จากคนแรกสู่มือ 1 ค่าตัวหลักล้าน : วิวัฒนาการ Streaker แก้ผ้าวิ่งลงสนามแล้วได้อะไร?

จากคนแรกสู่มือ 1 ค่าตัวหลักล้าน : วิวัฒนาการ Streaker แก้ผ้าวิ่งลงสนามแล้วได้อะไร?

จากคนแรกสู่มือ 1 ค่าตัวหลักล้าน : วิวัฒนาการ Streaker แก้ผ้าวิ่งลงสนามแล้วได้อะไร?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การวิ่งแก้ผ้าลงสนามตามการแข่งขันกีฬาต่างๆคือภาพที่ชินหูชินตาคอกีฬาไปเสียแล้ว ทว่ามันต้องมีเหตุผลทำไมพวกเขาถึงต้องทำให้ตัวเองอับอายขนาดนั้นกันแน่?

Main Stand จะพาคุณย้อนเวลากลับไปเจอนักวิ่งแก้ผ้าลงสนามคนแรกในประวัติศาสตร์ มาจนถึงชายผู้เตรียมการเป็นปีๆ เพื่อเอาชนะระบบรักษาความปลอดภัยสุดเข้มงวด และถูกเรียกว่า “มืออาชีพ”

และนี่คือเรื่องราวของเหล่าคนเพี้ยนที่ทำเงินได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ...

 

คนแรกถือกำเนิด

การวิ่งลงสนามและแก้ผ้าครั้งแรกของแฟนกีฬานั้นต้องย้อนกลับไปในยุค '70 แถมไม่ได้เกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลอีกด้วย "ชีเปลือย" คนแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นในสนาม ทวิเคนแฮม เมกกะแห่งวงการรักบี้ในปี 1974 โดยเป็นเกมกระชับมิตรระหว่าง อังกฤษ เจ้าบ้าน กับ ฝรั่งเศส เพื่อหาเงินบริจาคให้กับกับกองทุนภัยพิบัติทางอากาศ  

 1

การพบกับเพื่อนฝูงก่อนเกมจะเริ่มขึ้นถือเป็นวัฒธรรมการดูกีฬาของชาวตะวันตก พวกเขาจะไปรวมตัวกันตามบาร์ประจำเมือง หรือประจำร้าน ด้วยอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเย็น เหล่าผู้เข้าชมเกมระหว่าง อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส พร้อมใจกันสั่งวิสกี้, เบียร์ หรืออะไรก็แล้วแต่เพื่อปลุกเร้าใจกับร่างกายให้พร้อมสู้กับความหนาวเหน็บ และ ไมเคิล โอไบรอัน ก็เช่นกัน

ไมเคิล โอไบรอัน เป็นชาวออสเตรเลีย เติบโตจากย่านชานเมืองของซิดนี่ย์และเข้าโรงเรียนคาทอลิกท้องถิ่นที่มีรักบี้เป็นกีฬาเด่นของโรงเรียน ซึ่งเขาเองก็ชื่นชอบและเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ก่อนจะย้ายมาอยู่อังกฤษในช่วงวัยทำงาน และยังติดตามเกมลูกหนำเลี้ยบอย่างต่อเนื่อง เช้าก่อนวันแข่ง โอไบรอัน มาก่อนเกม 3 ชั่วโมง และเขาเริ่มกินเหล้าทันทีตั้งแต่เดินเข้าสู่บาร์ ดังนั้นสติสัมปชัญญะของเขาเริ่มจะเลื่อนลางเข้าไปทุกขณะ เขาแหกปากร้องเพลง เยรูซาเลม อันเป็นเพลงที่เสมือนว่าเป็นเพลงชาติของรักบี้  

"เห้ย มึงเอาไป 10 ปอนด์เลย ถ้ากล้าถอดเสื้อผ้าแล้ววิ่งลงไปในสนามเกมนี้" เพื่อนขี้เมาของเขาท้าทายให้ทำเรื่องที่น่าอับอายทั้งๆ ที่มันมีค่าแค่ 10 ปอนด์

อย่างไรก็ตามคุณเคยได้ยินคำว่าอย่าท้าคนเมาหรือเปล่า? นั่นหละตรงเป๊ะกับสถานการณ์ของ โอไบรอัน เลย นักบัญชีชาวออสซี่ ตอกเหล้าเพิ่มไปอีก 2 ช็อตก่อนเคาะโต๊ะดังฉาด ตะโกนลั่นโต๊ะ "ก็เอาสิวะเห้ย" หลังจบประโยคพวกเขายกโขยงกันไปเข้าสนามพร้อมแล้วสำหรับปฎิบัติการเป็นไปไม่ได้

"เพื่อนของผมมันท้าอะไรไม่เข้าเรื่อง มันพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีคนทำมาก่อนโดยให้ผมแก้ผ้าวิ่งลงไปตามแนวยาวของสนาม (จากหลังโกลฝั่งหนึ่งไปยังหลังโกลฝั่งหนึ่ง) ผมก็แบบว่า เออมาสิ สบายมาก จากนั้นพวกมันรุมปล้ำถอดชุดผมออกหมดเลย ไอ้เพื่อนอีก 2 คนนั้นร้ายกว่า คว้าเสื้อผ้าของผมที่ถอดวิ่งออกไปยังอีกอัฒจันทร์หลังโกลอีกฝั่ง" เขาว่าไว้แบบนั้น

การสร้างตำนานของ โอไบรอัน จะไม่เกิดขึ้นเลยหาก เอียน แบรดชอว์ ตากล้องจากสำนักข่าว ซันเดย์ มิร์เร่อร์ ที่เป็นช่างภาพที่มีมุมมองไม่เหมือนใคร เขาจะเตรียมกล้องไป 2 ตัว ตัวหนึ่งโฟกัสที่การแข่งขัน ส่วนอีกตัวเขาจะคอยสอดส่องดูความบ้าคลั่งของกองเชียร์ และช่วงพักครึ่งขณะที่ช่างภาพคนอื่นๆ เข้าไปในพื้นที่สื่อเพื่อรับชาอุ่นๆ มาดื่มแก้หนาว แต่ แบรดชอว์ เฝ้ารอจังหวะที่จะได้เห็นอะไรดีๆ บนอัฒจันทร์ และสุดท้ายก็เข้าล็อก เพราะเมื่อ โอไบรอัน วิ่งลงสนาม กลายเป็นว่าสำนักข่าว ซันเดย์ มิเร่อร์ เป็นเจ้าเดียวที่สามารถบันทึกภาพชีเปลือยคนแรกของโลกที่วิ่งลงสนามกีฬาขณะที่ยังมีการแข่งขันอยู่

 2

ในยุค '70 นั้นกล้องที่ใช้งานเป็นกล้องฟิล์ม แน่นอนว่าการจะรัวชัตเตอร์เก็บทุกช็อตเหมือนปัจจุบันคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แบรดชอว์ พยายามกดชัตเตอร์ไปหลายครั้งมากเพื่อให้ได้รูปที่สมบูรณ์แบบ แต่หลายรูปออกอากาศไม่ได้เพราะ โอไบรอัน อยู่ในสภาพตัวเปลือยเปล่าเจ้าโลกกระโตงกระเตงทุกใบ รูปเดียวที่ใช้คือหลังจากที่เขาโดนการ์ดสนามและเจ้าหน้าที่ตำรวจล็อกตัว รูปใบนั้นเป็นจังหวะที่ตำรวจต้องถอดหมวกเพื่อมาปิดเจ้าโลกของกันเพื่อกันอุจาดแก่ผู้พบเห็น เขารอจังหวะที่หมวกปิด และมีเจ้าหน้าที่อีกคนถือชุดมาให้เขาก็กดชัตเตอร์ทันที และรูปนั้นก็กลายเป็นตำนานในที่สุด

"มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ มันถูกครอปจนพอดีเป๊ะ ชายที่ถือแจ็คเก็ตสีขาวเดินเข้ามาผมก็กดเลย จังหวะมันลงตัว รูปนี้สมบูรณ์แบบผมแทบไม่ต้องเติมอะไรเข้าไปเลย" แบรดชอว์ตากล้องในวันนั้นกล่าว

ขณะที่หมวกของนายตำรวจใบที่ถูกปิดบังจุดสำคัญของ โอไบรอัน ผู้นี้ได้ถูกนำออกประมูลเพื่อช่วยการกุศลและได้ราคาถึง 2,400 ปอนด์ หรือราว 168,000 บาทไทย

จากความเมาสู่การแสดงแนวคิด

สทรีกเกอร์ (Streaker) คือคำที่สื่อใช้เรียกกลุ่มชีเปลือยเหล่านี้ หลังจากการปรากฎตัวของ โอไบรอัน และเป็นข่าวใหญ่ รูปของถ่ายของ แบรดชอว์ คือจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์วงการกีฬาอย่างแท้จริง เพราะอะไรก็ตามที่เป็นข่าวใหญ่มักจะได้รับความสนใจเสมอ เมื่อการแก้ผ้าลงสนามได้รับความสนใจจากทุกๆ คนทำให้หลังจากนั้น สทรีกเกอร์ ก็กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ฮ็อตฮิตติดชาร์ตสำหรับชาวยูเค และลามไปทั่วทุกมุมโลก

 3

จากความสนุกสนามเฮฮาในหมู่เพื่อนฝูง และความเมามายขาดสติ สทรีกเกอร์ ถูกเปลี่ยนจุดประสงค์ไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะด้วยการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและความเท่าเทียม, การแสดงออกตามแนวคิดของตน หรือแม้กระทั่งการเรียกร้องความสนใจของเหล่าวัยรุ่นที่คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้เป็นคนดังอะไรทำนองนั้น

ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงวิ่งแก้ผ้าลงสนามกีฬาก็มีให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะในรายของ ชีลล่า นิโคลส์ สาววัย 19 ปี ชาวอังกฤษที่แก้ผ้าวิ่งลงสนามด้วยเจตนาที่จะโปรโมทตอัลบั้มเพลงใหม่ของเธอเอง

ในยุค '80 นั้นถือเป็นยุคมืดเลยก็ว่าได้เพราะอัตราการวิ่งลงสนามของเหล่า สทรีกเกอร์ เยอะขึ้น อย่างไรก็ตามบนความสนุกนี้ทำให้หลายๆ ประเทศออกกฎที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันการเล่นสนุกและหวังแสดงออกมากเกินไปจนเลยเถิดเหล่านี้ และมันยังดำเนินต่อไปในยุค '90 แต่เป็นการวิวัฒนาการมากกว่าเดิม เพราะแต่ก่อนพวกเขาจะวิ่งไปโดยไม่มีเป้าหมาย แต่ในยุค '90 นี้ เหล่าสทรีเกอร์เล็งไปที่นักกีฬาแบบระบุเฉพาะเจาะจงเลยทีเดียว

เมลิสซ่า จอห์นสัน กลายเป็น สทรีกเกอร์คนแรกในศึกวิมเบิลดัน เมื่อปี 1996 โดยเธอวิ่งลงสนามในเกมคู่ชิงชายเดียวระหว่าง ริชาร์ด ครายเช็ก และ มาลิไว วอชิงตัน ขณะที่หลังจากนั้นไม่นาน อีวอนน์ ร็อบบ์ ก็วิ่งแก้ผ้าลงมาในสนามกอล์ฟและเป้าหมายของเธอคือการเข้ามาจูบ ไทเกอร์ วู้ดส์  

 4

แม้ฝ่ายจัดการแข่งขันรายการใหญ่จะออกมาตรการเข้ม คือปรับหนัก จับจริงสำหรับเหล่าตัวป่วนเหล่านี้ ทว่าในวิกฤติก็มีบางคนเห็นโอกาส พวกเขาไม่ลังเลที่จะวิ่งแก้ผ้าลงไปแม้จะมีคนรอจับตัวมากมาย นอกจากนี้เขายังไม่กลัวด้วยว่าจะต้องโดนปรับเป็นล้าน เพราะสิ่งที่เขาทำลงไป ที่สุดแล้วก็มีคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ ... หลังจากยุค '90 เขาสู่ยุคมิลเลเนียม การแก้ผ้าวิ่งลงสนาม กลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

ในขณะที่กฎเริ่มเข้ม สทรีกเกอร์ หลายคนเริ่มถอยออกจากวงการเพราะเมื่อเอาความสนุกมาแลกกับค่าปรับแล้วอย่างไรก็ไม่คุ้ม แต่ไม่ใช่กับ มาร์ก โรเบิร์ตส์ ชายหนุ่มจากเมือง ลิเวอร์พูล ที่มีอาชีพหลักเป็นช่างทาสี แต่อาชีพรองเป็น สทรีกเกอร์ วิ่งลงสนามแข่งตามที่ต่างๆ ซึ่งเงินที่ได้จากอาชีพรองของเขา ถือว่ามากกว่าอาชีพหลักเยอะเลยทีเดียว

 5

จุดเริ่มต้นในการเป็น สทรีกเกอร์ ของ โรเบิร์ตส์ เกิดจากการที่เขาไปเที่ยวประเทศฮ่องกงในปี 1993 เขาไปด้วยตั๋วเที่ยวเดียวและมีเงินเหลือแค่ 30 ปอนด์เท่านั้น ดังนั้นหากจะกลับอังกฤษได้เขาต้องหาเงินเพิ่ม เขากำลังเครียดอยู่ในบาร์ จนกระทั่งเจ้าของบาร์เห็นจึงจ้างเขาวิ่งลงสนามในการแข่งขันรักบี้ ในซีรี่ส์ เดอะ รักบี้ เซเว่นส์ ... แน่ล่ะเขาโดนจับและปรับ แต่ไม่สำคัญอะไรมากมายสำหรับเขา เขาได้เงินจากผู้ท้าทาย แถมยังรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นที่น่าสนใจคือสิ่งที่เขาตามหามาตลอด ดังนั้นเมื่อมีเงินกลับไปที่อังกฤษเขาจึงตัดสินใจเลือกวิ่งในเกมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง นั่นคือเกมที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เอฟเวอร์ตัน  เขายังติดใจวิ่งลงไปในสนามอีกครั้งในเกมที่ ลิเวอร์พูล พบกับ อาร์เซน่อล

เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามเขาว่าโดนแบนหรือไม่? ... "จะเหลือเหรอครับ โดนไป 12 เดือน หลังจากนั้นผมไม่หยุดนะ ผมชักจะสนใจการวิ่งแก้ผ้าลงสนาม กอล์ฟ, เทนนิส, รักบี้ หรืออะไรก็ตาม ถ้ามีแข่งกันผมไปหมดแหละ" โรเบิร์ตส์ กล่าว

เขาทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนเป็นงานอดิเรก การแข่งขันกีฬาอีเว้นท์ใหญ่ๆ อย่าง พรีเมียร์ลีก, วิมเบิลดัน, เอฟเอ คัพ, โอลิมปิกทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว เขาจัดมาหมดแล้ว เมื่อมีคนถามว่าทำแบบนี้ไปแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง เขาตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "อืม 556 ครั้งเห็นจะได้" และเหตุที่เขาทำมันบ่อยครั้งขนาดนั้นเพราะว่าระยะหลังเขามีชื่อเสียงและเริ่มมีคนจ้างแล้ว

"ผมมีสปอนเซอร์คอยจ้างนะ พวกเขาบอกให้ผมเขียนสิ่งที่อยากจะให้เขียนลงไปบนหน้าอก และวิ่งลงไปในสนาม พวกเขาจ้างทนายให้ผมด้วยนะชื่อ ริชาร์ด เฮย์นส์ ที่เป็นเบอร์ 1 ของเท็กซัส และเก่งที่สุดในอันดับท็อป 6 ของ อเมริกาเชียวนะครับ"  

ภารกิจที่สปอนเซอร์เจ้านี้จ้าง โรเบิร์ตส์ คืองานที่ยิ่งใหญ่และมีความเสี่ยงอย่างที่สุดนั่นคือ ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 38 ในปี 2004 รายการชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลที่มีตั๋วเข้าชมแพงที่สุด บางครั้งอาจจะถึงหลัก 1 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมทางโทรทัศน์กว่า 100 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรอเมริกาที่มี 320 ล้านคน

 6

งานใหญ่ขนาดนี้ย่อมต้องมีการวางแผนเตรียมการระดับมืออาชีพ และ โรเบิร์ตส์ ได้ค่าคิดแผนการนี้เป็นค่าจ้างถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมค่าใช้จ่ายตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน, บัตรเข้าชมเกม และที่พัก ฝ่ายผู้จ้างอย่าง โกลเด้นพาเลซ เว็บแทงพนันสัญชาติอเมริกันเป็นคนออกให้ทั้งหมด โจทย์ของ โรเบิร์ตส์ คือการถอดเสื้อแล้วเขียนที่ตัวว่า GoldenPalace.com วิ่งลงไประหว่างที่เกมซูเปอร์โบวล์กำลังแข่งขัน และแสดงสัญลักษณ์หรือชื่อของเว็บไซต์ดังกล่าวให้เหล่าตากล้องบันทึกภาพให้ได้

การทำงานของ โรเบิร์ตส์ นั้นมืออาชีพมาก เขาเตรียมซื้อชุดของกรรมการในเกมนั้นเตรียมไว้ และสวมมันไว้ชั้นในสุดโดยมีชุดลำลองทับอีกชั้น โดยชุดกรรมการของเขานั้นพิเศษกว่าแบบทั่วไปเพราะเขาซื้อชุด 2 ตัว เอามาตัดเย็บใหม่และมาประกอบกันใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการฉีกแบบแคว่กเดียวหลุดทั้งยวงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและโดนรวบไปเสียก่อน

เขาซ้อมใส่ชุด ฉีกชุด และวิ่งหน้าตั้งไปพร้อมๆ ชุดกรรมการอยู่บ้านเป็นเดือนๆ เพื่อให้มั่นใจว่าภารกิจนี้จะต้องสำเร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้... ทว่าเมื่อไปถึงสนามก็เกือบโดนจับได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจก่อนเข้าสู่อัฒจันทร์ถามเขาหลายข้อเช่นทำไมถึงต้องใส่ชุดกรรมการซ่อนไว้ข้างใน เขาก็ตอบกลับว่าเป็นแค่การถือเคล็ดเฉยๆ และเมื่อเข้าสนามได้เขาต้องแกล้งสนุกสนาน ร้องเพลง ดีใจเหมือนกับแฟนพันธุ์แท้ทั้งๆ ที่เขาดูอเมริกันฟุตบอลไม่เป็น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเผลอก็เสร็จเขาทันที

โรเบิร์ตส์ เนียนเป็นกรรมการเดินลงไปในสนามก่อนจะฉีกชุดและวิ่งไปรอบๆ สร้างเสียงฮาและเสียงด่าให้กับผู้ชมในวันนั้นเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือโลโก้ GoldenPalace ถูกถ่ายภาพและเผยแพร่ไปทั่วชนิดที่ว่าใครก็เห็น ภารกิจลุล่วงเขารับเงิน 1 ล้านดอลลาร์กลับบ้านและนอนฝันดีในท้ายที่สุด

โรเบิร์ตส์ ว่าคุ้มแล้วแต่ โกลเด้นพาเลซ คุ้มยิ่งกว่า พวกเขาได้โฆษณาในซูเปอร์โบวล์ ด้วยราคาแค่ 1 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ขณะที่สินค้าเจ้าอื่นๆ ต้องจ่ายเงินมากกว่า 3 ล้านเหรียญฯ (ในขณะนั้น) เพื่อซื้อโฆษณาในเวลา 30 วินาทีของการแข่งขั้นครั้งนั้น เรียกว่าความหัวหมอของเว็บพนันมาเจอกับความบ้าของหนุ่มชาวอังกฤษครั้งนี้ทำให้เกิดตำนานสทรีกเกอร์มืออาชีพอย่างแท้จริง

"เออ ผมก็เป็นตัวโจ๊กมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือแล้วล่ะ คนในบาร์เมืองลิเวอร์พูลเขารู้กันนี้ เขาเรียกผมว่าไอ้คนบ้า แต่ทำไงได้ ผมชอบทำมันนี่หว่า ผมชอบสร้างความสนุกสนานให้ผู้คนได้หัวเราะกับเรื่องโง่ๆ ที่ผมทำ" เขากล่าวทิ้งท้าย

 7

ก่อนหน้านี้หลังจากมีรายได้เป็นล่ำเป็นสันจากการวิ่งแก้ผ้า โรเบิร์ตส์ ได้ออกมาเปิดเผยว่าคงถึงเวลาแล้วที่เขาจะเลิกทำอาชีพเสริมที่ได้เงินมากกว่าอาชีพหลักนี้ ลูกชายของเขากำลังโตเป็นหนุ่มและกำลังจะเข้ามัธยมปลาย ดังนั้นการที่มีพ่อที่ทำอะไรแบบนี้อาจจะสร้างความอับอายและทำให้ลูกโดนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้อเลียนจนเสียคน เขาเลยประกาศเลิกเป็นสทรีกเกอร์อยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เขาฝืนความจริงได้ไม่นานเพราะหัวใจมันเรียกร้อง ในวัย 50 กว่า โรเบิร์ตส์ ยืนยันว่าขออนุญาตเปลี่ยนใจชั่วคราว เพราะเขารักที่จะวิ่งแก้ผ้าแบบนี้เพราะมันทำให้ชีวิตไม่น่าเบื่อ เมื่องานช่างทาสีนั้นไม่สามารถสร้างความบันเทิงให้กับเขาได้เทียบเท่ากับอาชีพเสริมนี้ และพี่เขาก็ได้รีเทิร์นในการแก้ผ้าท้าลมและเจ้าหน้าที่สนามแล้วเป็นที่เรียบร้อยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพยองชางของเกาหลีใต้เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

คนมีความสามารถเท่านั้นที่โอกาสดีๆ จะเดินทางมาถึง มาร์ค โรเบิร์ตส์ เปลี่ยนความชอบให้กลายเป็นอาชีพได้อย่างเหลือเชื่อ ความสามารถของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน หากคุณสามารถวางแผนวิ่งหนี รปภ. ในขณะที่กำลังแก้ผ้าได้เหมือนกับเขา ... ไม่แน่คุณอาจจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ก็เป็นได้

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ จากคนแรกสู่มือ 1 ค่าตัวหลักล้าน : วิวัฒนาการ Streaker แก้ผ้าวิ่งลงสนามแล้วได้อะไร?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook