ก่อนจะเป็นชัตเตอร์กดติดวิญญาณ : เหตุใด Drake ถึงชอบถ่ายรูปกับเซเลปนักกีฬา?

ก่อนจะเป็นชัตเตอร์กดติดวิญญาณ : เหตุใด Drake ถึงชอบถ่ายรูปกับเซเลปนักกีฬา?

ก่อนจะเป็นชัตเตอร์กดติดวิญญาณ : เหตุใด Drake ถึงชอบถ่ายรูปกับเซเลปนักกีฬา?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เดรก ถือธงชาติไอร์แลนด์ให้กับ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ได้ไม่กี่นาที "เกรียนไอริช" ต้องแท็บพื้นเพื่อยอมแพ้, เดรก ไปเชียร์ เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ ที่ข้างสนาม ราชินีเทนนิสก็แพ้ต่อหน้าต่อตาเขา, เดรก เข้าไปถ่ายรูปกับ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ หลังเกม แมนฯ ซิตี้ ชนะ วัตฟอร์ด หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาก็แพ้ สเปอร์ส หน้าตาเฉยทั้งๆ ที่ไม่แพ้ใครมาหลายเดือน และหนักที่สุดจนถึงขั้นทำให้ เรือใบสีฟ้า ต้องตกรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในอีกไม่กี่วันต่อมา ... หรือนี่คือเรื่องอาถรรพ์จริงๆ?

“นักเตะโรมาทุกคนถูกแบนจากการถ่ายภาพคู่กับเดรกจนกว่าจะจบฤดูกาล” สโมสร โรมา ถึงกับออกแถลงการณ์แบบขำๆ ผ่านทวิตเตอร์ถึงกระแสการถ่ายภาพคู่กับ เดรก แร็ปเปอร์ระดับโลกชาว แคนาดา

ไม่ว่า เดรก จะปรากฎตัวในสนามไหนเจ้าบ้านก็มักจะแพ้ ถ่ายรูปกับนักกีฬาคนใด เขาหรือเธอ ก็มักจะผิดฟอร์มตลอด จนทำให้เกิดกระแสไวรัลที่เรียกว่า "The Drake Curse" หรือคำสาปของ เดรก ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้้นเท่านั้น คำสาปนี้มีมานานแล้วเพียงแต่ว่าเพิ่งกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในเวลานี้  อย่างไรก็ตามที่เราสงสัยคือเหตุใด เดรก จึงต้องไปถ่ายรูปกับเซเลปนักกีฬา และใส่เสื้อทีมกีฬาเป็นประจำ? ติดตามเรื่องความเฮี้ยนและสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้คำสาปของ เดรก พร้อมๆ กับ Main Stand ได้ที่นี่

ก่อนจะกลายเป็น "เดรก"

โตรอนโต้ ประเทศ แคนาดา ในยุค '80-'90 ช่วงเวลาที่เขาลืมตาดูโลก ว่ากันว่าเมืองใหญ่แห่งนี้ "ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจ" นักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะมีเพียงแต่หิมะและความหนาวเหน็บเท่านั้นที่คอยปกคลุม เอาล่ะ...มันอาจจะมีทีมฮ็อคกี้น้ำแข็งอยู่ แต่นั่นไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากมายนัก คนทั้งโลกไม่อิน และไม่ได้รู้สึกว่า โตรอนโต้ คือสถานที่ที่สร้างตำนานหรืออะไรทำนองนั้น  


Photo : mashable.com

ไม่มีนักกีฬาดังๆ ไม่มีนักร้องทรงอิทธิพล ไม่มีฮีโร่ที่โลกสรรเสริญ มีเพียงความสงบเงียบเท่านั้นที่ โตรอนโต้ จะมอบให้กับใครสักคนได้ ดังนั้นการจะเปลี่ยนเมืองแห่งนี้ให้มีเสน่ห์สำหรับผู้มาเยือนได้ ต้องเริ่มจากผู้คนในเมืองที่ต้องทำอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่จนโลกต้องจารึก และเมื่อพูดชื่อคนๆ นั้นขึ้นมาทุกคนต้องร้องอ๋อและเข้าใจในทันทีว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่และมาจากเมือง โตรอนโต้ เหมือนกับที่คนทั่วไปรู้ว่าเมื่อเอ่ยถึง ไมเคิล จอร์แดน คนก็ต้องนึกถึง ชิคาโก้ เมืองที่สร้างชื่อในฐานะนักบาสเกตบอลอะไรประมาณนั้น

"ผมเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลก ทุกที่ที่ผมไป ผมบอกทุกคนเสมอว่าผมรักเมืองโตรอนโต้สุดหัวใจและภูมิใจกับเมืองๆ นี้" ออเบรย์ เดรก เกรแฮม ผู้เกิดและโตในเมืองโตรอนโต้ กล่าวในวันที่เขาได้เป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ของทีมบาสเก็ตบอลใน NBA อย่าง โตรอนโต้ แร็พเตอร์ส ทีมที่ "เดรก" กล้ายืดอกแล้วบอกว่าเขานี่แหละคือแฟนพันธุ์แท้ของทีมๆ นี้

โตรอนโต้ แร็พเตอร์ส  เป็นทีมแรกที่ NBA ขายแฟรนไชส์ให้กับกลุ่มทุนจากแคนาดาในปี 1995 แน่นอนว่าทีมนี้ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลยตามประสาทีมน้องใหม่เพิ่งแจ้งเกิด อีกทั้งยังโดนแฟนทีมอื่นล้อตัวมาสค็อตของทีมที่เป็นไดโนเสาร์ โดยการเอาไปเปรียบเทียบกับ "บาร์นี่ย์" การ์ตูนสำหรับเด็กน้อยที่มีพระเอกเป็นไดโนเสาร์ก้นใหญ่คอยวิ่งไปวิ่งมาในฉาก การเปรียบเทียบนี้ชัดเจนมากกว่ามีแต่คนมองข้ามโตรอนโต้ แร็พเตอร์ส จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง ...

วินซ์ คาร์เตอร์  เจ้าของฉายา "Half-Man, Half-Amazing" หรือ "ครึ่งคนครึ่งมหัศจรรย์" ที่ย้ายเข้ามาอยู่กับทีมที่ใครก็ไม่อยากมาในปี 1998 ก่อนที่ คาร์เตอร์ จะสร้างตำนานมากมายให้เกิดขึ้นกับทีมๆ นี้ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาเปลี่ยนให้ทุกคนยำเกรงโตรอนโต้ แร็พเตอร์ส, ระลึกเสมอมาว่าการมาเล่นเกมเยือนที่ โตรอนโต้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีหมูให้เคี้ยวอีกต่อไป และที่สำคัญเขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กชาย ออเบรย์ เกรแฮม รักและเทิดทูนทีมๆ นี้ขึ้นมาแบบสุดหัวใจ เขาเรียกตัวเองว่า "ดายฮาร์ดแฟน" หรือแฟนเดนตาย ตั้งแต่วันที่ วินซ์ คาร์เตอร์ เข้ามาพร้อมกับสปริงข้อเท้าที่มีพลังทำให้กระโดดสูงได้ถึงระดับ 2 เมตรสบายๆ ออเบรย์ เกรแฮม อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าเป็นประจำ เขาตามอ่านข่าวต่างๆ ของ วินซ์ และพบว่าฮีโร่คนนี้ของเขายิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาไม่ได้แค่ใหญ่คับโตรอนโต้ แต่เขาใหญ่คับแคนาดา ใหญ่คับ NBA และใหญ่คับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ ด้วยแรงส่งจากผู้คนในเมือง โตรอนโต้ ที่เปลี่ยนทัศนคติในการดูกีฬาบาสเก็ตบอล นับตั้งแต่การมาถึง วินซ์ คาเตอร์


Photo : vanityfair.com

"การเห็นสิ่งที่ วินซ์ คาร์เตอร์ ทำมันทำให้ผมมั่นใจว่าทุกสิ่งสามารถเป็นจริงได้ที่ โตรอนโต้ ชายคนนี้เข้ามาและยกระดับทุกคนในเมืองขึ้นอีกขั้น พวกเราที่โตรอนโต้สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน"   

ออเบรย์ เกรแฮม ชอบดูบาสเก็ตบอลและกีฬาแทบทุกชนิด แต่สิ่งที่เขาฝันคือการเข้าสู่วงการบันเทิง และท้ายที่สุดคือการมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ดังนั้นการเป็นความภาคภูมิใจของ โตรอนโต้ ทำให้ เดรก เองมีแรงขับมากขึ้นเยอะ เขาค่อยเริ่มเส้นทางของตัวเองด้วยการเป็นดาราวัยรุ่นที่รับบท จิมมี บรูกส์ ในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง Degrassi: The Next Generation ในปี 2004 โดยบทบาทของตัวละครนั้นคือการเป็นนักบาสเก็ตบอลที่มีฝีมือก่อนถูกยิงและกลายเป็นอัมพาตจนต้องเลิกเล่น แม้จะเป็นแค่รายการโทรทัศน์แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า แนวทางของ เดรก นั้นเขาตั้งใจจะทำเพื่อให้กำลังใจผู้อื่นเสมอ แม้ว่าตัวเขาเองไม่อาจจะเป็นนักกีฬาได้เหมือนกับ วินซ์ คาร์เตอร์ ก็ตาม


Photo : degrassi.fandom.com

หลังจากเริ่มกรุยทางสายการแสดงจนพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ออเบรย์ เกรแฮม ในช่วงวัยหนุ่มเต็มตัวได้พบกับขุมพลังแห่ง โตรอนโต้ อีกคนนั่นคือ แมทธิว ซามูเอล หรือชื่อวงการคือ "บอย วันดา" (BOI-1Da) โปรดิวเซอร์ชื่อดังของวงการเพลงที่เคยทำเพลง "Work" ให้กับศิลปินอย่าง รีฮานน่า จนขึ้นชาร์จอันดับ 1 ของบิลด์บอร์ดมาแล้ว ซึ่ง "บอย วันดา" ถูกอกถูกใจความสามารถของ เดรก เป็นอย่างมากและนับถือแเบบเป็นน้องชาย ทั้ง 2 คนมีเป้าหมายเดียวกันคือ "โลกต้องซูฮกโตรอนโต้"

"แร็ป" ที่โลกกีฬาเปิดประตูให้

"ไม่ค่อยมีคนที่ไหนให้ความสำคัญกับเรา ไม่ว่าจะเรื่องบาสเก็ตบอลหรือดนตรี … ผมมาจากโตรอนโต้ เราเหมือนกับอยู่ในยุคมืดเลยตอนนั้น" บอย วันดา กล่าว


Photo : earmilk.com

ในช่วงเวลาที่เริ่มสร้างชื่อเสียง บอย วันดา สร้างอีกเพลงให้ดังติดอันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ต นอกจากเพลงของ รีฮานน่า แล้ว เขายังทำให้เพลงของ เดรก ในอัลบั้ม Nothing Was the Same ในปี 2013 ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 เช่นกัน เพียงแต่ในวันที่ เดรก ผงาดค้ำโลกของฮิปฮอป มันคือวันที่ บอย วันดา ภูมิใจและรู้สึกพิเศษยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

คู่หูจากโตรอนโต้ พาเพลงที่ผลิตในแคนาดาโด่งดังและสร้างอิทธิพลเป็นอย่างมาก เดรก กลายเป็นแร็ปเปอร์ที่มีอิทธิพลไปทั่ววงการเขาได้ทำเพลงร่วมกับศิลปินระดับตำนานอย่าง ลิล เวย์น, คานเย่ เวสต์ และ เจย์-ซี รวมถึงได้รับเชิญไปขึ้นโชว์ในงามแกรมมี่เมื่อปี 2010 จากการเข้าชิงในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมและเพลงแร็ปแห่งปี อีกด้วย

การทำงานร่วมกันของสองพี่น้องต่างสายเลือดนั้นเป็นไปอย่างรุ่งโรจน์ เดรก ไม่ใช่แค่แรปเปอร์ชาวแคนาดาอีกแล้วหลังผ่านยุคปี 2010 เป็นต้นมา แต่เขาคือ 1 ในแร็ปเปอร์ที่มีเพลงยอดนิยมในวงกว้างจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกเลยก็ว่าได้

อิทธิพลการเติบโตและตลาดเทรนด์ของผู้คนที่เกิดจากฮิปฮอป ทำให้วงการกีฬาพร้อมเปิดประตูต้อนรับแร็ปเปอร์ เพราะนอกจากเรื่องของความนิยมแล้ว สิ่งที่มาพร้อมกับศิลปินเหล่านี้คือสไตล์ที่จะทำให้แบรนด์กีฬาดูดีขึ้นอีกด้วย และการขึ้นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ แร็พเตอร์ส เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการ RUN วงการร่วมกันของทั้ง 2 สิ่ง โดยในอนาคตมีการคาดกันว่าศิลปินฮิปฮอปหรือแร็ปเปอร์ที่มีฐานแฟนคลับและทรัพย์สินมหาศาลจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของทีมกีฬาในอเมริกาเลยทีเดียว   


Photo : www.slamonline.com

อย่างไรก็ตามนอกจากจะร่ำรวย, มีสไตล์, มีอิทธิพล และ ฐานแฟนคลับแล้ว การจะได้รับการต้อนรับจากโลกของกีฬานั้นจำเป็นต้องมีสิ่งสำคัญที่สุด 1 สิ่ง และหากแร็ปเปอร์คนใดปฎิบัติตามไม่ได้ พวกเขาอาจจะโดนกระแสตีกลับ กฎข้อนั้นคือพวกเขาต้องรักกีฬาชนิดนั้นเสียก่อน ซึ่งทุกข้อที่กล่าวมาจนถึงข้อสำคัญเรียกได้ว่ามันคือส่วนผสมของ เดรก ทั้งหมด  

"คณะกรรมการ NBA อนุญาตให้นักดนตรีเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ พวกเขาอยากได้ไอเดียที่จะทำให้ NBA ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นมากขึ้น" เดรก กล่าวถึงสิ่งที่เขาได้รับมอบหมายหลังจากถูกแต่งตั้งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของทีมที่รักมาตั้งแต่เด็ก

เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้อย่างที่สุด ในระยะหลังโลกกีฬาให้ความสำคัญกับศิลปินระดับเซเลปเป็นอย่างมาก หลายการแข่งขัน หรือหลายทีมกีฬาที่ใช้แร็ปเปอร์เป็นผู้ขับร้องเพลงธีมหลักของพวกเขา นอกจากนี้เพลงไหนก็ตามที่แร็ปเปอร์กล่าวถึงนักกีฬาหรือทีมกีฬาเพลงๆ นั้นก็จะมักจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ อาทิ เพลงของ คานเย เวสต์ ที่ชื่อ “THat Part" โดยมีท่อนหนึ่งที่เขาร้องเชิดชูตำนานนักบาสของ แอลเอ เลเกอร์ส อย่าง โคบี ไบรอันท์ ว่า Walkin’ living legend, I feel like Kobe นอกจากนี้ยังมีเพลงของศิลปินดังอย่าง ทราวิส สก็อตต์ ที่พูดถึง เจมส์ ฮาร์เด้น และแน่นอนเพลงของ เดรก ที่ชื่อว่า Weston Road Flow ที่พูดถึง วินซ์ คาร์เตอร์  

จะเห็นได้ว่าการขมวดจักรวาลดนตรีและกีฬาเข้าด้วยกันต่างทำให้แต่ละจักรวาลอยู่ในสถานะ Win Win กันทั้งหมด ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม หลายๆ สโมสร หรือนักกีฬาดังหลายๆ คนจะมีความสัมพันธ์ทีดีกับเหล่าศิลปินโดยเฉพาะแร็ปเปอร์ พวกเขาจะได้ภาพลักษณ์ที่แสนเท่ และได้ปรากฎในอินสตาแกรมและทวิตเตอร์ของศิลปินเหล่านั้นที่มีฟอลโลเวอร์ระดับหลายล้าน ที่สำคัญคือต่างฝ่ายต่างก็จะสามารถสร้างกลุ่มแฟนคลับใหม่จากกันและกันได้หากต่างฝ่ายต่างสนิทกันไว้เช่นนี้

จากทั้งหมดที่กล่าวมาบอกอะไรเราได้บ้าง? ... คำสาปเดรกมีจริงหรือไม่? คำถามนี้ไม่มีใครตอบได้ แต่การที่เขาตระเวนเดินทางไปยังสนามแข่งขันต่างๆ ย่อมเกิดจากการได้รับเชิญจากสโมสรในฐานะแขกพิเศษเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรากฎตัวอยู่ในเก้าอี้ผู้ชม หรือการเซลฟี่กับนักกีฬาดาวเด่นของทีมนั้น มันส่งผลด้านบวกมากกว่าที่เราคิดอีกเยอะเลยทีเดียว ในหัวของคนที่มองอย่างธุรกิจนั้น เรื่องของคำสาปคือเรื่องไร้สาระที่ไม่อาจหาข้อพิสูจน์ได้ แต่ที่แน่ๆ "แชะเดียวเท่านั้น" กับคนอย่างเดรก ทีมเหล่านั้น หรือนักกีฬาบางคนอาจจะถูกพูดถึงมากกว่าการระเบิดฟอร์มในสนามอีกด้วยซ้ำไป  


Photo : www.givemesport.com

ที่สำคัญที่สุดหากเรามองในมุมกลับจะเห็นได้ว่า นักกีฬาคนใดที่ข้องเกี่ยวกับ เดรก และได้ถ่ายภาพร่วมกันจะถูกบันทึกในฐานะ "ผู้ต้องคำสาป" ชื่อพวกเขาจะมาปรากฎในเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย เพราะ "คำสาปเดรก" คือ 1 ในไวรอลของโลกอินเตอร์เน็ต พวกเขาจะเข้าไปอยู่ในหัวข้ออย่าง "10 ผู้ต้องคำสาป เดรก" ซึ่งเป็นหัวข้อที่แฟนกีฬาและแฟนดนตรีหลายคนให้ความสนใจ หากแฟนๆ เหล่านั้นเลือกคลิกอ่านสักหน่อย พวกเขาจะได้เปิดโลกใบใหม่และได้รู้จักกับ ทีมกีฬาหรือนักกีฬาหลายคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน  เชื่อได้ว่าผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ จอห์นนี้ แมนซีล, ทีมบาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัย เคนตั๊กกี้ ไวลด์แคทส์, ทีมอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัยเคลมสัน ไทเกอร์ส ... ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นชื่อที่แฟนกีฬาหลายคนได้ยินครั้งแรกในวันที่พวกเขาถูกรวมไว้ในผู้รับเคราะห์จากคำสาปเดรกทั้งนั้น

การที่เดรก ถ่ายรูปกับนักกีฬาดังมากมายไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของกระแสและผลประโยชน์ (บนพื้นฐานของความรักกีฬา) ส่วนเรื่องคำสาปนั้นหากมองตามวิทยาศาสตร์มันก็น่าจะพอทำให้คล้อยตามได้บ้าง เพราะเขาก็ไปถ่ายกับทีมนั้นทีมนี้ นักกีฬาของ 2 ทีมที่กำลังจะแข่งกันบ้าง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสที่ภาพถ่ายที่ถ่ายร่วมกับผู้แพ้จะนำมาถูกขยี้่เพิ่มหลังจากการแข่งขันจบลง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการเชียร์ของ เดรก ก็มีบ่อยครั้งที่ทีมๆ นั้นได้รับชัยชนะ เขาดูเกมของ แร็พเตอร์ส มาเป็น 100 เป็น 1,000 เกม ทุกครั้งที่เข้าชม ทีมแร็พเตอร์ส แพ้ทุกครั้งเลยหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ มันก็แค่เรื่องที่เอามาล้อกันเอามาแซวกันให้สนุกปากเท่านั้น


Photo : www.bardown.com

หากเราลองถามคุณเล่นๆ คุณมีทีมฟุตบอลระดับอเมเจอร์อันเป็นระดับต่ำสุดในระบบลีกของไทย แล้ว เดรก ขอมาใส่เสื้อทีมของคุณและถ่ายรูปลงโซเชี่ยลให้ทั่วโลกได้เห็น คุณจะกลัวคำสาปของ เดรก อยู่หรือเปล่า?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook