สาวโรงงานสู่เหรียญทองโอลิมปิก : ขุดจุดเริ่มต้นสู่ความยิ่งใหญ่ของทีมนักตบลูกยางญี่ปุ่น
เมื่อความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะได้มาซึ่งเกียรติยศและความสำเร็จ
ปี 1964 คือปีแห่งการเฉลิมฉลองของญี่ปุ่น พวกเขาได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1964 โอลิมปิกครั้งแรกบนผืนแผ่นดินเอเชียได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกันทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่น ยังสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญประวัติศาสตร์มาครองได้สำเร็จ
การคว้าเหรียญทองในครั้งนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ในวงการกีฬาญี่ปุ่น เพราะเหตุการณ์นี้ได้ถูกเลือกให้เข้ามาอยู่ใน 10 เหตุการณ์ความสำเร็จของชาวอาทิตย์อุทัยที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 และรั้งอันดับ 5 ในการจัดอันดับของหนังสือพิมพ์อาซาฮี ในช่วงปลายปี 1999
ทว่า เบื้องหลังในความสำเร็จของพวกเธอ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาของความพยายามที่จะเอาชนะกำแพงที่สูงชัน พบกับเรื่องราวของ “แม่มดแห่งตะวันออก” กับการเดินทางของพวกเธอ
สาวโรงงาน
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศจากการเป็นชาติที่แพ้สงคราม พวกเขามุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยมีโรงงานตั้งอยู่มากมายทั่วทุกมุมเมือง และโรงงานก็มีกีฬาให้พนักงานได้เล่นเพื่อผ่อนคลาย หนึ่งในนั้นคือวอลเลย์บอล
นิชิโบะ ไคซุกะ คือทีมวอลเลย์บอลจากโรงงานที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น พวกเขามีผู้เล่นที่สูงถึง 170 เซนติเมตรอย่าง มาซาเอะ คาไซ เป็นตัวนำทีม ทำให้การฟอร์มทีมชาติญี่ปุ่นเพื่อลงแข่งในระดับนานาชาติ สาวจากโรงงาน นิชิโบะ จึงถูกเรียกติดเข้ามาเกือบยกทีม
รายการแรกในเวทีระดับโลกของพวกเธอคือ ศึกวอลเลย์บอล เวิลด์ แชมเปียนชิพที่บราซิลในปี 1960 แม้จะเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก แต่ทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่นก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด จบในตำแหน่งรองแชมป์ โดยพ่ายต่อ สหภาพโซเวียต ยักษ์ใหญ่วอลเลย์บอลหญิงในยุคนั้นแค่เกมเดียวเท่านั้น
สองปีต่อมา ญี่ปุ่นก็กลับมาล้างแค้นได้สำเร็จในการแข่งขันเวิลด์ แชมเปียนชิพที่โซเวียต พวกเธอไล่ปราบทั้งทีมยุโรปและอเมริกาใต้ ก่อนเอาชนะโซเวียตเจ้าภาพ ขึ้นไปครองเบอร์หนึ่งของรายการได้สำเร็จ จนทำให้ Pravda สื่อในท้องถิ่นของเจ้าภาพตั้งฉายาให้พวกเธอว่า “แม่มดแห่งตะวันออก”
“ในญี่ปุ่น แม่มดเป็นสิ่งที่น่ากลัว” มาซาเอะ คาไซ กัปตันทีมกล่าวกับ เฮเลน แมคนอตัน ของ SOAS แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน
“แต่ชื่อเล่นนี้ไม่ได้สื่อไปทางนั้น มันเป็นคำที่อธิบายวิธีการเล่นวอลเลย์บอลของเรา ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน”
แม่มดแห่งตะวันออก สร้างชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลกในการแข่งขันที่โซเวียต แต่เบื้องหลัง พวกเธอและโค้ชมีแผนที่จะวางมือหลังทัวร์นาเมนต์นั้น
ภารกิจที่ไม่มีทางเลือก
ในค่านิยมสังคมญี่ปุ่นในอดีต การแต่งงานคือเรื่องสำคัญของผู้หญิงแดนอาทิตย์อุทัยพวกเขามีแนวคิดว่าหลังทำงานได้สักพักผู้หญิงก็ควรแต่งงาน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน คอยดูแลสามีที่ออกไปทำงานนอกบ้าน
ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดของคนญี่ปุ่นในทศวรรษที่ 60 ยังมองว่าผู้หญิงควรแต่งงานตอนอายุไม่เกิน 25 ปี เพราะหลังจากนั้นหากใครยังไม่ได้แต่งงานจะถูกเรียกว่า “เค้กคริสมาสต์” ซึ่งเปรียบเปรยว่าหลังวันที่ 25 ธันวาคม (อายุ 25) พวกเธอจะไม่มีค่าอีกต่อไป
สิ่งนี้ไม่เว้นแม้แต่นักกีฬา ทำให้แม้ว่าทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่นจะคว้าแชมป์เวิลด์แชมเปียนชิพในปี 1962 แต่อายุอานามผู้เล่นในทีมส่วนใหญ่อยู่วัยเกือบ 30 ปีทั้งนั้น ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะวางมือ และกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ รวมไปถึง มาซาเอะ คาไซ กัปตันวัย 29 ปีที่มีแผนจะแต่งงานกับชายหนุ่มที่กำลังคบกันอยู่
ทว่าการประกาศว่าวอลเลย์บอลหญิง จะถูกบรรจุลงในกีฬาโอลิมปิก 1964 เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องจากสาธารณชนให้ผู้เล่นและโค้ชชุดแชมป์เวิลด์ แชมเปียนชิพ ที่โซเวียตกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ด้วยเป้าหมายในการคว้าเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก 1964 โดยเฮเลน แมคนอตัน อธิบายถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นในบทความ The Oriental Witches: Women Volleyball and the 1964 Tokyo Olympics ของเธอว่า
“ความคาดหวังจากสาธารณชนมันยิ่งใหญ่มาก ทีมได้รับจดหมายกว่า 5,000 ฉบับที่โน้มน้าวให้ ‘แม่มดตะวันออก’ เล่นต่อไป ต้นปี 1963 สมาชิกของทีมได้รับมันเช่นกัน หลังวันหยุดปีใหม่ ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะเล่นต่อจนถึงโอลิมปิก”
อันที่จริง มาซาเอะ คาไซ กัปตันวัย 29 ปี กำลังคบหาอยู่กับชายหนุ่มจากโอซากา เธอมีตัวเลือกว่าจะแต่งงานอยู่บ้าน หรือเข้าร่วมฝึกซ้อมเพื่อทีมชาติญี่ปุ่น แต่สุดท้าย คาไซ ก็เลือกอย่างหลัง
“คาไซ ยอมล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานในตอนนั้น และตั้งเป้าหมายสู่เหรียญทองในโตเกียวโอลิมปิก ในการสัมภาษณ์ คาไซบอกว่าเธอตัดสินเล่นต่อเพราะรู้สึกว่าสาธารณชนในตอนนั้น ‘ไม่อนุญาตให้เธอเลิกเล่น’”
ภารกิจที่แพ้ไม่ได้ของพวกเธอเริ่มต้นขึ้นแล้ว
โค้ชปีศาจ
ทางเดียวที่จะตอบรับความคาดหวังของคนทั้งชาติได้คือการคว้าเหรียญทองเท่านั้น แต่จะทำได้อย่างไร ในเมื่อโอลิมปิกก็ไม่ใช่งานง่าย พวกเธอต้องเจอกับผู้เล่นยุโรป และอเมริกาที่มีร่างกายที่สูงใหญ่
พวกเธอจะทำอย่างไร เพื่อจะก้าวผ่านกำแพงที่สูงชันได้ และเมื่อเอาชนะลักษณะทางร่างกายไม่ได้ ก็ต้องใช้เทคนิคเข้าสู้ ญี่ปุ่นตัวเล็กก็จริง แต่พวกเธอก็มีความว่องไวเป็นอาวุธ และสิ่งที่จะทำให้นักกีฬามีประสิทธิภาพมากพอ ก็คือการซ้อมให้หนักขึ้น หนักขึ้น และหนักขึ้น
ภายใต้การคุมทีมของ ฮิโรฟุมิ ไดมัตสึ อดีตทหารผู้ผ่านสงครามโลก ทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่น ต้องฝึกซ้อมหลังเลิกงานโดยไม่มีวันหยุดนอกจากวันปีใหม่ โดยเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่เวลา 16.30 จนถึงเที่ยงคืนของทุกวัน และมีเวลาเบรกแค่เพียง 15 นาที ในขณะที่ คาไซ กัปตันทีม ต้องซ้อมหนักว่าคนอื่นโดยเริ่มตั้งแต่ 3 โมงเย็นถึงตีสาม
“นี่คือเวลาที่จะไม่มีอย่างอื่นมาข้องเกี่ยว ผู้เล่นต่างรู้ดีว่าเขาไม่มีชีวิตให้เรื่องอื่น พวกเขาทำเพราะพวกเขาเลือกที่จะทำ การเตรียมตัวเพื่อชัยชนะเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นความท้าทายส่วนตัว มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับโดยไม่มีคำถาม” ไดมัตสึกล่าวกับ Sports Illustrated
หนึ่งในเทคนิคที่ ไดมัตสึ นำมาใช้กับลูกทีมของเขาคือท่าไคเต็ง เรชิบุ (รับแล้วม้วนตัว) ซึ่งเป็นท่าที่ประยุกต์มาจากยูโด และเป็นอาวุธลับที่ทำให้คว้าแชมป์เวิลด์ แชมเปียนชิพ ในปี 1962 วิธีฝึกก็คือ ให้โค้ชโยนลูกให้ผู้เล่นหมุนตัวไปตีสลับซ้ายขวาไปเรื่อยๆ และทำซ้ำๆเป็นร้อยๆพันๆรอบ จนกว่าร่างกายจะจำได้
แม้การฝึกซ้อมแบบนี้จะทำให้บางคนรับไม่ไหว ถึงขั้นลงไปนอนพับ หรือร้องไห้เพราะความเหนื่อย แต่ไดมัตสึ ก็ไม่สนใจแถมยังพูดกับคนเหล่านั้นว่า
“ถ้าเธออยากอยู่บ้านกับแม่ ก็กลับไปซะ เราไม่ได้อยากให้เธออยู่ที่นี่ เมืองนี้มีหมู่บ้านเกาหลีอยู่ ถ้ามันยากไปสำหรับเธอ ไปเล่นกับพวกเขาที่นั่นดีกว่านะ” หรือ “เธอไม่ได้เรื่อง เลิกไปเสียเถอะ”
ไดมัตสึ ยังขึ้นชื่อเรื่องการลงโทษที่สุดโหดเมื่อผู้เล่นทำผิด ครั้งหนึ่งเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น แม้ว่ารถเข็นอาหารจะมาถึงแล้ว แทนที่เขาจะให้ลูกทีมหยุดซ้อม แต่ไดมัตสึกลับให้ผู้เล่นของเขาซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะอนุญาตให้รับประทานอาหารช้าไปจากเดิมครึ่งชั่วโมง แถมเมื่อถึงเวลา เขาก็อนุญาตเฉพาะทีมตัวจริงได้กิน ในขณะที่ผู้เล่นสำรองต้องซ้อมต่อไป ส่วนตัวเขานั่งกินอาหารอย่างสบายใจ
แน่นอนการฝึกซ้อมที่เข้มงวดและการลงโทษแบบนี้ของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนภายนอก โดยเฉพาะสหภาพแรงงานของบริษัท ที่มองว่าเป็นการทารุณมนุษย์มากเกินไป จนไดมัตสึถูกตั้งฉายาว่า “โค้ชปีศาจ”
อันที่จริงไดมัตสึ ก็เห็นด้วยว่าการฝึกซ้อมของเขามันโหดร้าย แต่เขาจำเป็นต้องทำ เพราะนอกจากพัฒนาทักษะทางร่างกายแล้ว เขายังต้องฝึกจิตวิญญาณในการต่อสู้ให้ผู้เล่น เพื่อที่จะเอาชนะโซเวียต คู่ปรับสำคัญที่เหนือกว่าทั้งในด้านส่วนสูงและพละกำลัง
และผู้เล่นก็ต่างรู้ดีในเรื่องนี้ ทำให้พวกเธอยังคงหนุนหลังไดมัตสึ แม้ว่าเขาจะโดนโจมตีจากคนในประเทศแต่ไหนก็ตาม
“ฉันเชื่อใจและนับถือโค้ชไดมัตสึ ทีมมีความสุขที่ได้รับคำแนะนำจากเขา เพราะว่าเราเชื่อมั่นในตัวเขา” คาไซ กัปตันญี่ปุ่นกล่าว
“เขาเคยเป็นนักวอลเลย์บอลสมัยมหาวิทยาลัย มานิจิโบะ (ชื่อเล่นของทีมของบริษัท) หลังจากเป็นทหารในสงคราม ทีมและฉันทำตามการฝึกซ้อมของเขาอย่างหนัก เพราะว่านิสัยความเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ของเขา เขาเป็นผู้ชายที่เชื่อใจได้ และเราก็เคารพในความเป็นมนุษย์ของเขา”
“ทุกครั้งที่ทีมชนะ เขาจะกระตุ้นเราว่าการฝึกซ้อมอย่างหนักของเขาคือทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเราจึงฝึกซ้อมอย่างหนักอีกครั้ง และเราก็ชนะอีกครั้ง เรามีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างเขากับทีม”
และแล้วการฝึกซ้อมที่โหดหินของเขาก็ถึงเวลาพิสูจน์ในโอลิมปิก 1964
ศึกชี้ชะตา
ว่ากันว่ามันคือการถ่ายทอดสดที่มียอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลของญี่ปุ่น 1 ทุ่มของวันที่ 23 ตุลาคม 1964 ผู้ชมกว่า 100 ล้านคนและอีก 4,000 คนที่สนาม โคมาซาวะ ยิมเนเซียม รวมไปถึง เจ้าหญิงมิจิโกะ ที่ต่อมาขึ้นเป็นราชินีของญี่ปุ่น ต่างเฝ้าชมการแข่งขันนัดประวัติศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่นกับโซเวียต
ก่อนหน้านี้ สาววอลเลย์บอลญี่ปุ่น ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ต้อนทั้ง สหรัฐอเมริกา โรมาเนีย เกาหลีใต้ โปแลนด์ คว้าชัย 4 นัดรวด และเสียไปเพียงแค่เซตเดียว พวกเธอจำเป็นต้องชนะอีกนัดเดียวก็จะคว้าเหรียญทอง
ราวกับพรหมลิขิต เมื่อในนัดสุดท้ายญี่ปุ่นต้องเจอกับสหภาพโซเวียตคู่ปรับเก่า ซึ่งเป็นเจ้าวอลเลย์บอลหญิงในยุคนั้น ทำให้เกมวันนั้นกลายเป็นเกมนัดสำคัญที่หลายคนจับตามอง ถึงขนาดถนนในกินซ่าว่างโล่งตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ
แม้จะทำผลงานได้อย่างสุดยอด แต่ญี่ปุ่น ต้องแบกความกดดันของคนในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ อาคิโอะ คามินางะ พลาดทำได้เพียงเหรียญเงินในกีฬายูโด ยิ่งทำให้ความคาดหวังต่อทีมวอลเลย์บอลสาวทวีคูณขึ้นไปอีก ในฐานะกีฬาที่ได้ลุ้นเหรียญทองเหรียญสุดท้าย ก่อนที่จะมีพิธีปิดในวันรุ่งขึ้น ถึงขนาดสมาชิกคนหนึ่งในทีมพูดว่า “ถ้าเราแพ้ เราคงต้องหนีออกจากประเทศแน่ๆ”
แต่ค่ำวันนั้น ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน เอาชนะไปได้ 2 เซตรวดด้วยสกอร์ 15-11 และ 15-8 โอกาสพวกเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพราะต้องการเพียงแค่เซตเดียวก็จะชนะ
และเซตที่ 3 ญี่ปุ่นออกนำไปไกลถึง 11-3 คาไซ ย้อนความหลังในอัตชีวประวัติส่วนตัวว่าตอนนั้นเธอคิดว่า “มีโอกาสแล้ว เรามีโอกาสชนะ” ทว่าโซเวียตก็ไล่มาเป็น 13-6 ให้พวกเธอเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
แม้จากนั้น ญี่ปุ่นจะทำแต้มหนีห่างออกไป 14-8 แต่กลายเป็นว่าพวกเธอช็อตไปดื้อๆ จนรัสเซียไล่มาเป็น 14-13 เกมกำลังตึงเครียดอย่างหนัก โมเมนตัมเริ่มกลับมาอยู่ฝั่งรัสเซีย จนไดมัตสึต้องขอเวลานอก
“พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่ ใจเย็นๆ เราขอแค่แต้มเดียวก็จะชนะ สบายๆหน่อย” ไดมัตสึ บอกกับลูกทีม
ญี่ปุ่นกับโซเวียดผลัดกันเสิร์ฟไปมา แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดทำแต้มเพิ่มได้ (ในสมัยนั้นทีมเสิร์ฟเท่านั้นที่จะได้คะแนน) เจ้าภาพได้เซตพอยท์ 5 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถปิดเกมได้เสียที
แต่แล้วในการเสิร์ฟของ เอมิโกะ มิยาโมโต ที่บรรจงใช้มือซ้ายหวดบอลพุ่งเป็นจรวด จนคู่แข่งเกือบควบคุมบอลไม่ได้ บอลล้นข้ามเน็ต ทำให้ผู้เล่นโซเวียตแถวหน้าพยายามสะบัดมือหวังเปลี่ยนทิศ แต่กรรมการเป่าหยุดเกมเป็นลูกฟาวล์ ญี่ปุ่นได้แต้มสำคัญในที่สุด
สิ้นเสียงนกหวีด สาวญี่ปุ่นพากันโห่ร้องด้วยความดีใจกลางคอร์ท ท่ามกลางเสียงเฮไปทั่วสนาม โค้ชไดมัตสึทำเพียงแค่นั่งลงอย่างเงียบๆ มองดูลูกทีมของเขาที่กำลังเฉลิมฉลอง น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในเบ้าตา ไม่มีใครรู้ว่ามันคือความดีใจ ความอัดอั้นใจ หรือความรู้สึกผิดต่อลูกทีม แต่วันนั้นเขาได้จารึกประวัติศาสตร์ให้กับญี่ปุ่นได้แล้ว
3 ทุ่ม ตามเวลาท้องถิ่น ธงฮิโนะมารุ ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา พร้อมกับเพลงชาติ คิมิงะโยะ ที่บรรเลงคลอไปกับความยินดีของคนทั้งประเทศ เหรียญทองกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเหรียญแรกของโอลิมปิกเป็นของญี่ปุ่น
หลังเสียงนกหวีด
ญี่ปุ่นปิดฉากโอลิมปิกในบ้านตัวเองได้อย่างชื่นมื่น พวกเขาคว้าเหรียญทองสุดท้ายที่มีลุ้นได้สำเร็จ พร้อมกับชื่อเสียงของ “แม่มดแห่งตะวันออก” ที่โด่งดังไปทั่วโลก
หลังจากวันนั้นสมาชิกของทีมก็ได้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง พวกเธอได้เลิกเล่นสมใจ คาไซ ก็ได้แต่งงานอย่างที่เธอหวัง วีรสตรีของประเทศได้รับการแนะนำคู่ดูตัวจากนายกรัฐมนตรี เอซาคุ ซาโต ก่อนที่เธอจะตกลงปลงใจแต่งงานกับ คาสุโอะ นาคามูระ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันตัวเอง
การแต่งงานของเธอในเดือนพฤษภาคม 1965 กลายเป็นวาระของประเทศ ข่าวการแต่งงานของเธอขึ้นหน้าหนึ่งในทุกสื่อ รวมไปถึงเป็นหัวข้อข่าวทางทีวี
ส่วนโค้ชไดมัตสึ หลังยุติสถิติ 175 นัดติดต่อกันที่รับตำแหน่ง เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ จิตวิญญาณในการต่อสู้ และกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอยู่ในตำแหน่งถึง 10 ปี ก่อนจะเสียชีวิตไปในปี 1978 ด้วยวัย 57 ปี
ในขณะที่วอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่น พวกเธอยังคว้าเหรียญทองได้อีกครั้งในปี 1976 และเหรียญเงินอีก 2 ครั้งในปี 1968 และ 1972 ก่อนจะค่อยๆซบเซา และเพิ่งกลับมาคว้าเหรียญทองแดงในโอลิมปิกที่ลอนดอน 2012 และมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญทองอีกครั้งใน 2020 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ
แม้ว่าเรื่องราวของพวกเธอจะจางหายไปตามเวลา แต่ชื่อของ “แม่มดแห่งตะวันออก” ก็อยู่ในความทรงจำของคนทั่วโลกมาจนถึงวันนี้