ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง : สองแรงงานเมียนมาบนพื้นหญ้าสนามฟุตบอล
หากถามว่าแรงงานต่างชาติจากประเทศใด เดินทางเข้ามาหากินในเมืองไทยมากที่สุด หลายคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เมียนมา”
เพื่อนบ้านติดชายแดนฝั่งตะวันตก อันมีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนานไม่รู้จบ มีประชาชนจากบ้านเกิด เพื่อเดินมาเสี่ยงโชคชะตาในเมืองไทย ปีละไม่ต่ำกว่าหลายแสนคน
ในบรรดาผู้คนมากมายเหล่านั้น มีชายสองคนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อทำงานหาเช้ากินค่ำแบบเพื่อนร่วมชาติรายอื่น
พวกเขามาในฐานะนักกีฬาทีมชาติ ผู้แบกความภาคภูมิใจ และเกียรติยศของชาวเมียนมาไว้เต็มกระเป๋า กับก้าวสำคัญในการพิสูจน์ตัวเองบนเวทีการแข่งขันกีฬาอาชีพต่างแดน
เราเดินทางมายัง จ.ชลบุรี เพื่อพูดคุยกับ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง สองนักฟุตบอลชายชาวเมียนมา ที่เดินทางมาตามล่าความฝันในลีกฟุตบอลอาชีพเมืองไทย กับสโมสรชลบุรี เอฟซี
ชีวิตในแผ่นดินไทยของพวกเขาเป็นอย่างไร และความเป็นอยู่ของสองนักเตะอาชีพ แตกต่างจากแรงงานร่วมชาติมากแค่ไหน? ติดตามได้ที่นี่
ล่าฝันแดนสยาม
ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง ไม่ต่างจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเมียนมา แม้การเป็นนักฟุตบอลอาชีพจะสร้างรายได้ ให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดได้อย่างสบาย
แต่การได้เห็นเพื่อนร่วมชาติออกไปเสี่ยงโชคต่างแดน แล้วสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เขาทั้งคู่ก็ไม่ลังเลยอมเสี่ยงออกมาล่าฝันต่างแดนด้วยเช่นกัน
“เมืองไทยดีกว่าเมียนมาเยอะจริงๆ น่าอยู่มากครับ ตอนแรกเห็น อ่อง ธู กับ จอ โค โค มาเล่นในไทยลีก ผมรู้สึกว่าอยากจะมาเล่นบ้าง ถึงตอนนั้นจะยังไม่ได้รู้จักไทยลีกดีสักเท่าไร แต่พอได้เห็นพวกเขาเล่นแล้ว ก็คิดฝันอยากได้รับโอกาสแบบนั้นบ้าง ผมอยากจะมาหาประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเองครับ” ซอ มิน ตุน เริ่มต้นกล่าวกับ Main Stand
“อย่างแรกที่รู้เกี่ยวกับประเทศไทย คือ ที่นั่นเจริญมากกว่าเมียนมาเยอะ เราเลยอยากมาเล่นในไทยลีก จะเรียกว่าเป็นความฝันก็ได้” สี ธู อ่อง เสริมเพิ่มเติมอีกเสียง
ความเจริญที่แตกต่างระหว่างสองประเทศ ส่งผลไปถึงการพัฒนาเชิงลึกของวงการฟุตบอล ด้วยความเป็นนักเตะทีมชาติ ทั้งคู่มีโอกาสเดินทางไปแข่งขันยังต่างประเทศ ซึ่งนั่นทำให้เขายอมรับว่ามาตรฐานกีฬาของประเทศเมียนมา ยังตามหลังชาติอื่นในอาเซียนอยู่มาก
ซอ มิน ตุน เล่าถึงประสบการณ์ที่เจอมาว่า “มาตรฐานฟุตบอลไทยค่อนข้างแตกต่างจากของเมียนมา อย่างที่นั่น จะมีแค่บางทีมที่มีสนามซ้อมของตัวเอง ส่วนที่ไม่มีก็ต้องเช่าสนามเอา บางทีมถึงกับไม่มีเงินเช่าเลย”
“สโมสรในไทย มีโค้ชต่างชาติเข้ามาฝึกสอนนักเตะ ที่เมียนมาไม่ได้มีแบบนั้น ตรงนี้เป็นปัญหาหลัก รวมถึงเรื่องการดูแลรักษาสภาพร่างกาย ระบบอาหารการกิน มันแตกต่างไปหมดทุกอย่าง”
“คุณภาพนักเตะเมียนมากับนักเตะไทยจึงค่อนข้างห่างกัน อย่างนักเตะไทย จะมีความสามารถหลากหลายมาก พอเล่นทีมชาติก็มีตัวเลือกเยอะ ต่างจากเมียนมาที่เราไม่มีนักเตะเก่งมากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าเรื่องสภาพร่างกายผมคิดว่าสู้ได้ แต่ทักษะการเล่นฟุตบอลยังห่างเยอะ ต้องปรับพอสมควร”
ด้วยเหตุนี้ เมื่อโอกาสการออกไปทำงานต่างประเทศเข้ามาหา ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง จึงรับเส้นทางนั้นไว้อย่างไม่ลังเล แม้การออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเกิด อาจเจออุปสรรคและปัญหามากมายรออยู่เบื้องหน้า
“นักเตะเมียนมาอยากมาเล่นไทยลีกเกือบทุกคนครับ เพราะรู้กันดีว่าไทยลีกเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน ใครก็อยากมาเล่น อยากมาร่วมทีม คนที่ไม่มีโอกาส จะพยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น อย่างผมพอมีโอกาสยื่นให้เข้ามาค้าแข้งที่นี่ ยอมรับว่ารีบย้ายมาทันทีเลยครับ” ซอ มิน ตุน ย้อนถึงความรู้สึก เมื่อรู้ว่าได้รับโอกาสมาเล่นในไทยลีก
“วินาทีนั้น ผมคิดว่าขอแค่ให้ได้เล่นในไทยลีกก่อน อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ อยากลองใช้ชีวิตในเมืองไทย อยากเล่นในไทยลีก มองแค่นั้นเองครับ ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย” สี ธู อ่อง กล่าวเสริม
ทำงานหนักเป็นสองเท่า
ปัญหาหลักที่ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง ต้องเจอสำหรับการค้าแข้งบนแผ่นดินไทย คือเรื่องของการสื่อสาร ไม่มีนักเตะคนใดในสโมสรชลบุรี เอฟซี พูดภาษาเมียนมา และ คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ถือว่ามีไม่มากนัก ทั้งคู่จึงทำงานหนัก เพื่อเตรียมพร้อมและแก้ปัญหาตรงนี้ให้ดีที่สุด
“ก่อนมาที่นี่ ผมติดต่อกับ อ่อง ธู ถามเขาว่า เมืองไทยเป็นยังไง ระบบการเล่นที่เมียนมากับที่นี่ต่างกันแค่ไหน เพราะว่า อ่อง ธู มาก่อนเรา ผมต้องรับฟังคำแนะนำจากเขา” ซอ มิน ตุน เล่าถึงการเตรียมตัวก่อนย้ายมาเล่นในไทยลีก
“ผมเรียนรู้นักบอลไทย ดูว่าพวกเขามีคุณภาพมากแค่ไหน เพราะในอาเซียนไทยลีกคืออันดับหนึ่ง เราต้องเรียนรู้นักเตะที่นี่ ดูว่าเราจะเล่นยังไง จะรับมือกับเขายังไง”
“ผมคิดว่าเราต้องเตรียมตัวมาดีระดับหนึ่ง ดังนั้น ถึงผมฟังไม่รู้เรื่องว่าโค้ชพูดอะไร แต่ถ้าเตรียมตัวมาดี จะเข้าใจระบบได้ไว รู้ว่าเขาต้องการอะไร และไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวเยอะ”
ปรัชญา “การทำงานหนักเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี” อยู่ในทุกลมหายใจของชาวเมียนมาโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานอาชีพใด สำหรับ ซอ มิน ตุน ปราการหลังกัปตันทีมชาติ ยอมรับว่าเขาทำงานหนักและอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัด เพื่อพาต้นสังกัดประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย
“ทุกครั้งหลังจากซ้อมหรือเตะฟุตบอลเสร็จ ผมจะกลับมาพักผ่อนที่บ้าน กินอาหารตามแผนงาน ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมข้างหน้า ผมต้องการจะเป็นส่วนสำคัญของทีม ดังนั้น ผมต้องพร้อมทำทุกอย่างที่โค้ชต้องการ ทำให้ได้ตามที่โค้ชสั่ง เล่นตามแผนที่วางไว้”
“ผมไม่ได้คิดว่าการเป็นนักเตะทีมชาติ จะทำให้มีชื่อเสียงเหนือใคร คิดแค่ว่าเมื่อมีโอกาสมาเล่นตรงนี้แล้ว ต้องทำให้เต็มที่ เพื่อพาทีมประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้สนใจ เพราะคนชอบเราก็เยอะ ไม่ชอบเราก็เยอะ มุมมองแบบนี้คนเรามันแตกต่างกัน ผมเลยไม่โฟกัส มุ่งไปที่การพาทีมประสบความสำเร็จตามเป้าหมายดีกว่า”
ทางฝั่ง สี ธู อ่อง การก้าวมายึดตัวจริงในทีมของเขา ยากกว่ารุ่นพี่ร่วมชาติมาก เนื่องจากตำแหน่งปีกซ้ายของชลบุรี ถูกจองโดย เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ กัปตันสโมสรและนักเตะทีมชาติไทย ทำให้เขาต้องเจอกับบททดสอบยากลำบากที่สุดในอาชีพของตัวเอง
“เรารู้อยู่แล้วว่า การมาเล่นในไทยลีก จะยึดตำแหน่งตัวจริงมันค่อนข้างยาก ก้อง (เกริกฤทธิ์) นอกจากเป็นกัปตันทีมแล้ว เขายังเป็นนักเตะทีมชาติอีก ด้วยตำแหน่งที่ทับกัน ผมรู้อยู่แล้วครับว่าต้องเป็นตัวสำรอง ถามว่าจะยึดตำแหน่งของก้องมาได้ไหม ผมยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก ตอบไม่ได้เลยว่า ผมต้องใช้ความพยายามแค่ไหน”
“สิ่งเดียวที่ผมสามารถพิสูจน์ได้ คือ เวลาฝึกซ้อม ผมพยายามจะฝึกซ้อมให้ดีกว่าเขา ทุ่มเทเป็นสองเท่า จะพยายามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ตำแหน่งตัวจริงมาครอง ถ้ามีโอกาสลงสนาม ต้องทำเต็มที่ ผมอยากพิสูจน์ตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึกซ้อม ผมคิดอยู่เสมอว่าเราทำประโยชน์อะไรเพื่อทีมได้บ้าง”
“ผมต้องพัฒนาตัวเองอีกมาก ต้องพัฒนาฝีเท้าให้ดีกว่านี้ เพื่อลงเล่นเป็นตัวจริงให้ได้” กราบซ้ายดาวรุ่งชาวเมียนมา กล่าว
แม้การลงสนามเป็นผู้เล่น 11 คนแรก จะเป็นเป้าหมายหลักของ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง แต่ทั้งคู่ยืนยันว่าทั้งหมดที่ทุ่มเททำลงไป ไม่ใช่เพียงหวังผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น แต่หมายถึงการช่วยให้ ชลบุรี เอฟซี สามารถคว้าชัยชนะ และประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย
“ทุกนาทีที่ผมได้ลงสนาม ผมทุ่มเทเต็มที่เพื่อทีม ผมหวังจะยิงประตูให้ได้ แต่ยิงไม่ได้ไม่เป็นไร ขอแค่จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้ ถ้าจ่ายให้เพื่อนยิงไม่ได้ ก็จะลงมาป้องกันไม่ให้ทีมเสียประตู ผมทำเต็มที่เพื่อทีม ไม่ว่าจะได้ลงสนามห้านาที สิบนาที หรือสิบห้านาที ถ้ามีโอกาสจะช่วยทีมให้มากมี่สุดเท่าที่จะทำได้” สี ธู อ่อง กล่าว
ชีวิตผิดถิ่นฐาน
ถึงการต่อสู้บนพื้นหญ้าจะยากลำบากเพียงใด ชีวิตนอกสนามแข่งขันของ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง ได้รับการดูแลอย่างดีจากต้นสังกัด ทั้งสองพักอาศัยในห้องพักอย่างดี พร้อมรถส่วนตัวที่ช่วยให้พวกเขาสะดวกสบายในการเดินทาง และเที่ยวพักผ่อนตามที่ต่างๆได้โดยอัธยาศัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อบริเวณที่พักอาศัยของทั้งคู่ เป็นชุมชนย่านโรงงาน ติดริมถนนสายหลักเชื่อมการเดินทางระหว่างชลบุรีและกรุงเทพ ย่านดังกล่าวจึงอัดแน่นไปด้วยผู้อาศัยชนชั้นกลางชาวไทย และไร้ที่ว่างให้แรงงานระดับล่างชาวเมียนมา
“ก่อนมาที่นี่ ผมแอบหวังว่าจะได้อยู่ใกล้กับแฟนบอลเมียนมา เพราะว่าอาหารไทยกับอาหารเมียมาร์ค่อนข้างแตกต่าง เราก็หวังว่าคงจะได้กินอาหารบ้านเกิดบ้าง เพราะผมกินอาหารไทยไม่เป็น”
“แต่พอย้ายมาอยู่เมืองไทยจริง กลายเป็นเราไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้ด้วยว่าคนเมียนมาในชลบุรีอยู่แถวไหน ตอนแรกเลยมีปัญหาพอสมควร เพราะตอนมาอยู่ใหม่ ไม่รู้จักใครเลยครับ” ซอ มิน ตุน ยอมรับว่า สภาพสังคมรอบตัวในเมืองไทย ไม่เป็นอย่างที่เขาคาดคิด
เมื่อไร้เพื่อนบ้านภาษาเดียวกัน ชีวิตประจำวันของพวกเขา จึงกลายเป็นเพียงแค่การเดินทางไป-กลับ ระหว่างที่พักกับสนามซ้อม ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการพักผ่อนในห้องของตัวเอง และเดินเล่นตามตลาดใกล้บ้านเป็นครั้งคราว
สี ธู อ่อง ยอมรับว่าเกิดความเหงาบ้าง จากการใช้ชีวิตต่างประเทศเพียงลำพังในวัย 22 ปี “ช่วงเย็นจะมีหน้าที่ซ้อมใช่ไหมครับ ประมาณ 4 โมงเย็น เราก็แค่ไปซ้อมแล้วกลับบ้าน ส่วนช่วงเช้าไม่มีอะไรทำ ก็ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ออกกำลังกายไปเรื่อยๆ”
“ถามว่าเหงาไหม? มันก็เหงานะครับ แต่มันไม่ถึงกับลำบากอะไร เวลาที่รู้สึกแบบนั้น ไม่มีใครให้คุยด้วย ผมจะทำกับข้าว ฟังเพลง หรือนั่งสมาธิให้คลายเครียด”
สำหรับใครหลายคน การรับมือกับชีวิตต่างแดนเพียงลำพัง อาจส่งผลร้ายต่อสภาพจิตใจและหน้าที่การงานได้โดยง่าย แต่ สี ธู อ่อง ไม่เคยลืมว่าเขามาใช้ชีวิตเมืองไทยเพราะอะไร และหามุมมองใหม่จากการใช้ชีวิตแบบเดียวดายของตัวเอง
“อยู่คนเดียวมันก็ดีครับ ผมรู้สึกว่าอยู่คนเดียวมันง่าย เป็นอิสระได้ และมันก็ทำให้เราโฟกัสไปที่ฟุตบอลอย่างเดียว ถ้าสมมติว่ามีครอบครัวมาอยู่ด้วย เวลาไปฝึกซ้อม มันทำให้เราไม่สะดวกใจ แต่พออยู่คนเดียว เราไปฝึกซ้อมได้สบายใจกว่า”
ฝั่ง ซอ มิน ตุน ที่ไม่ได้เป็นหนุ่มโสดแบบเพื่อนร่วมทีมรุ่นน้อง หลังชิมลางการใช้ชีวิตคนเดียวในประเทศไทยสักพัก เขาจึงพาครอบครัว อันประกอบด้วยภรรยา และลูกอีกสองคนตามมาอยู่ด้วยกัน เพื่อสัมผัสถึงชีวิตในประเทศที่เจริญกว่าบ้านเกิดของตัวเอง
“ครอบครัวของผมไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวมากครับ เพราะจริงๆเมียนมากับไทยไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันมาก และเราทั้งคู่อยากมาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว เพราะว่าอยู่คนเดียวมันก็เหงาครับ ภรรยาเองก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน อีกอย่างเธออยากมาเที่ยวเมืองไทยด้วย”
ถึงแม้ ประเทศไทย จะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ให้ ซอ มิน ตุน และครอบครัวไปพักผ่อนได้ไม่รู้เบื่อ แต่เนื่องจากไม่มีเพื่อนบ้านชาวเมียนมาใกล้ๆ ให้สอบถามข้อมูล วันหยุดของพวกเขาจึงไม่เคยไปไหนไกลกว่า ห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองชลบุรี
“เรามีปัญหา ตอนที่ลูกอยากออกไปเล่นนอกบ้าน เขาอยากไปเล่นสวนสนุก หรือซื้อของกินอะไรทำนองนี้ ผมเองก็อยากพาเขาไปเที่ยว แต่เราไม่รู้สถานที่ตรงนี้ มันก็จะลำบากหน่อยครับ”
“ผมเลยพาเขาไปแค่สนามซ้อม สนามแข่ง นอกจากนี้ยังไม่เคยไปครับ กินข้าวส่วนใหญ่ก็ที่เซนทรัล บางแสนได้แค่ขับรถผ่าน ยังไม่เคยลองนั่งเล่นจริงจัง ช่วงสงกรานต์เลยคิดว่าจะพาไปเที่ยวทะเลครับ ถ้าเป็นไปได้ เราอยากไปพัทยา”
แต่สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ ซอ มิน ตุน ไม่เดียวดายระหว่างการใช้ชีวิตในต่างแดน คือ การต้อนรับจากเพื่อนบ้านชาวไทย ที่ไม่ว่าจะเดินทางไปยังที่ใดในประเทศนี้ เขาได้รับไมตรีกลับมาเสมอ
“เวลาเดินไปตลาด ไปซื้อของ เจอแฟนบอลที่รู้จักเข้ามาทักทายบ้าง บางครั้งเจอคนไทยที่ไม่ใช่แฟนบอลทักมา ถามว่า เป็นคนที่ไหน มาจากประเทศอะไร ผมก็ตอบว่าเป็นคนเมียนมาครับ มาจากย่างกุ้ง ย้ายอยู่เมืองไทยเพราะมาเล่นฟุตบอล”
“ผมรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น เมื่อได้เห็นแฟนบอลรู้จักเรา เข้ามาทักทายเรา สำหรับผม ไทยไม่ใช่ประเทศที่ห่างไกลเมียนมามาก เราเป็นเหมือนเพื่อนบ้านกัน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับชีวิตในเมืองไทยครับ มีความสุขดี”
สถานะต่างไป หัวใจเดียวกัน
ชีวิตในประเทศไทยของ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง ดูแตกต่างกับเพื่อนร่วมชาติราวฟ้ากับเหว ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีบ้านและรถเป็นของตัวเอง ขณะที่ แรงงานชาวเมียนมารายอื่นมีชีวิตที่ยากลำบาก จากสถานะผู้ใช้แรงงานระดับล่างสุดของประเทศ
แต่ไม่ว่าสถานะทางสังคมที่โลกขีดเขียนไว้ให้ จะแตกต่างกันมาแค่ไหน พวกเขาคือชาวเมียนมาเหมือนกัน แม้เผชิญโชคชะตานอกบ้านเกิดแตกต่างกันไป ทุกคนยังเชื่อมโยงกันไว้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ฟุตบอล
“มีแฟนเมียนมาติดตามเยอะอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะมาให้กำลังใจกันถึงสนามซ้อม บางทีเวลาออกไปข้างนอก เดินเล่นตามตลาด ก็เจอแฟนบอลเข้ามาทักบ้าง” สี ธู อ่อง เปิดเผยถึงช่วงเวลาที่จะได้เจอเพื่อนร่วมชาติ
“เรารู้อยู่แล้วว่าแฟนบอลเมียนมา จะติดตามดูนักเตะทุกคนในไทยลีก ไม่ว่าจะเป็นใคร จะติดทีมชาติหรือไม่ ทั้ง สี ธู อ่อง, จอ โค โค หรือ อ่อง ธู รวมถึงคนอื่นที่อยู่ในไทย แฟนบอลของเราเขาจะตามเชียร์อย่างเต็มที่ครับ” ซอ มิน ตุน อธิบายเพิ่ม
“สำหรับแฟนบอลเมียนมา เขาอยากมาดูในสนามมาก บางคนไม่เคยดูฟุตบอลมาก่อนด้วยซ้ำ พอรู้ว่ามีนักเตะเมียนมาเล่นในไทย เขาจะหาช่องทางต่างๆเพื่อติดตามเรา ไม่ว่าจะเป็นติดตามการถ่ายทอดสดทางเน็ต หรือตามมาดูในสนาม”
แม้ใจเชื่อมโยงส่งถึงกัน แต่โลกเสรีนิยมใหม่โหดร้ายต่อชนชั้นล่างเสมอ แรงงานชาวเมียนมาส่วนใหญ่ ได้รับวันหยุดต่อสัปดาห์แค่วันอาทิตย์ หมายความว่า พวกเขาจะหมดสิทธิ์ให้กำลังใจฮีโร่ร่วมชาติทันที หากการแข่งขันเกิดขึ้นฟุตบอลไทยลีกจัดขึ้นในวันอื่น
“มีแฟนบอลทักมาในเฟซบุคเยอะมาก ถามกันว่านัดหน้าแข่งวันไหน ถ้าผมบอกไปว่าแข่งวันเสาร์ วันศุกร์ อะไรแบบนี้ แฟนบอลก็จะเสียใจ เพราะเขามาดูไม่ได้ แต่ถ้าแข่งวันอาทิตย์ เขามากันแน่นอน เพราะว่าเป็นวันหยุดของเขา”
“ถ้านัดไหนเตะวันศุกร์ หรือวันเสาร์ พวกเขาจะมาไม่ได้เพราะติดงาน ก็ติดตามจากการถ่ายทอดสดแทน แต่ถ้าแข่งวันอาทิตย์ จะมากันเยอะมากเลยครับ” ซอ มิน ตุน เปิดเผยถึงความลำบากของแฟนบอลเมียนมาในไทย
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับทั้งคู่ คือ พวกเขายอมรับว่า ไม่มีโอกาสได้รับรู้ของชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวเมียนมาในประเทศไทยมากนัก เพราะโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เจอกัน มีเพียงยามที่ฟุตบอลลงแข่งขันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ซอ มิน ตุน และ สี ธู อ่อง จึงคาดหวังจะได้เห็นแฟนบอลเพื่อนร่วมชาติ ติดตามเชียร์พวกเขามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำหน้าที่ในฐานะนักฟุตบอลเมียนมา ให้ออกมาได้ดีมากที่สุด และตอบแทนความภูมิใจที่ได้รับ จากแรงงานผลัดถิ่นบนพื้นแผ่นดินไทยทุกคน
“เมื่อแฟนบอลเมียนมาเข้ามาเชียร์ในสนาม มันช่วยให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้มากขึ้น ถ้าเรามั่นใจก่อนลงสนามแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อได้เห็นแฟนๆ พลังใจก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเกินร้อย มันทำให้เรามุ่งมั่นมากขึ้น” ซอ มิน ตุน กล่าว
“แฟนบอลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นนักเตะ กำลังใจทั้งหมดมาจากแฟนบอล คำชื่นชมจากพวกเขาช่วยผมได้มาก เมื่อแฟนบอลเข้าสนามมาเชียร์เยอะ มันทำให้ผมอยากทำงานหนักมากกว่าเดิม” สี ธู อ่อง เสริมปิดท้าย
“ผมอยากจะใช้โอกาสตรงนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของชาติ ใช้สิ่งที่ได้จากการค้าแข้งให้สโมสรแห่งนี้ ประสบการณ์ทั้งหมดจากไทยลีก เพื่อกลับไปเล่นที่เมียนมา และพัฒนาบ้านเกิดให้ได้ครับ”