เจาะเส้นทาง! ลิเวอร์พูล ก่อนก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จารึกชื่อเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2018-19 อย่างเป็นทางการ หลังในเกมรอบชิงชนะเลิศ เป็นฝ่ายเอาชนะ สเปอร์ส ไปได้ 2-0 ที่สังเวียน ว่านต๋า เมโตรโปลิตาโน่ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา
จากชัยชนะในเกมดังกล่าวทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 ซึ่งเป็นสถิติที่ทีมจากเกาะอังกฤษเคยทำได้ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละเกม เราลองย้อนไปดูเส้นทางสู่แชมป์ของพวกเขากัน
ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ามาเล่นในฤดูกาลนี้ด้วยการจบอันดับที่ 4 ในลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้คว้าสิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติอยู่ในกลุ่มซี ร่วมกับ เปแอสเช จากฝรั่งเศส, นาโปลี ของอิตาลี และ เซอร์เวน่า ซเวซด้า จากเซอร์เบีย
หนทางในรอบแบ่งกลุ่มไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อพวกเขามีผลงานในการเล่นเป็นทีมเยือนสุดย่ำแย่แพ้รวดทั้ง 3 เกม ทำให้ต้องไปลุ้นเข้ารอบในเกมสุดท้ายที่พบกับ นาโปลี ก่อนเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ซึ่งทำให้สถานการณ์พลิกกลับมาทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบแบบหวุดหวิด ด้วยการมี 9 คะแนนเท่ากับ นาโปลี แม้เฮดทูเฮดจะเท่ากันแต่ "พลพรรคหงส์แดง" ประตูยิงได้มากกว่า เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ตามแชมป์กลุ่มอย่าง เปแอสเช ที่เก็บไปได้ 11 คะแนน
ผลงานในรอบแบ่งกลุ่มของ ลิเวอร์พูล
18/09/18 ชนะ เปแอสเช 3-2 (เหย้า)
03/10/18 แพ้ นาโปลี 0-1 (เยือน)
24/10/18 ชนะ เซอร์เวน่า ซเวซด้า 4-0 (เหย้า)
06/11/18 แพ้ เซอร์เวน่า ซเวซด้า 0-2 (เยือน)
28/11/18 แพ้ เปแอสเช 1-2 (เยือน)
12/12/18 ชนะ นาโปลี 1-0 (เหย้า)
การทะลุผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ทำให้ ทีมดังจากเมอร์ซีย์ไซด์ ต้องเจองานยากเมื่อต้องพบกับ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค โคตรบอลจากบุนเดสลีกา เยอรมนี ที่ผ่านเข้ารอบมาเป็นแชมป์กลุ่มอี ซึ่งเกมนัดแรกที่ลงเล่นในบ้านจบลงด้วยผลเสมอ 0-0
นั่นทำให้สถานการณ์ไม่สู้ดีนักเมื่อต้องออกไปเล่นเป็นทีมเยือนในเกมนัดสอง แต่ ลิเวอร์พูล ก็โชว์เพลงแข้งสะท้านเมืองเบียร์เมื่อไล่ยิงเจ้าถิ่นไปแบบไม่ไว้หน้า 3-1 ทำให้สกอร์รวมพวกเขาตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมได้อีกครั้ง โดยจะผ่านเข้าไปพบกับ เอฟซี ปอร์โต้ อดีตแชมป์ยุโรป 2 สมัยจากโปรตุเกส
รอบ 8 ทีมสุดท้าย "หงส์แดง" ลงเล่นด้วยความมั่นใจก่อนเปิดบ้านตุนความได้เปรียบ 2-0 เหนือคู่แข่ง ก่อนที่นัดสองจะบุกไปไล่ถล่ม ปอร์โต้ 4-1 ถึงถิ่น เอสตาดิโอ ดราเกา ทำให้รวมสองนัด กรุยทางผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์ 6-1 อย่างไรก็ตามด่านต่อไปของพวกเขาคือ บาร์เซโลน่า ที่ตบ "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้แบบเหย้า-เยือน ด้วยสกอร์รวม 4-0
เส้นทางของ ลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะยุติเพียงแค่รอบรองชนะเลิศ หลังบุกไปโดน บาร์เซโลน่า อัดยับคาคัมป์ นู 3-0 ทำให้โอกาสผ่านเข้ารอบดูริบหรี่เสียเหลือเกิน ต้องเอาชนะให้ได้ 4-0 หรืออย่างน้อย 3-0 เพื่อไปยื้อในช่วงต่อเวลา แถมเกมสำคัญอย่างนี้ยังไร้ชื่อของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ สองดาวยิงตัวเก่งของทีม
แต่ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยยอมแพ้จนกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีดยาว เมื่อจัดการเปิดแอนฟิลด์ไล่ยิง "ทัพอาซูลกราน่า" ไปแบบเหลือเชื่อ 4-0 โดยได้ประตูจาก ดิว็อค โอริกี้ และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ที่เหมาทำคนละสองประตู พลิกสถานการณ์ให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้แบบไม่มีใครคาดคิดด้วยสกอร์ 4-3
จากชัยชนะสุดเหลือเชื่อเหนือ บาร์เซโลน่า ทำให้พวกเขาเดินหน้าผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เป็นปีที่สองติดต่อกัน หลังครั้งที่แล้วต้องอกหักแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ไป 1-3 แต่กับหนนี้พวกเขาเริ่มต้นด้วยดีเพียงแค่นาทีที่ 2 ของเกมก็มาได้ประตูออกนำ สเปอร์ส 1-0 จากการสังหารลูกจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ก่อนที่จะมาปิดเกมได้สำเร็จในนาทีที่ 87 จากลูกยิงสุดเด็ดขาดของ ดิว็อค โอริกี้ ดาวยิงตัวสำรองที่ซัดด้วยซ้ายเสียบโคนเสาเข้าไปเป็นการตอกย้ำชัยชนะ 2-0 ให้กับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล พร้อมทั้งส่งให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ หลังต้องใช้เวลารอคอยมายาวนานถึง 14 ปี
อัลบั้มภาพ 97 ภาพ