5 ประเด็นร้อน หลังเกมหงส์แดงเฮหวิว 2-1
หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ทำท่าจะพลาดท่ามอบแชมป์ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังปิดเกมไม่ได้ถูก ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ตีเสมอ ก่อนมีดราม่าเมื่อ ลูกโหม่งของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กดดันให้ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ สกัดเข้าประตูตัวเองนาทีสุดท้าย เบียดเฮหน้าตาเฉย 2-1 หนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 แต้มขึ้้นนำจ่าฝูงแต่เตะมากกว่าหนึ่งนัด
และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมสุดดราม่า
5. สถิติหลังเกม และรูปเกมโดยรวม
สถิติหลังเกมในเกมนี้ เจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงประตู 15 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง และมีเปอร์เซนต์การครองบอลอยู่ที่ 48 เปอร์เซนต์ ความแม่นยำในการส่งบอลอยู่ที่ 80 เปอร์เซนต์ ทางฝั่งทีมเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส มีโอกาสยิงประตู 11 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง และมีเปอร์เซนต์การครองบอลอยู่ที่ 52 เปอร์เซนต์ ความแม่นยำในการส่งบอล 80 เปอร์เซนต์
รูปเกมโดยรวม ช่วงเวลาแรกเป็นทางฝั่ง หงส์แดง ที่ทำได้ดีกว่าแต่ก็ไม่ดีมากเพราะมีจังหวะรนรานให้เห็น ตรงนี้เข้าใจได้ว่ามาจากชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งเบอร์หนึ่ง ต้นเกมเห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล ดูเกร็ง โดยเฉพาะเกมรับมีแกว่งให้เห็น
ทางฝั่งทีมเยือนเหมือนจะคิดผิดที่เลือกวางกองหลังมา 5 ตัว เพราะดูแล้วพวกเขาเสียแนวรุกไป 1 คน ประสิทธิภาพเกมบุกลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีตัวแสบในช่วงแรกอย่าง ลูคัส มูร่า ที่เร็วและทะลวงแนวรับ หงส์แดง ได้ดีมาก
อย่างไรก็ตาม หงส์แดง ประครองทีมจนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-0 ช่วงครึ่งหลัง สเปอร์ส จำเป็นต้องเปิดเกมเข้าแรกแบบหมดเปลือก โปเช็ตติโน่ ตัดสินใจ ส่ง ซอน เฮือง มิน ลงมาเติมเกมรุกและแค่แปปเดียวก็ได้ประตูตีเมอจากจังหวะเล่นเร็ว แฮร์รี่ เคน ที่ได้ฟาวล์เปิดไปเสาไกล ทริปเปียร์ เติมมาพอดี ก่อนจิ้มเข้ากลางมา เอริคเซ่นตบบอลมาถึง ลูคัส มูร่า เป็นประตูตีเสมอ
เกมทำท่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่ก็มีดราม่าเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม เมือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำในสิ่งที่เขาควรทำ เมื่อฉีกตัวไปโหม่งบอลที่หลุดเสาไปแล้ว บอลมาติดเซฟ ยอริส แต่ยังมีดวงบอลเด้งไปโดน โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กลายเป็นประตูชัยของ ลิเวอร์พูล
4. ซาลาห์ ไม่มาสักทีเป็นอีกเกมที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตูไม่ได้ นี่ถือเป็นการทำประตูไม่ได้ 8 นัดติดต่อกันทุกรายการ มันน่าเสียดายที่ช่วงเวลาโค้งสุดท้ายแบบนี้ ตัวความหวังดันมาปืนฝืดทำประตูไม่ได้ซะอย่างนั้น
ช่วงแรก ๆ ของ เกม โม ซาลาห์ ทำได้ค่อนข้างดีเล่นเป็นทีมใช้ได้ แต่ช่วงหลัง ๆ ดูเหมือนว่า ซาลาห์ เริ่มฝืนตัวเองมากขึ้น
จากจังหวะที่ควรจะเป็นประตูขึ้นนำ 2-0 ลูกที่ ฟิร์มิโน่ แทงบอลหลุดให้ ซาลาห์ วิ่งคู่ไปกับ มาเน่ มีเพียง ซานเชซ คนเดียวที่ยืนคุมอยู่ตรงนั้น หาก ซาลาห์ เลือกที่จะไหลทะแยงให้ มาเน่ ได้ซัดตู้มเดียวบวกเพิ่มอีกหนึ่งประตูให้ทีม กลายเป็นว่า ซาลาห์ เลือกที่จะพาบอลไปเองแล้วเลือกยิงเอง ซึ่งไม่กลายเป็นประตู
เรื่องทัศนคติคงต้องปรับพอสมควรเพราะนี่คือช่วงเวลาสำคัญ คือสำคัญมาก ๆ โค้งสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะเรียกความมั่นใจให้ตัวเองในขณะที่ทีมยังนำไม่ขาด
แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดู โม ซาลาห์ พยายามมากแล้ว พยายามที่จะปลดล็อคยิงประตูให้ตัวเอง การมีส่วนร่วมกับประตูชัยในเกมนี้ก็น่าจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้บ้าง
ปฏิกิริยาของ ซาลาห์ หลังจากประตูชัยเกิดขึ้น เจ้าตัวมีรอยยิ้มเกิดขึ้น น้ำตาซึมเลยทีเดียว ขอให้สู้ต่อไป ปลดล็อกประตูให้ได้สักที
3. กองหลัง 5 ตัวของ สเปอร์สการวางแท็คติกของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ เกมนี้ค่อนข้างรัดกุม เลือกใช้เซ็นเตอร์แบ็ค 2 คน และ สวีปเปอร์ กองหลังตัวสุดท้าย 1 คน เข้าใจได้ว่านี่คือการตั้งรับเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อนของ หงส์แดง ลิเวอร์พูล และไม่ประมาทความเร็วของ ซาดิโอ มาเน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แต่การเลือกใช้งานกองหลัง 5 คนของ สเปอร์ส ไม่เกิดประโยชน์มากนัก เพราะแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ยังสามารถปั่นป่วนและหาจังหวะเข้าทำได้เรื่อย ๆ ก่อนจะมาได้ประตูขึ้นไปก่อนในนาที 16 จากลูกโหม่งของ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่
เห็นได้ชัดเจนว่าช่วงแรก เกมนี้แนวรุกของ สเปอร์ส ไม่ค่อยมีมีประสิทธิภาพ พูดง่าย ๆ คือ แนวรุกหายไป 1 คน แต่หลังจาก สเปอร์ส เลือกเปลี่ยนมาใช้ระบบ แบ็คโฟร์หลัง 4 คน เปลี่ยน ซน เฮือง มิน ลงมาแทน ดาวิดซอน ซานเชซ แนวรุกของ สเปอร์ส ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำมาซึ่งประตูตีเสมอและเกือบจะได้ประตูขึ้นนำอยู่หลายหน
2. สถิติแอสซิตส์ ที่เกิดขึ้นแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทำแอสซิสต์ครั้งที่ 9 ในฤดูกาลนี้หลังผ่านบอลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 แต่มี แอนดี้ ฮินช์คลิฟฟ์ (ฤดูกาล 1994-95) และ เลห์ตัน เบนส์ (ฤดูกาล 2010-11) ที่เป็นกองหลังแล้วทำแอสซิสต์ได้ 11 ครั้ง
1 แอสซิสต์ของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในวันนี้ทำให้เป็นเขาเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ทำแอสซิสต์ได้ 10 ครั้งขึ้นไปในศึก พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 4 ฤดูกาล โดยคนที่ทำได้ก่อนหน้านี้คือ เดวิด เบ็คแฮม ในซีซั่น 1997-98 และ 2000-01
1. เต็งหนึ่ง PFA ของจริงจริงอยู่ที่ฤดูกาลมีนักเตะหลายคนทำผลงานได้ดี แต่จะมีสักกี่คนที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นแบบ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
ในขณะที่เจ้าบ้านพยายามบุกกดดันเพื่อลุ้นทำประตูชัย ซึ่งมีจังหวะที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนข้อสำคัญของฤดูกาลนี้ได้เลย จากจังหวะ มุสซ่า ซิสโซโก้ หลุดเดเียวไปในจังหวะสองต่อหนึ่ง เมื่อมีแค่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเขา และประตู โดยมี ซอน เฮือง มิน ที่ลงมาในฐานะตัวสำรองรอรับบอลทางฝั่งขวา
ฟาน ไดจ์ค เลือกยืนตำแหน่งที่จะป้องกันไม่ให้ ซิสโซโก้ จ่ายบอลต่อให้ ซอน เฮือง มิน และเลือกที่จะกดดันให้ ซิสโซโก้ เร่งยิง ซึ่งบอลเหินข้ามคานออกไป