หรือเขี้ยวทไวไลท์ จะจบที่ภาค3
องคุลิมาลยังกลับใจ แล้วคุณเป็นใครไม่กลับตัว ?? คำสอนนี้ อาจจะใช้ได้กับ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงจอมกัด (หรือเปล่านะ)
หากใครเป็นแฟนหนังเรื่อง “Twilight” ภาพยนตร์ชื่อดังจากฝั่งฮอลลีวู้ด ก็คงได้แต่นั่งเปิด CD, DVD หรือ เว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ เพื่อเปิดดูตำนานหนังแวมไพร์เรื่องนี้ ไว้เก็บภาพความทรงจำเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่ง (หากเป็นผู้หญิง) อาจจะเคยปลื้ม "โรเบิร์ต แพททินสัน", "เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์" มากๆ แต่ (หากเป็นชาย) คงจะปลื้ม "คริสเตน สจ๊วร์ต" นางเอกของเรื่องไม่น้อย
ทว่าโยกย้ายมาที่ฝั่งวงการลูกหนัง เราอาจจะไม่ได้เห็นหนังภาคต่อของ "เจ้าของเขี้ยว" แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่มีให้เห็นถึง 3 ภาค อีกแล้ว ก็เป็นได้
"ผมยอมรับกับบทลงโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอล 4 เดือน แต่ผมก็จะมีความเป็นมืออาชีพพอ ที่ผ่านมาผมพยายามลืมเรื่องในเกมที่เจอกับ อิตาลี มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเหลือเกิน แต่อยากจะบอกแฟนบอลทุกคนว่าไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะผมจะไม่มีวันทำ'แบบนั้นอีกครั้ง'..”
นี่เป็นคำพูดของผู้ร้ายกลับใจที่ชื่อว่า ซัวเรซ หลังไปโชว์วีรกรรมที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในวงการลูกหนัง ด้วยการใช้เขียวฟันคู่หน้าอันแหลมคม เฉาะเข้าไปหัวไหล่ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี แบบเห็นชัดเป็นรอย ในศึก ฟุตบอลโลก 2014 ที่ผ่านมา
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ "คิงหลุยส์" หรอกนะครับ ที่ใช้ฟันจอมคู่หน้าอันแหลมคมไล่กัดคู่แข่ง ยามที่ตัวเองฟิวส์ขาด ... เพราะ "เขี้ยวทไวไลท์" มันมีมาก่อนหน้านี้ถึง 2 ภาค และมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ไปในทางด้านลบ เพราะพาดหัวข่าวทุกสำนักทั่วโลก ต่างเล่นข่าว "คิงหลุยส์" กันแทบจะทุกวัน ในช่วงที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
รวมมิตร หลุยส์ ซัวเรซ กับการกัดสยองโลก
ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มเหตุการณ์ "เขี้ยวทไวไลท์" ภาคแรก นับว่าหนังเรื่องนี้ยังเปิดตัวไม่โด่งดังมากนัก เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะสมัยนั้น ซัวเรซ ยังอยู่กับ อาแจ็กซ์ (ต้องบอกก่อนว่า อาแจ็กซ์ ไม่ได้มีผู้คนติดตามเท่ากับเมื่อก่อนอีกแล้ว) จึงยังไม่ได้โดนโจมตีมาก
อย่างไรก็ตาม ภาคแรก เปิดตัวดังกระหึ่มในประเทศฮอลแลนด์ ก็เพราะ อาแจ็กซ์ เป็นลีกในลีก "กันหัน"
ซัวเรซ จัดการเปิดฉากหนังพฤติกรรมสุดฉาวของตัวเอง ด้วยการไปกัด อ็อตมาน บัคคาล อดีตนักเตะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ตรงบริเวณไหปลาร้า จนถูกแบนไปทั้งสิ้น 7 เกม เพื่อลงโทษกับพฤติกรรมครั้งนี้
แม้จะเปิดตัว "เขี้ยวทไวไลท์" ภาคแรก ไม่ค่อยสวย แต่กระนั้นภาค 2 ที่ ซัวเรซ ย้ายฉากการถ่ายทำมาวาดลวดลายบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในลีกที่มีผู้คนติดตามมากที่สุดในโลก ต้องบอกว่าโด่งดังเป็นพลุแตกสุดๆ
หลัง ซัวเรซ งัดอาวุธประจำกายออกใช้อีกครั้ง ด้วยการใช้ "ฟันหน้าคู่อันแหลมคม" ไปงับไหล่ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช กองหลัง เชลซี คราวนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาสื่อแดน "ผู้ดี" ที่ต่างพาดหัวข่าวโจมตีชนิดสวดยับกับพฤติกรรมครั้งนี้ สุดท้ายแม้จะรอดจากสายตาผู้ตัดสินในเกม แต่ไม่รอดจาก "ภาพช้า" โดน "เอฟเอ" สั่งแบนไปยาวๆถึง 10 นัด
การกัดครั้งนี้ยังได้รับการปกป้องจาก "หงส์แดง" และ แฟนบอล ที่คอยยืนเป็นป้อมปราการ เพื่อกีดกันเรื่องทุกๆ อย่างที่โถมเข้าหา ซัวเรซ
ช็อตนี้ ทำให้ทุกคนตราหน้าว่าเป็นหลุยส์จอมกัด
และสุดท้าย ซัวเรซ ก็ออกมาบรรจงคำขอโทษผ่านตัวหนังสื่อในโลกออนไลน์ ผ่าน "ทวิตเตอร์" ว่า "ผมรู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมต้องขอโทษ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ด้วย และผมขอให้แฟนบอลทั่วโลกให้อภัยกับพฤติกรรมอันย่ำแย่ของผม ผมเสียใจจริงๆ"
ดูเหมือนคำพูดนี้ของ ซัวเรซ มันน่าจะปิดฉากจบลงด้วยเขี้ยวทไวไลท์ภาค 2 เพราะเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในสนามไปอย่างสิ้นเชิง ลูกตุกติก แทบไม่เห็น เรื่องพุ่งล้มแทบไม่มี ส่วนเรื่องการกัดนี่ ลืมไปได้เลย !
แต่ไม่น่าเชื่อว่าผ่านไป 1 ปี ซัวเรซ ได้เปิดมหากาพย์ "เขี้ยวทไวไลท์" ภาคที่ 3 ออกมาสู่สายตาประชาชน คราวนี้ต้องบอกว่า "คิงหลุยส์" เลือกโปรโมทต์จังหวะของหนังภาคต่อได้ถูกที่ถูกเวลา กับการแข่งขันใน ฟุตบอลโลก 2014 ถูกสื่อพาดหัวเล่นงานหนักยิ่งกว่าภาคที่ 2 เสียอีก (ถึงขึ้นมีการมาแฉเลยว่าเป็นพวกมีเก็บกด หรือ มีอาการทางจิตหรือเปล่า)
เชื่อเหลือเกินว่าผู้คนทั่วโลกคง "อาจจะ" ไม่ได้จดจำ ซัวเรซ ในฐานะดาวยิงถล่มประตู แต่เป็นเพียงดาวเตะฟันจอบ ที่เหมือนเป็นตัวตลกสิ้นดี ที่คอยวิ่งไล่กัดคู่แข่งเท่านั้น !
ถึงกระนั้น "บาร์เซโลน่า" ที่ยังเชื่อมั่นทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ ซื้อตัวนักเตะรายนี้ มาจาก ลิเวอร์พูล พร้อมกับคำมั่นสัญญาให้ "คิงหลุยส์" ขอโทษกับ พฤติกรรมที่ไปกัดใส่ คิเอลลินี่ และพวกเขาจะดำเนินการลดหย่อนโทษให้
ถึงแม้ "เจ้าบุญทุ่ม" จะลดโทษ 4 เดือนของ ซัวเรซ ไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ให้ ดาวเตะจอมกัด กลับมาฝึกซ้อมร่วมกับทีมได้ และเปิดตัวกับสโมสรอย่างเป็นทางการได้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่ง ซัวเรซ ก็ลั่นทันทีว่า "จะไม่มีวันประพฤติตัวกัดคู่แข่งอีกแล้ว" เพื่อเป็นการปิดฉาก "เขี้ยวทไวไลท์" ที่ภาค 3
หากแต่ผมไม่ได้เชื่อคำพูดของ ซัวเรซ ครั้งนี้ สักเท่าไหร่นะ เพราะเขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่พร้อมจะทำทุกอย่างๆในสิ่งที่ผู้คนไม่คาดคิด ทั้งการยิงประตูมหัศจรรย์, การแอสซิสต์งาม, จังหวะ "แตะลอดขา" หรืออาจจะไล่กัดคู่แข่งอีกก็ได้
ซัวเรซ จะพ้นโทษแบน กลับมาลงสนามให้กับ "บาร์ซ่า" เป็นครั้งแรก ในวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งจะพบกับ เรอัล มาดริด พอดิบพอดี ประจบเหมาะที่จะได้ดูการดวลระหว่าง "คิงหลุยส์" กับ เปเป้ แล้วมารอดูกันว่า "เอ็ดเวิร์ด" แห่งถิ่น คัมป์ นู จะมี "เขี้ยวทไวไลท์ ภาค 4" มาให้ชมกันต่อหรือไม่
HaiiHowdy-