจมตีเฟรเซียร์ด้วยหมัดแย็บ จน เฟรเซียร์ เปิดตำรารับแทบไม่ทัน

image
แต่หลังจากเข้ายกที่ 4 โจ เฟรเซียร์ ก็เริ่มเดินเข้ารุกไล่ กระทั่งได้จังหวะฮุคซ้ายใส่อาลีเข้าเต็มๆ ในยก 11 ส่งร่างของสิงห์จอมโวทรุดลงไปให้กรรมการนับ แต่เสียงเชียร์และความอึดทำให้ อาลี ลุกขึ้นมาสู้ต่อ และทำได้ดีในอีก 3 ยกถัดมา กระทั่งเข้าสู่ยก 15 ซึ่งเป็นยกสุดท้ายของมวยอาชีพในสมัยนั้น เฟรเซียร์ กดสูตรเรียก หมัดฮุกซ้าย ท่าไม้ตายของเขาขึ้นมาใช้เป็นครั้งที่ 2 จนทำ อาลี ร่วงไปให้กรรมการนับอีกครั้ง ก่อนครบยกเฟรเซียร์เป็นฝ่ายชนะคะแนนเอกฉันท์ ยัดเยียดความปราชัยในการชกอาชีพครั้งแรกให้อาลีได้สำเร็จ

"ผมชกกับอาลีเหมือนหมาบ้าที่กำลังคุ้ยขยะ ผู้คนมามากมายเข้ามาดูไฟต์ในคืนนั้นเต็มความจุ พวกเขามาเพื่อดูผมเอาหัวอาลีน็อคกับพื้น และผมได้พยายามอย่างหนักจนสามารถจัดให้ได้อย่างสาสมแล้ว" หลังจากนั้นเรื่องราวของ อาลี กับ เฟรเซียร์ ก็เปลี่ยนไป เฟรเซียร์ กลายเป็นตัวโกง เพราะชนะพระเอกของเรื่อง นี่คือสิ่งที่เขาเลี่ยงไม่ได้

"มูฮัมหมัด คุณทำดีแล้ว" ชายผิวขาวตะโกนหลังจากไฟต์ก่อนที่ อาลี จะเดินขึ้นรถกลับที่พักด้วยตาที่ปูดโปน "คุณจะกลับมาได้  ไม่ต้องห่วงคุณจะต้องกลับมาแน่นอน" อาลี ได้ยินดังนั้นก็หันไปขยิบตาให้ 1 ครั้ง

000_sapa990126166540
ตรงกันข้ามขณะที่ถึงคิว เฟรเซียร์ ขึ้นรถกลับที่พักบ้างกลับมีเสียงของผู้คนคุยกันว่า "ถ้าเจอกันอีกรอบเขาไม่รอดแน่ เชื่อฉันสิ เฟรเซียร์ จะไม่ชนะ อาลี ในครั้งต่อไปแน่นอน" … นี่คือสิ่งที่คนเชื่อในตอนนั้น

เป็นบันไดให้อาลี
ความบาดหมางทำให้ไม่อาจสนิทใจกันเหมือนเดิมได้ เฟรเซียร์ เปิดใจว่าหลังจากชนะ อาลี ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดูผิดเพี้ยนไปหมด กล่าวคือเมื่อทั้งคู่คุยกันสองคนแบบไม่มีบุคคลอื่น อาลี จะเป็นคนปกติไม่ดูหมิ่นไม่เหยียดหยาม แต่ถ้ามีกล้องจับเมื่อไหร่ล่ะก็ เฟรเซียร์ จะเหมือนเป็นโถส้วมให้ อาลี ถ่มถุยใส่ได้ทั้งวัน และดูเหมือนหลายคนจะชอบให้เป็นแบบนั้นด้วยเพราะพวกเขาเชื่อว่า อาลี คือผู้สวมมงกุฎแชมป์เฮฟวี่เวทที่แท้จริง  

"ผมไม่เคยชอบ อาลี เลย ตอนเราอยู่กัน 2 คนแบบไม่มีใครและคุยกันเรื่องครอบครัว อาลี เป็นคนที่โอเค แต่ถ้ามีบุคคลที่ 3 เมื่อไหร่ เขาก็จะเริ่มจาบจ้วงผมทันที ผมไม่อาจจะคุยกับเขาได้อีก ก่อนที่การชกจะมีขึ้น คำพูดเหล่านั้นของ อาลี ทำร้ายผมยิ่งกว่าหมัดของเขาเสียอีก"

08_frazier_g_w
อาลี คงคันเขี้ยวเต็มที่ การพ่ายแพ้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ เขาเรียก เฟรเซียร์ ว่าเป็นแชมป์ของคนขาว และถ้าเจอกันอีกรอบ รับรองคราวนี้เสร็จแน่ แฟนๆ ยังคงอยากดูเหมือนเช่นเคย และแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาอยากเห็นคือขวัญใจมหาชนอย่าง อาลี คว่ำ เฟรเซียร์ ชายผู้สร้างรอยแผลในเกียรติประวัติให้กับนักชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

"ผมเปลี่ยนไปและพร้อมแล้วสำหรับไฟต์นี้ ผมปล้ำกับจระเข้ ผมต่อสู้กับปลาวาฬ ผมสามารถสลัดกุญแจมือออกได้ด้วยสายฟ้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมต่อยหินจนแตก จนก้อนหินพวกนั้นต้องไปเข้าโรงพยาบาล"

ที่สุดแล้ว ไฟต์ล้างตาก็เกิดขึ้นจนได้ ขึ้นจนได้ ในวันที่ 28 มกราคมปี 1974 ไฟต์นี้ อาลี เอาชนะไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์จากการนับคะแนนหลังจบ 12 ยก (ไฟต์ดังกล่าวไม่ได้เป็นการชกชิงแชมป์สถาบันหลัก จึงมีกำหนดชกเพียง 12 ยก) ซึ่งในไฟต์นั้น เป็นเหมือนการปลดปล่อยของเขาด้วย เขาใช้ "แทรช ทอล์ค" (คำหยามแบบรุนแรง) ระหว่างไฟต์ทั้งด่า เฟรเซียร์ ว่า ไอ้กอริลล่า และ ไอ้โง่ ตลอดจนจบไฟต์ได้ข้อยุติว่าเป็นชัยชนะของเขา

8066172_f520
เสมอกัน 1-1 แล้ว นี่คือสิ่งที่แฟนหมัดมวยส่วนมากอยากเห็น อาลี ตามตีเสมอแบบที่คาดไว้ และมันเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะหาชัยชนะที่เป็นเอกฉันท์นั่นคือ ไฟต์ที่ 3 เพื่อตัดสินว่าใครกันแน่ที่เก่งกว่า และเมื่อทั่วโลกอยากรู้ก็เป็นหน้าที่ของ ดอน คิง โปรโมเตอร์ดังที่จัดการสานฝันให้เกิดขึ้น เขาจิ้มสังเวียนนอกอเมริกา นั่นคือกรุง มะนิลา ประเทศ ฟิลิปปินส์ ดินแดนที่คลั่งหมัดมวยไม่เป็นสองรองใคร และคนที่ดูจะแฮปปี้กับเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้น อาลี มันเหมือนว่าบทละครนี้ถูกเขียนมาให้เขา เพราะถ้าเขาชนะได้ รอยแผลที่เคยแพ้ เฟรเซียร์ จะหายไปทันที  

อาลี ประกาศด้วยตัวเองว่าไฟต์นี้จะเป็น Thrilla in Manila หรือ แมตช์ที่ตื่นเต้นเร้าใจในมะนิลา และแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะแขวะ เฟรเซียร์ ให้แฟนๆ ได้เฮฮาเหมือนเช่นเคย

"นี่คือแมตช์ที่เหมือนกรรมสนองของเฟรเซียร์ ผมจะจดจำทุกก้าวทุกสเต็ปเท้า และสายตาของเขาตอนที่ได้ชิมหมัดของผม" อาลี กล่าวพร้อมกับมีกลอนสั้นๆ ที่แต่งมาเพื่อเฟรเซียร์โดยเฉพาะ

"มันจะเห็นคนโดนฆ่า (It will be a killa) มันจะแสนสบาย (And a chilla) มันจะตื่นเต้น (And a thrilla) เมื่อผมเชือดไอ้กอริลล่า (When I get the gorilla) ที่กรุงมะนิลา (In Manila)"

ทุกคนขำก๊ากกันหมดในการแถลงข่าวก่อนชกครั้งนี้ยกเว้น เฟรเซียร์ ที่นับไม่ถ้วนไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาถูกล้อเป็นตัวตลก แต่คนล้อเขากลับกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ และถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่ของคนทั้งโลก

ce31b39bbf14c22e2d327c7d34289
ความแค้นทั้งหมดโดนกลั่นใส่ทั้งหมัดขวาและซ้ายของเขา เมื่อระฆังดังขึ้น เฟรเซียร์ ก็เดินหน้าเข้าอัดไม่ยั้ง ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขายิ่งชกยิ่งออกอาการแผ่วลง สวนทางกับ อาลี ที่วาดลวดลายในแบบที่เขาถนัด ทั้งคู่แลกหมัดกันหนักหน่วง แบบไม่มีใครกลัวใคร เห็นได้ชัดว่าเรื่องของอารมณ์ทำให้ทั้ง 2 คน ลืมแท็คติกและขีดจำกัดของตัวเอง จนกลายเป็นการใช้ความรู้สึกเข้าห้ำหั่นกันอย่างแท้จริง

"การชกครั้งนี้สามารถเคลมได้เลยว่าเป็นไฟต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ด้านความหมายในสังคมเท่านั้น แต่สิ่งที่ทั้งสองคนแสดงออกมาบนผืนผ้าใบ มันยอดเยี่ยมจนต้องเรียกมันว่าประวัติศาสตร์" โทมัส เฮ้าสเซอร์ นักข่าวสายมวยที่เกาะติดไฟต์นั้นติดขอบเวทีให้คำจำกัดความไว้อย่างชัดเจน

ที่สุดแล้วอาลีใช้สปีดฟุตเวิร์ตหลอกล่อให้เฟรเซียร์ขยับเข้าต่อยเพิ่มทำลายพละกำลังที่มีอยู่ กระทั่งผ่านยก 11 อาลีก็ค่อยๆ เร่งเกมการชกขึ้นมา เร่งออกหมัดจนตาซ้ายของเฟรเซียร์ปิดเกือบสนิท ก่อนที่พี่เลี้ยงจะตัดสินใจโยนผ้ายอมแพ้เมื่อก่อนที่จะขึ้นยก 15 ... อาลี 2-1 เฟรเซียร์  "สิงห์จอมโว" ได้ชัยชนะที่เป็นเอกฉันท์แล้ว และบันไดอย่าง เฟรเซียร์ ได้ปิดจ็อบหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นทางการ

 หลังหมอกแห่งความบาดหมาง
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเฟรเซียร์ อาจจะทำให้ใครหลายคนสะใจ แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงการทุกคนชื่นชมและสรรเสริญ เฟรเซียร์ เป็นอย่างมาก ที่ทำหน้าที่ บันได ให้กับ อาลี มีชื่อเสียงมากขึ้นและยิ่งใหญ่จนคับโลก

เอ็ดดี้ ฟุตช์ ผู้เป็นโค้ชและคนที่โยนธงขาวในวันนั้นเดินไปหานักมวยของเขา ขณะที่ฝ่ายอาลีกำลังดีใจ ก่อนที่ ฟุตช์ จะพูดกับ เฟรเซียร์ว่า "มันจบแล้วน้องชาย ไม่ต้องห่วงไม่มีใครกล้าลืมสิ่งที่แกทำในคืนนี้แน่"

ฟุตช์ พูดจบก็ประคอง เฟรเซียร์ ลุกขึ้นยืน จากนั้นไม่กี่วินาที อาลี ก็เดินเข้ามาที่มุมของคู่ชก และยกแขนของ เฟรเซียร์ ขึ้นเพื่อสดุดีความยิ่งใหญ่ที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา

อาลี เรียกไฟต์ที่ มะนิลานี้ว่า "ช่วงเวลาที่ผมเข้าใกล้ความตายมากที่สุด" เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเองก็ใส่หมดก๊อกจนแทบถอดนวมไม่ได้

1973-0331-don-king-muhammad-a
เขาพูดไว้แค่นี้ แต่นั่นเหมือนแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง เพราะเบื้องหลังมีการเปิดเผยว่า หลังจากไฟต์นี้จบลง อาลี ต้องใช้เวลานอนนิ่งๆ อยู่บนโซฟาเป็นเวลาถึง 1 ชั่วโมงเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะให้สัมภาษณ์ได้ มันยิ่งกว่าไฟต์ไหนที่เขาเคยเจอมา "ผมเจ็บไปหมดทั้งตัว ไม่ว่าจะแขน, ใบหน้า ร้าวไปทุกด้าน ผมเหนื่อยมาก หลังจากจบไฟต์นี้ผมรู้สึกว่าวันรีไทร์ของผมใกล้เข้ามาแล้ว"

ขณะที่คุณหมอ เฟอร์ดี้ ปาเชโก้ แพทย์สนามในวันนั้นก็กล้ายืนยันว่านี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง เขาให้คำจำกัดความว่า "การฆาตกรรมเงียบ" และบอกว่าสภาพอาลีหลังชกแทบไม่มีโอกาสเลยที่เขาจะกลับไปถึงบ้านและฉลองชัย เพราะ อาลี เกือบจะตายจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องของระบบประสาทที่โดน เฟรเซียร์ อัดไปหลายหมัดกว่าที่เขาจะเอาลงได้

เฟรเซียร์ ทำหน้าที่บันไดอย่างสุดฝีมือ เข้าสู้อย่างสูสีและทำให้ "The Greatest" เข้าใกล้ความตาย ...ทว่ามันมีเรื่องที่สุดยอดยิ่งกว่าที่เห็นภายใต้ปูมหลังของตัวเขาเอง

ไม่มีใครรู้ว่า เฟรเซียร์ มีความบกพร่องทางสายตาตั้งแต่ก่อนขึ้นชก และนี่คือเรื่องที่ถูกเปิดเผยขึ้นภายหลังในอัตชีวประวัติของเขาในอีก 20 ปีให้หลัง

ข้อมูลทางการแพทย์บอกว่าตาซ้ายของ เฟรเซียร์ กลายเป็นต้อกระจกและใช้งานไม่ได้ "บางส่วน" จากอุบัติเหตุในวัยเด็ก ซึ่งเรื่องนี้เขาปิดเป็นความลับมาตลอดมีเพียงทีมงานของเขาเท่านั้นที่รู้ และเจ้าตัวยังบอกอีกว่าในการตรวจร่างกายก่อนขึ้นชกตลอดชีวิตนักมวยของเขา เขาต้องคุยกับหมอแต่ละคนด้วยตัวเองเพื่อให้ผ่านการตรวจนี้ไปได้ "หมอบางคนถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลย" เขาว่าไว้เช่นนั้น และถ้ามันไม่ได้จริงๆ เขาจะไปหัดท่องจำแผ่นทดสอบสายตาจนขึ้นใจ เห็นได้ชัดว่า เฟรเซียร์ เป็นนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครหลายคนจะมองว่าเขาเป็นตัวตลกหรือบันไดของ มูฮัมหมัด อาลี  

ชัยชนะของ อาลี ไฟต์ นี้ ยังไม่ถูกจดจำเท่าคำพูดของเขาที่กล่าวหลังการชกว่า “เฟรเซียร์ คือนักชกที่เก่งที่สุดในโลก ที่ต่อจากตัวเขาเอง”  

อคติทุกอย่างจบสิ้น ไร้ซึ่งความบาดหมาง เหลือแต่เพียงการยอมรับกันและกันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างรู้กันดีว่าคู่ชกของเขาเก่งแค่ไหน และที่สำคัญคือท้ายที่สุดในวันที่ทั้งคู่แก่ตัวลง พวกเขาต่างได้ยินคำพูดที่อยากจะได้ยิน

"โจ พูดถูกแล้ว บางทีผมก็พูดมากเกินไปแบบไม่คิด พูดหลายสิ่งที่ผมไม่ควรพูด ผมขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเสียใจที่เคยทำมันไป" อาลี ยอมรับผิดโดยไร้เงื่อนไข จากจอมโวในอดีตกลายเป็นคนที่ขอคำให้อภัย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook