ความผิดหวังที่คุ้มค่า : "เดอะ ร็อค" กับความล้มเหลวใน NFL

ความผิดหวังที่คุ้มค่า : "เดอะ ร็อค" กับความล้มเหลวใน NFL

ความผิดหวังที่คุ้มค่า : "เดอะ ร็อค" กับความล้มเหลวใน NFL
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เชื่อว่าคนที่เป็นแฟนมวยปล้ำคงไม่มีใครรู้จัก เดอะ ร็อค หรือ ดเวย์น จอห์นสัน เพราะเขาคือนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ด้วยการคว้าแชมป์ WWE ถึง 7 ครั้งและแชมป์แท็กทีมอีก 5 ครั้ง

นอกจากเส้นทางบนสังเวียนผ้าใบแล้ว เดอะ ร็อค ยังมีฝีไม้ลายมือในการแสดงที่ยอดเยี่ยม ด้วยการฝากฝากผลงานไว้ในหนังดังอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทของ ลุค ฮ็อบบ์ส เจ้าหน้าที่สอบสวนในแฟรนไชส์ The Fast and the Furious ที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก

 

บทบาทในเรื่องดังกล่าวยังต่อยอดทำให้เขากลายเป็นนักแสดงดังที่มีค่าตัวมหาศาล ปี 2016 อดีตนักมวยปล้ำคนดังของ WWE ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Forbes นิตยสารการเงินชื่อดัง ด้วยรายได้รวม 64.5 ก่อนที่ปี 2017 แม้จะรั้งอันดับ 2 แต่กลับมีรายได้สูงถึง 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมยังมีถ่ายภาพยนตร์ระดับบล็อคบัสเตอร์ ที่เข้าคิวรอถ่ายยาวไปจนถึงปี 2020      

อย่างไรก็ดี แม้ว่าชีวิตของ เดอะ ร็อค จะดูสดใส เพราะนอกจากประสบความสำเร็จในชีวิตมวยปล้ำแล้ว เส้นทางในฮอลลีวูดยังรุ่งโรจน์สุดขีด แต่ครั้งหนึ่งเขากลับต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในเส้นทางที่เขารักและใฝ่ฝันอย่างอเมริกันฟุตบอล เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยมีวันลืมจนถึงทุกวันนี้

นักเลงหัวไม้

ย้อนกลับไปเกือบ 50 ปีก่อน ณ เมืองเฮย์เวิร์ด เมืองในอ่าวซานฟรานซิสโก ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ครอบครัวจอห์นสัน ได้มีโอกาสต้อนรับสมาชิกคนใหม่ พวกเขาตั้งชื่อหนูน้อยคนนี้ว่า ดักลาส ดเวย์น จอห์นสัน

 1

เด็กชายจอห์นสัน เติบโตขึ้นมาในครอบครัวของนักสู้ พ่อของเขาคือ ร็อคกี้ จอห์นสัน เจ้าของฉายา Soul Man นักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่คว้าแชมป์แบบแท็กทีมได้สำเร็จ ส่วนคุณตาคือ ปีเตอร์ มายเวียร์ นักมวยปล้ำเชื้อสายซามัว และยังสนิทสนมกับครอบครัวอานัวอี ซึ่งเป็นครอบครัวชาวอเมริกัน-ซามัวที่ยึดกีฬามวยปล้ำเป็นอาชีพ

ด้วยการที่พ่อและตาของเขาเป็นนักมวยปล้ำ จอห์นสัน จึงมักจะถูกเด็กเข้ามาลองดีอยู่เสมอ ในช่วงมัธยมปลาย เขามีเรื่องท้าตีท้าต่อยจนถูกจับมาแล้วหลายครั้ง แถมยังเคยฉกชิงวิ่งราวและฉ้อโกงจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว

อย่างไรก็ดี เนื่องจากในยุคนั้นกีฬามวยปล้ำยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ทำให้ครอบครัวของเขามีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างยากลำบาก พ่อของเขาเคยถูกไล่ออกจากที่พักเนื่องจากไม่มีเงินจ่าย แถมตัวเขาเองยังจำเป็นต้องย้ายโรงเรียนบ่อยครั้ง เพื่อตามพ่อที่ต้องไปแข่งตามสถานที่ต่างๆ

และที่ โรงเรียนมัธยมปลายฟรีดอม ของเมืองเบธเลเฮม รัฐเพนซิลเวเนีย โรงเรียนมัธยมปลายแห่งที่ 4 ในตลอด 3 ปีของชีวิตไฮสคูล ก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป

อเมริกันฟุตบอลเปลี่ยนชีวิต

แม้จะย้ายโรงเรียนมานับครั้งไม่ถ้วนแต่พฤติกรรมของ จอห์นสัน ก็ยังไม่เปลี่ยนไป ที่ผ่านมาห้องครูใหญ่ (เปรียบเสมือนห้องปกครองของนักเรียนไทย) เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา เขามีเรื่องไม่หวาดไม่ไหวจนอาจารย์ในโรงเรียนระอา

 2

และที่ฟรีดอม เพียงแค่ 2 สัปดาห์ เขาก็เริ่มก่อเรื่องเสียแล้ว ครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก จอห์นสัน ไม่ชอบกลิ่นอันแสนเหม็นหึ่งของห้องน้ำนักเรียนชาย จึงแอบไปใช้ห้องน้ำของอาจารย์ ครูเข้ามาเตือนว่าใช้ไม่ได้แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ จนครูต้องบอกว่า “นายรีบไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”

เสียงนั้นประทับเข้าไปในโสตประสาท น้ำเสียงของครูทำให้จอห์นสัน นึกถึงคนเฒ่าคนแก่ในครอบครัว เขาเคยได้รับการสั่งสอนว่าคนที่ไม่เคารพยำเกรง จะต้องถูกเล่นงานอย่างหนัก จอห์นสัน พยายามตามหาเขา และรู้ว่าครูคนนี้ชื่อว่า โจดี ชวิค

เขาเข้าไปขอโทษครูชวิค ซึ่งตัวครูเองก็เห็นแววในตัวจอห์นสัน จึงได้ชวนเขามาเล่นในทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียน และมันก็ทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  

“ผมขอโทษที่ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นลงไป” จอห์นสันกล่าวกับ Sports Illustrated และหัวเราะกับความทรงจำ

“ผมไม่ได้อยากเป็นเด็กแบบนั้น เขาจับมือผมเอาไว้และไม่ยอมให้ผมไป เขาบีบมืออย่างแรง และเขามองมาที่ตาผมแล้วพูดว่า ‘ลูกชาย ฉันอยากให้นายออกไปข้างนอกและเล่นฟุตบอลให้ฉัน’ มันเป็นวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป”  

อเมริกันฟุตบอลช่วยให้ จอนห์สัน เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เขาเริ่มมีแนวทางและระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตที่ขาดหายมานาน ชวิค กลายเป็นผู้ชายที่มีอิทธิพลสำหรับตัวเขา เนื่องจากพ่อของเขามักจะไม่อยู่บ้าน เพราะต้องตระเวนไปแข่งในที่ต่างๆ

ด้วยส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว และน้ำหนักถึง 225 ปอนด์ บวกกับนิสัยดุดันและร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำให้เขากลายเป็นนักอเมริกันฟุตบอลดาวรุ่งที่น่าจับตามองในตอนนั้น โดยตำแหน่งที่เขาถนัดคือตำแหน่ง Defensive tackle

 3

“ผมตกหลุมรักในเกม จริงๆมันเป็นอะไรมากกว่านั้น มันมอบเป้าหมายให้กับชีวิตของผม”

“โค้ชชวิค นั่งลงและพูดว่า ‘ฟังนะ ครอบครัวนายก็ไม่ได้มีเงินมากมาย เกรดของนายก็อยู่กลางๆ ถ้านายจะออกไปจากเมืองนี้และทำให้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิม ฟุตบอลคือยานพาหนะคันนั้น’”

“เขาอธิบายวิธีที่ทำให้ได้ทุน และนั่นก็เปลี่ยนปรัชญาในการใช้ชีวิตของผมไปหมดเลย ตอนนั้นผมมีโอกาสเป็นคนแรกของครอบครัวที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัย ผมหมกมุ่นเพื่อทำให้มันเป็นจริง”

แววเด่นของจอห์นสัน ทำให้เขาได้รับการเสนอทุนจากทั้งจากมหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท, แคลิฟอร์เนีย, เคลมสัน, ฟลอริดา และมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยไมอามี

และมันก็เป็นที่ทำให้ความฝันครั้งแรกของเขาต้องจบลง

มหาวิทยาลัยวัยฝัน

ช่วงเวลาที่จอห์นสัน เข้าไปเรียนที่ไมอามี ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของทีมอเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ไมอามี เฮอร์ริเคนส์ เพิ่งจะคว้าแชมป์ระดับชาติมาถึง 2 ครั้งในรอบ 4 ปี (1987, 1989)

 4

และดิววี (ชื่อที่เพื่อนเรียกเขาในมหาวิทยาลัย) ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจได้ทันทีตั้งแต่ลงเล่น เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งคนเดียวที่ได้ลงไปทำผลงาน เขาอาจจะไม่ใช่คนกระฉับกระเฉง แต่การเข้าปะทะอย่างดุดันก็สร้างประโยชน์ให้ทีมนับครั้งไม่ถ้วน ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้อีกสมัยในปี 1991

“เขาเอาตัวรอดได้ดี เขาแข็งแกร่ง เขาสามารถใช้มือของเขาดึงรั้งไว้ มันเหนียวมากราวกับตอกตะปูไว้ เขาทำงานหนักมาก” เอ็ด โอเรกอน อดีตโค้ชฝ่าย Defensive line ของไมอามีในช่วงปี 1988-92 กล่าวกับ Sports Illustrated

“ดิววี เป็นนักอเมริกันฟุตบอลอย่างแท้จริง ผมคิดว่าเขามีโอกาสได้รางวัล ออลล์ อเมริกัน”  

 5

ในขณะที่ เลออน เซียรี ที่เคยเล่นตำแหน่ง Offensive Tackle ให้กับไมอามีในช่วงปี 1987-1991 และได้เล่นใน NFL อยู่ 10 ฤดูกาล ก็ยืนยันว่าความสามารถของเดอะ ร็อค อยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา

“มาตรฐานของไมอามีสูงมาก หากคุณจำ วอร์เรน แซปป์ ได้ ตอนปี 4 ไม่มีใครหยุดเขาได้ ดังนั้นร็อคจึงมีพวกผู้เล่นพรสวรรค์มากมายรอบตัวเขา ที่ทำให้เขาต้องพัฒนาตัวเองให้ทัดเทียมให้ได้” เชียรีอธิบายกับ Bleacher Report

“ดิววีทรหดมาก คุณทำให้เขาช้าลงไม่ได้เลย ทุกๆการฝึกซ้อม เขาทำได้เร็วมาก 100 ไมล์ต่อชั่วโมง (44.7 กม) ซึ่งเป็นสิ่งที่โค้ชชอบมาก ผมคิดว่าเขาบ้า แต่เขามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง”

อย่างไรก็ดี ขณะที่อนาคตกำลังไปได้สวย แต่ในการฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายของการฝึกซ้อม 2 วัน จอห์นสันได้รับบาดเจ็บหัวไหล่ซ้ายฉีกจนต้องผ่าตัด เพื่อถมช่องว่างในตำแหน่งที่หายไป โค้ชจึงต้องหาคนใหม่ และเป็น วอร์เรน แซปป์ ที่เข้ามาแทนที่เขา

 6

“ผมไปที่นั่นและนั่งลงที่ห้อง D-lineman ดิววีก็เข้ามาและพูดว่า ‘แกมาทำอะไรที่นี่?’ ผมมองไปที่เขาและพูดว่า ‘ข้ามาที่นี่เพื่อทำงานของแก ไอห่า’” แซปป์ย้อนความหลังกับ Bleacher Report

จากนั้นชีวิตที่เหลือในมหาวิทยาลัยของจอห์นสัน ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของ แซปป์ ที่โดดเด่นจนคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์และถูกบรรจุเข้าหอเกียรติยศ NFL ในเวลาต่อมา ในขณะที่ตัวเขาต้องผ่าตัดหัวเข่าอีก 4 ครั้ง จนทำให้พัฒนาการที่ควรจะเป็นต้องหยุดชะงัก และหลุดจากทีมชุดใหญ่

จอห์นสัน จบชีวิตมหาวิทยาลัยด้วยสถิติ 78 แทคเกิล แต่ไม่มีทีมใน NFL ทีมไหน สนใจดราฟต์ตัวเขาไปเล่น เขาทิ้งความภาคภูมิใจไว้ข้างหลัง และตัดสินใจไปเล่นใน แคนาเดียน ฟุตบอลลีก ลีกอเมริกันฟุตบอลของแคนาดา กับทีมแคลการี สแตมพีเดอร์ส

และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องฝันสลาย

มุ่งสู่ CFL

หลังจากไม่ได้ถูกดราฟตัวใน NFL ในปี 1994 จอห์นสันก็ย้ายมาเล่นให้ สแตมพีเดอร์สในปี 1995 แม้จะเป็นลีกแคนาดา ที่มาตรฐานอาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับลีกอเมริกัน แต่ผลงานของทีมในตอนนั้นก็ไม่ได้เลวร้าย พวกเขาเพิ่งจะคว้าแชมป์เกรย์คัพ (แชมป์ลีก) มาครองเมื่อปี 1992

 7

“เราไม่ได้แพ้เยอะ เราชนะถ้วยเกรย์คัพ และน่าจะชนะตั้ง 5 ครั้ง” วิลล์ จอห์นสัน อดีตเพื่อนร่วมทีมสแตมพีเดอร์สที่เคยเล่นให้ทีมในช่วงปี 1989-1996 กล่าวกับ Bleacher Report

ตอนที่จอห์นสันมาร่วมทีม ในตำแหน่งแนวรับทีมมีผู้เล่นอย่าง วิลล์ จอห์นสัน และ เคนนี วอล์คเกอร์ ที่ต่างมีประสบการณ์ใน CFL และ NFL มาก่อน นั่นจึงทำให้ เดอะ ร็อค ต้องพบกับงานยากตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

“คุณเข้ามาในฐานะรุกกี้ คุณมีเวลา 3 สัปดาห์ที่จะเอาตำแหน่งของคนอย่าง วิลล์ ที่เล่นเกมอาชีพมาแล้ว 150 เกมและอายุมากกว่าคุณ 8 ปี รู้ในสิ่งที่เขาทำ รู้เรื่องเกม นั่นคือการแข่งขันที่ร็อคต้องเผชิญ” วอลลี บูโอโน อดีตโค้ชของสแตมพีเดอร์สอธิบาย

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่จอห์นสันต้องเผชิญ เนื่องจากระบบลีก CFL มีกติกาและรูปแบบการเล่นที่ต่างจาก NFL หรือ NCAA (ระดับมหาวิทยาลัย) อยู่พอสมควร ทำให้เขาต้องปรับตัวอย่างมากกับรูปเกมแบบใหม่

อย่างไรก็ดี อุปสรรคที่แท้จริงของเขาไม่ใช่วิธีการเล่น หรือความสามารถ แต่เป็นกฎของ CFL ผู้จัดการทีมต้องใส่ตัวเลขที่แน่นอนสำหรับผู้เล่นท้องถิ่นและผู้เล่นต่างชาติ โดยปัจจุบันใช้สัดส่วน 21:20:3 นั่นคือผู้เล่นท้องถิ่น 21 คน ต่างชาติ 20 และอีก 3 ควอเตอร์แบ็ค

“คุณต้องเก็บผู้เล่นไว้โดยดูที่สัญชาติมากกว่าความสามารถของพวกเขา อเมริกันต้องแข่งกับอเมริกัน แคนาดาต้องแข่งกับแคนาดา และไม่ค่อยที่จะมีคนอเมริกันชนะคนแคนาดาได้”

และเป็นโชคร้ายสำหรับจอห์นสัน ที่ตำแหน่งของเขามีผู้เล่นชาวแคนาดามากพรสวรรค์อยู่มากมาย เขาอยู่กับทีมได้เพียงแค่ราว 2 เดือนก็ถูกตัดตัวออกจากทีมอย่างน่าเศร้า

ความฝันที่จะได้เล่นเป็นผู้เล่นอเมริกันฟุตบอลของเขา สลายลงในพริบตา

จบ... เพื่อเริ่มใหม่

ในวันที่โดนตัดออกจากทีม จอนห์สันเหลือเงินติดตัวเพียงแค่ 7 ดอลลาร์สหรัฐ ชีวิตในตอนนั้นมืดมนมาก เขารู้สึกเศร้าและสิ้นหวัง อีกทั้งยังต้องหย่าร้างกับภรรยาคนแรก เรียกได้ว่าชีวิตในตอนนั้นย่ำแย่สุดขีด

“ความฝันที่เคยมี ทุกอย่างพังทลาย ไม่ใช่เฉพาะฟุตบอล ความรักของผมก็พังเช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม” เดอะร็อค ย้อนความหลัง

 8

จอห์นสัน ที่สิ้นหวังตัดสินใจหันเหเข้าสู่วงการมวยปล้ำที่ครอบครัวเขาถนัด ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พ่อเขาเลิกเล่นพอดี จึงได้ครูชั้นดีมาเป็นผู้สอน เขาใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายปีก่อนจะได้โชว์เป็นครั้งแรกในปี 1996

เขาใช้ชื่อว่า ร็อคกี้ มายเวียร์ โดยเป็นการใช้ชื่อพ่อและชื่อตามาผสมกัน และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถครองใจแฟนมวยปล้ำได้สำเร็จ ด้วยบุคลิกที่ยียวน และท่าไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ในท่า “ศอกมหาชน” (People’s Elbow) และ “ร็อคบ็อตทอม”  

 9

เดอะ ร็อค กลายเป็นฉายาใหม่ของเขา และสามารถเดินหน้ากวาดความสำเร็จมาครองได้มากมาย ทั้งแชมป์โลกของ WWE 7 สมัย แชมป์โลก WCW 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์โลกแท็กทีมของ WWE 5 สมัย

ความโด่งดังในวงการมวยปล้ำยังเป็นสะพานให้เขาก้าวสู่เส้นทางฮอลลีวูด หลังจากได้รับเชิญในบทราชาแมงป่อง ในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Mummy Returns เขาก็ได้มีโอกาสแสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง และตัดสินใจเลิกปล้ำในปี 2004

ก่อนที่ในปี 2011 จอห์นสัน จะโด่งดังจากบท ลุค ฮ็อบส์ ศัตรูคู่รักของ โดมินิก โทเรตโต ในเรื่อง Fast Five ที่เป็นบันไดทำให้เขากลายเป็นนักแสดงค่าตัวแพงเป็นอันดับต้นๆของโลกในเวลาต่อมา

จอห์นสันยอมรับว่าการที่เขาไม่ได้เดินต่อในเส้นทางของนักอเมริกันฟุตบอล ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก แต่มันก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากลายมาเป็น “ดเวย์น จอนห์สัน” ในทุกวันนี้ เขายังรู้สึกซาบซึ้งในตัวโค้ชวอลลี บูโอโน ที่ตัดตัวเขาออกจากทีม

“เขา (วอลลี) คือผู้ให้คำปรึกษาของผม แต่ในที่สุดเขาก็ตัดผมออกจากทีม มันเป็นช่วงเวลาที่ชัดเจน และผมก็รู้สึกซาบซึ้งในผู้ชายคนนี้ ผมรู้สึกซาบซึ้งที่ได้ลงเล่นในสนามนี้”

“บางครั้งสิ่งที่คุณต้องการอย่างมากมาย เป็นความฝันในชีวิตของคุณ มันไม่เกิดขึ้น และบางครั้งมันก็คือสิ่งทีดีที่สุดที่เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย”

“สำหรับผม การได้เล่นใน NFL คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้น ผมอยากขอบคุณ CFL ผมอยากขอบคุณวอลลีและมากๆ”

 10

ย้อนกลับไปในปี 2012 จอห์นสันได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์เป็นของตัวเองในชื่อ Seven Bucks Productions โดยที่มาของชื่อมาจากตอนที่เขาเหลือเงินติดตัวเพียงแค่ 7 เหรียญในวันที่ถูกตัดออกจากทีมสแตมพีเดอร์ส

มันคือประสบการณ์ที่เขาไม่เคยลืม ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจสำคัญ คือจุดจบของความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตจริงที่เป็นตัวเขาในตอนนี้

“สำหรับทุกคนบนโลกในนี้ จงทำงานหนักต่อไป เพราะบางทีสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ความฝันอันยิ่งใหญ่ของคุณไม่ได้เป็นจริง” จอห์นสัน ทิ้งท้าย

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ ความผิดหวังที่คุ้มค่า : "เดอะ ร็อค" กับความล้มเหลวใน NFL

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook