ตายได้เสียก็ดี : เรื่องจริงสะท้อนชีวิตหมาล่าเนื้อแห่งแอฟริกันจาก "อเดบายอร์ แฟมิลี่"

ตายได้เสียก็ดี : เรื่องจริงสะท้อนชีวิตหมาล่าเนื้อแห่งแอฟริกันจาก "อเดบายอร์ แฟมิลี่"

ตายได้เสียก็ดี : เรื่องจริงสะท้อนชีวิตหมาล่าเนื้อแห่งแอฟริกันจาก "อเดบายอร์ แฟมิลี่"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ผมรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง  ผมสะอิดสะเอียนนะที่เรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้"  

มันต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่เมื่อประโยคดังกล่าวออกมาจากนักฟุตบอลที่ดังที่สุดในประเทศ และครั้งหนึ่งเคยมีค่าเหนื่อยมากถึง 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ... "ความภูมิใจของโตโก" อย่าง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ คิดที่จะจบชีวิตตัวเองทั้งๆ ที่มองจากภายนอกมันคือชีวิตที่น่าอิจฉาสำหรับคนส่วนใหญ่ ทว่าความจริงแล้วเรื่องที่เขาเจอนั้นคือสิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยใจที่สุด และที่สำคัญมันเกิดขึ้นจากคนในครอบครัวเองนี่แหละ

ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ว่านักฟุตบอลแอฟริกันชื่อไหนก็ต้องเคยเจอกันแทบทั้งนั้น

เด็กชายปาฎิหาริย์
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ จะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เพราะส่วนใหญ่แล้วประเทศแถบแอฟริกามักจะมีระยะห่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากจนทำให้เห็นคุณภาพชีวิตของประชากรอย่างชัดเจน ซึ่งประชากรชาว โตโก รวมถึงครอบครัวของ อเดบายอร์ นั้นถูกจัดว่าเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศที่อาศัยการหาเช้ากินค่ำเอาตัวรอดไปวันๆ

แม่ของ อเดบายอร์ นั้นมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายปลาแห้งแถบชานเมือง Lome ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ กิจวัตรของเธอคือการเดินขายปลาแถบติดชายแดนประเทศ กาน่า ก่อนที่ช่วงต้นปี 1984 เธอจะเริ่มปวดท้องเพราะลูกชายที่อยู่ในท้องมีอายุครรภ์ครบกำหนดพอดี

เธอ และ สามี เดินทางมาถึงโรงพยาบาลและทำคลอดตามปกติ เพียงแต่ "เอ็มมานูเอล" ที่มีชื่อเรียกภายในครอบครัวว่า "โรสเมรี่" จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพตั้งแต่เกิด และคุณหมอแนะนำให้ดูอาการที่โรงพยายาลไปก่อนสักระยะ อย่างไรก็ตามเพราะความจนทำให้พ่อของเขาจำเป็นต้องนำลูกชายคนแรกและภรรยากลับบ้านก่อนกำหนดหลังรักษาอาการได้เพียง 7 วัน เพราะเงินเก็บแทบจะทั้งชีวิตของครอบครัวหมดลงเรียบร้อยแล้ว

000_sapa980619578320
การออกจากโรงพยาบาลแบบจำเป็นก่อนแพทย์อนุญาตทำให้ อเดบายอร์ กลายเป็นเด็กที่สุขภาพไม่แข็งแรง ปกติแล้วเด็กทารกนั้นจะใช้พัฒนาการราว 1 ปี ก็จะสามารถเดินเตาะแตะได้ ทว่าเจ้าโรสแมรี่คนนี้ทำอย่างไรก็เดินไม่ได้เสียที 1 ขวบ, 2 ขวบก็แล้ว 3 ปีก็แล้ว และมันเป็นแบบนั้นจนถึงเขาอายุ 4 ขวบ เขาไม่สามารถเดินเหินไปไหนได้ ดังนั้นในช่วงเวลาที่แม่ของเขาจะต้องหิ้วปลาไปขาย เธอจะนำผ้ามาพันไว้กับเป้สะพายและแบกลูกชายเดินหาบเร่เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรต่อวัน

จะยากจะจนอย่างไรแต่ลูกก็คือลูก คุณแม่ของอเดบายอร์ ไม่เคยหมดหวังที่จะทำให้ลูกชายกลับมาเป็นปกติเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ หมอโรงพยาบาลที่ไหนดี หมอผีที่ไหนเด็ด เธอพร้อมพาลูกชายไปลองดูทั้งหมดใครจะว่าเพ้อเจ้อเธอไม่สนใจและพร้อมเสี่ยทุกกรณี

"4 ปีเต็มๆ ที่ผมเดินไม่ได้ แม่ผมพาเดินทางไปยัง ไนจีเรีย, กาน่า และแทบทุกหมู่บ้านในแอฟริกา เชื่อไหมไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมยังไม่สามารถก้าวขาเองได้อยู่ดี" อเดบายอร์ กล่าว

การทรงเจ้าเข้าผีที่บรรบุรุษเชื่อถือมายาวนานไม่ได้ผล และโรงพยาบาลก็แพงเกินที่ครอบครัวจะจ่ายไหว สุดท้ายครอบครัวอเดบายอร์เลือกสิ่งที่ใกล้ที่สุด นั่นคือการอุ้มไปโบสถ์คริสต์และให้พระเจ้าช่วยดูแลรักษาลูกชายของพวกเขา

"มันอาจจะดูแปลกๆ นะที่ผมตอน 4 ขวบเข้าใจได้ดีเลยล่ะว่าทำไมตอนนั้นแม่ต้องร้องไห้ เมื่อถึงคริสต์จักรพวกเขาทำในสิ่งที่ไม่ได้ดูพิเศษอะไรเลย เขาบอกให้แม่แค่อยู่เฉยๆ แล้วพวกเขาจะสวดภาวนาแก่พระเจ้าให้กับผมเอง"

000_par8286800
กลุ่มคนในคริสต์จักรแนะนำไปอย่างที่ อเดบายอร์ ได้ว่าไว้ ทว่าพวกเขาห้อยท้ายด้วยความเสี่ยงบางอย่าง และมันทำให้แม่ของเขาต้องเกิดอาการหวาดวิตกยิ่งกว่าที่เคยเป็น

"เราจะสวดภาวนาให้อย่างเต็มความสามารถ แต่ถ้าหากสุดสัปดาห์มาถึงและ เอ็มมานูเอล ยังเดินไม่ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องหมดสิทธิ์เดินได้ไปตลอดชีวิต" คำพูดนี้ทำให้แม่ของ อเดบายอร์ เริ่มอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มันส่งผลต่อกำลังใจของเธอที่ลำพังก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกวันอยู่แล้วเป็นอย่างมาก

เสียงสวดดังขึ้นในโบสถ์แห่งนี้ คืนแล้วคืนเล่า เด็กชายเอ็มมานูเอล ยังคงได้แค่นอนนิ่งๆ อยู่บนพื้น เส้นตายกระชั้นเข้ามาทุกขณะและสุดท้ายสุดสัปดาห์ก็มาถึง

"ผมนอนฟังเสียงสวดมนต์ของพวกเขาตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์จนถึงวันเสาร์ของอีกสัปดาห์ และเมื่อถึงเที่ยงคืนของเส้นตาย แม่ของผมเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ผมยังคงเดินไม่ได้ สำหรับแม่ทุกอย่างจบแล้วในตอนนี้ ทุกที่ทั่วแอฟริกา ไม่มีที่ไหนเวิร์คเลย" เขาย้อนความหลัง

ฝันสลาย ทุกอย่างจบลงแล้ว 2 แม่ลูกต้องพักที่คริสต์จักรเป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่พรุ่งนี้เช้าจะถึงเวลาต้องลากลับบ้านไปสู้กับชีวิตจริงต่อไป  ทั้งคู่หลับไปด้วยความผิดหวังและอ่อนเพลีย หลังสู้กับเรื่องนี้มายาวนานเหลือเกิน

เสียงไก่ขันดังขึ้นบอกเวลายามเช้า แม่ของอเดบายอร์ ลุกขึ้นไปล่ำลาเหล่านักบวช ขณะที่เขายังนอนอยู่ในท่าเดิม จนกระทั่งมีเสียงของอุปกรณ์ทรงกลมกระทบกับพื้นก่อนจะกลิ้งเข้ามาในโบสถ์ "เด็กที่ไหนกันนะมาเตะบอลแถวนี้" เสียงบ่นเกิดขึ้นได้ไม่นานลูกฟุตบอลก็กลิ้งมาทางเด็กพิการอย่าง อเดบายอร์

"คนแรกที่ยืนขึ้นและวิ่งเข้าใส่ลูกฟุตบอลลูกนั้นคือผมเอง" อเดบายอร์ กล่าว

000_k40cv
"แม่ของผมร้องจ๊ากสติแทบหลุดเลย เธอไม่เคยเห็นผมเดินสักครั้งแต่ผมกลับวิ่งตามลูกบอลเฉยเลย ทีนี้ก็ตื่นเต้นกันทั้งโบสถ์สิครับ พวกเขาบอกกันว่า ลูกชายคุณเดินได้เพราะฟุตบอล ไอ้หนูนี่ต้องมีฟุตบอลในสายเลือดแน่ๆ" เขาหัวเราะก่อนกล่าวต่อว่า "มันเว่อร์ใช่ไหมล่ะ? นี่เรื่องจริงนะผมจะบอกให้"

เพื่อแม่...และครอบครัว
เมื่อกลับมาเดินได้ นั่นก็หมายความว่า อเดบายอร์ จะสามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ เขารู้ดีว่าแม่เหนื่อยขนาดไหนที่ต้องแบกเขาเดินขายของถึง 4 ปี ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เขาจะทำอะไรให้แม่เหนื่อยน้อยลงบ้าง อย่างไรก็ตามการก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้เขาร่ำรวยได้แน่ เพราะ ณ เวลานั้นเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง รวมทั้งการนัดหยุดงานของภาครัฐและเอกชนในช่วงปี 1993-1994 ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญด้านอื่น ๆ ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอยเข้าไปอีก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้ทางลัด

"ชีวิตมันก็ยากแบบนี้แหละ ผมบอกตัวเองเสมอ 'ฟังนะ สิ่งเดียวที่จะให้แกรอดจากตรงนี้นั่นคือการเป็นนักฟุตบอล'" รู้เช่นนั้นเขาก็เดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อมองหาโอกาสที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

บรรยากาศในวันที่ส่งตัวเขาขึ้นเครื่องบินข้ามทวีปแสดงให้เห็นถึงภาพความหวังของหมู่บ้าน แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กที่เรียนหนังสือที่ไม่เอาไหน แต่ถ้าเรื่องฟุตบอลเขาสู้แค่ตาย พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนๆ ทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า

"มานู แกต้องทำให้ได้นะ แกต้องไปอยู่ที่ฝรั่งเศสแล้วก็ต้องทำตัวดีๆ ด้วยล่ะ อย่าลืมเล่นฟุตบอลให้เก่งๆ  เพราะพวกเรารอความช่วยเหลือจากแกอยู่" แม่ของเขากล่าวส่งท้ายก่อนที่จะไปอยู่กับ เม็ตซ์ ทีมมีแมวมองเห็นฟอร์มของเขาสมัยที่ยังเล่นให้กับทีมท้องถิ่นใน Lome ก่อนที่จะเซ็นสัญญาคว้าตัวมาร่วมทีม

"ฟรานเชสโก้ เด ทาเดโอ (โค้ชของเม็ตซ์) เสนอสัญญาให้กับผม ตอนนั้นผมอายุแค่ 15 ปี มันยากที่จะเข้าใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมกลัวเหมือนกันเพราะต้องไกลบ้าน แต่เขาให้คำแนะนำกับผมสั้นๆ ว่า 'จงอย่าเป็นคนหัวดื้อ' แล้วผมจะกลายเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมแน่"

000_par2003121046505
หลังจากไปอยู่กับ เม็ตช์ และเริ่มในทีมเยาวชนไปก่อนใน 2 ปีแรก อเดบายอร์ ก็เหมือนกับขึ้นสวรรค์ เพราะในช่วงเวลาที่ต้นสังกัดตกชั้นเขาก็ถูกโปรโมตมาเป็นผู้เล่นตัวรุกตัวหลักของทีมก่อนจะยิงประตูได้ 15 ประตูจาก 41 นัดจากนั้นเขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ โมนาโก ในปี 2003

ตอนนั้นชื่อเสียงของเขาเริ่มสั่งสมมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว แฟนบอลในฝรั่งเศสรู้จักเขาดี และตัวของ อเดบายอร์ ก็กลายเป็นนักเตะทีมชาติแล้ว ดังนั้นถือว่าหากเดินในประเทศตัวเอง อเดบายอร์ ก็ถือว่าป๊อปในระดับหนึ่ง ได้เล่นฟุตบอลในยุโรป, มีชื่อเสียง แถมยังมีเงินมาส่งให้ที่บ้านใช้อีกต่างหาก อเดบายอร์ ส่งเงินกลับมาจนสร้างบ้านใหม่ในโตโกได้ตั้งแต่อายุ 17 ปี และเมื่อเริ่มดังขึ้นเขาก็ส่งเงินให้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ

"ผมสร้างบ้านให้เพราะอยากให้ครอบครัวปลอดภัย ผมส่งเงินให้แม้เพราะอยากให้ท่านเริ่มธุรกิจขายคุกกี้ ตอนนั้นผมบอกแม่เลยนะว่าเอารูปผมไปใช่โฆษณาได้เต็มที่ แม่จะได้ขายดีๆ คุณว่าลูกชายคนหนึ่งจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกไหมล่ะ"

อเดบายอร์ ดังระเบิดไปกันใหญ่เมื่อเขาเป็นทีมชุดรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2004 ที่ โมนาโก แพ้ ปอร์โต้ จนกระทั่งได้ย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในปี 2006 จริงๆ แล้วมันควรเป็นเป็นเรื่องที่มีแต่ความสุขใช่ไหมในเมื่อเขามาไกลได้อย่างที่แม่ได้ฝากฝัง  ทว่านี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิตเขาแบบเต็มๆ

000_par690412
เดอะแบกแห่งตระกูล
อเดบายอร์ รับค่าเหนื่อยแรกเริ่มกับ อาร์เซน่อล ที่ 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเยอะกว่าตอนที่เล่นให้โมนาโกเกือบ 2 เท่า เขาส่งเงินกลับบ้านมากขึ้น และความมากขึ้นนี้นี่เองที่ทำให้พี่น้องและญาติๆ ของเขาเห็นลู่ทางการได้เงินโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยทำมาหากิน นั่นคือการโกหกอเดบายอร์ "เดอะ แบก" แห่งตระกูลคนนี้ที่สามารถหาเงินเข้าบ้านได้เดือนหนึ่งมากกว่า 150,000 ปอนด์ (รวมโบนัสต่างๆ) แถมยังมีโฆษณาสินค้าในประเทศอีกต่างหาก การพูดว่า "มานู เราเดือดร้อนมากเลยหยิบยืมเงินมาตั้งตัวหน่อยได้ไหม?" ดูจะง่ายกว่าการลุกไปหางานทำ

ความเก่งกาจและเงินที่หามาได้จากความพยายามของ อเดบายอร์ ทำให้หลายคนในบ้านนิสัยเสีย โดยเฉพาะพี่สาวของเขาที่รู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเงินให้แต่แม่คนเดียวเท่านั้น

"ครอบครัวเรามีปัญหาและผมเรียกทุกคนเข้ามาประชุมกัน ผมถามพวกเขาแล้วจะเอากันยังไงดีต่อจากนี้ เชื่อมั้ยทุกคนลงความเห็นว่า "งั้นแกก็สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สักหลังแล้วทุกคนอยู่ด้วยกันสิ อ้ออย่าลืมให้เงินรายเดือนของพวกเขาทุกคนด้วย" นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นของการสูบเลือดสูบเนื้อของ อเดบายอร์

นี่อาจะจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ อเดบายอร์ ต้องเร่งหาเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัว เขาเป็นเด็กหัวอ่อน ใครว่าอย่างไรเขาก็เชื่ออย่างนั้น ฟอร์มของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวมาเป็นตัวหลักของอาร์เซน่อลในท้ายที่สุด และเหนือชั้นยิ่งกว่านั้นด้วยการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของแอฟริกาในปี 2008 อีกด้วย และร่ำรวยสุดขีดในการย้ายไปเล่นให้กับ แมนฯ ซิตี้ หลังจากนั้น

adebayor
ในวันประกาศรางวัล อเดบายอร์ เดินทางไปรับแม่ถึงโตโกและให้แม่ของเขาขึ้นเวทีรับรางวัลด้วย อีกทั้งยังพาแม่ไปตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน แม้จะดูเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่พี่สาวของเขาไม่คิดแบบนั้น เธอโกรธที่น้องชายมองข้ามหัวเธอและไม่ให้เธอมายุโรปด้วย แถมยังตราหน้าน้องชายว่าเป็น "ไอ้อกตัญญู" ทว่ามันก็เป็นการปากว่าตาขยิบ สุดท้ายเธอก็ยังต้องขอเงินอเดบายอร์ที่เป็นน้องชายอยู่ดี แถมยังทำแสบไม่เลิกอีกด้วย

"2-3 ปีก่อนผมซื้อบ้านที่หลังละ 1.2 ล้านเหรียญที่ อีสต์ ลากูน (กาน่า) ผมก็ยกบ้านให้ ยาโบ (พี่สาว) อยู่บ้านหลังนั้น จากนั้นก็ตามมาด้วย ดาเนี่ยล (พี่ชาย) ของผมเข้าไปพักในบ้านเดียวกัน"

"2-3 เดือนหลังจากนั้นผมก็เลยไปแวะที่นั่นดู ปรากฎว่าบ้านมีรถจอดเพียบเลย และจึงรู้ทีหลังว่า ยาโบ เปลี่ยนมันเป็นบ้านเช่าและแอบไล่ดาเนี่ยลออกจากบ้าน ให้ตายเถอะขนาดบ้านนั้นมี 15 ห้องนอนนะ ผมโทรไปถามเธอแล้ว บอกว่าตอนนี้ขายบ้าน พรุ่งนี้ขายรถ ต่อไปจะขายอะไรอีกล่ะพี่? ผมได้อะไรกลับมารู้ไหม? เธอด่าผม 'แกมันไอ้อกตัญญู'"

อเดบายอร์ พรั่งพรูหลายเรื่องที่เขาต้องเจอกับญาติสนิทมิตรสหายที่เขาหาเขาในเวลามีเงิน มีเรื่องที่น่าเจ็บปวด อาทิ โคล่า อเดบายอร์ น้องชายของเขาที่อยู่เยอรมันและจ่ายค่าเทอมลูกๆ ของเขาด้วยเงินของพี่ชาย อีกทั้ง โคล่า ยังขอยืมเงินเขาบ่อยครั้งจนขี้เกียจนับด้วยเหตุผลที่ว่า "เอาไปทำธุรกิจ" ซึ่ง อเดบายอร์ ยอมรับว่าจนถึงวันนี้เขายังไม่รู้เลยว่า โคล่า ทำมาหากินอะไร ที่แสบยิ่งกว่านั้นคือ โคล่า คนนี้นี่เองเป็นคนที่ขายข่าวว่า 'อเดบายอร์ คลั่งเรื่องหมอผี' ให้กับสำนักข่าวจอมเสี้ยมอย่าง เดอะ ซัน อีกด้วย

000_kj67h
นี่ยังไม่รวมถึงการสร้างเรื่องโกหก พ่อตาตาย, แม่ยายป่วย หรืออะไรอีกมากมายของคนในครอบครัว ซึ่งไม่มีเรื่องใดจริงเลย ถึงอย่างนั้น อเดบายอร์ ก็พยายามจะช่วยให้ได้ทุกคน แต่ก็เหมือนเป็นการโปรดสัตว์ได้บาปเสียส่วนใหญ่ ญาติๆ ของเขาคิดแต่เพียงว่า "ไม่ต้องบินกลับมาช่วยหรอก เอาเงินมาก็พอแล้วเดี๋ยวพวกเราจัดการกันเอง"

เจ็บปวดที่สุดคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถามหรือทักท้วงเขาจะกลายเป็นคนผิดในสายตาพี่ๆ น้องๆ จะเกี่ยวกันหรือไม่ก็ไม่ทราบได้เพราะการที่ลูกๆ ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน จึงทำให้แม่ของ อเดบายอร์ มีอาการทางจิตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเธอกลายเป็นคนที่ "ลืม" อเดบายอร์ ไปเลย

"ตอนที่ลูกสาวของผมคลอด ผมรีบโทรหาแม่เลยนะ แต่แม่ก็วางหูใส่ทันทีและบอกว่าอย่ามายุ่งไม่ได้อยากรู้" เขาเล่าถึงเรื่องราววุ่นๆ ในครอบครัวผ่านเฟซบุ๊คและยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันทำให้เขาอยากจะฆ่าตัวตาย และทางที่ง่ายที่สุดคือเขาจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ่อยๆ เพื่อไม่ให้พี่น้องที่ร้อนเงินตามหาเขาเจอ

"มันเป็นเรื่องยากที่จะรับ ยามที่คุณทำงานหนักเพื่อยกครอบครัวออกมาจากความยากจน อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงต่อต้านคุณอยู่ ผมรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง ผมเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเองมานานหลายปี ผมสะอิดสะเอียนนะที่เรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้"

สัจธรรม
ตอนนี้สถานะครอบครัว อเดบายอร์ เหมือนกับตัวใครตัวมัน เขาพยายามหนีปัญหาไม่ติดต่อใคร เพราะทุกครั้งที่เขาได้คุยกับคนในครอบครัวนั่นหมายถึงจะมีปัญหาให้เขาต้องแก้แน่นอน

000_par1051406
อเดบายอร์ เดินหน้าเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง ตอนนีเขาอายุ 35 ปีแล้ว แน่นอนว่าถือว่าเป็นช่วงขาลงของนักฟุตบอล ดังนั้นเขาจะไม่ได้เงินเยอะเหมือนกับช่วงหนุ่มๆ อีกแล้ว อย่างไรก็ตามมันกลับเป็นเรื่องที่ประหลาดพอสมควรเพราะเมื่อเขายิ่งมีเงินน้อย เขากลับเจอปัญหาชีวิตที่น้อยลงเยอะ เขาเริ่มตั้งมูลนิธิการกุศลในแอฟริกามากขึ้น แม้จะขัดกับความคิดของคนในครอบครัวที่เสียดายเงินก้อนนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนความคิดใครอีกแล้ว เขาเหนื่อยมามากพอแล้วกับการทำตามสิ่งที่คนอื่นต้องการ

แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องร้าย แต่ท้ายที่สุดครอบครัวคือสิ่งสำคัญในชีวิตเขา อย่างน้อยหากไม่ได้แม่และพี่ๆ ช่วยดูแลเขาก็อาจจะพิการเดินไม่ได้ตลอดชีวิต

"ผมรู้ว่าทุกคนรู้จักผมดีตอนที่ผมลงเล่นในสนาม แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมมาจากจุดไหนและเริ่มต้นได้อย่างไร ผมพยายามทำงานหนักเสมอเพื่อให้ได้มายืนในจุดที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่เคยลืมเลยว่าตอนเด็กนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง"

"ผมไม่ได้มีเจตนาจะให้ร้ายว่ากล่าวของคนในครอบครัว ผมแค่อยากให้ครอบครัวในแอฟริกาครอบครัวอื่นๆได้เรียนรู้ไว้ เผื่อวันใดเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นพวกเขาจะได้รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่ควรทำ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook