พนักงานแบงค์สู่แชมป์ยุโรป : จงใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนให้ได้อย่าง "ซาร์รี่"

พนักงานแบงค์สู่แชมป์ยุโรป : จงใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนให้ได้อย่าง "ซาร์รี่"

พนักงานแบงค์สู่แชมป์ยุโรป : จงใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนให้ได้อย่าง "ซาร์รี่"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อิตาลี คืออีกประเทศหนึ่งในโลกนี้ที่ให้ความสำคัญกับฟุตบอลและอุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีจากการมีลีกอาชีพรองรับ และเมื่อมันเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มชาวอิตาเลี่ยนหลายคนฝันถึงการจะได้สวมยูนิฟอร์มของทีมยักษ์ใหญ่ รับเงินก้อนโต ประสบความสำเร็จ และกลายเป็นคนดังกันทั้งนั้น

ทว่าความจริงแล้วชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น "ความยิ่งใหญ่" ที่กล่าวไปข้างต้นคือการมองไปที่ยอดของภูเขาเท่านั้น เพราะมีหลายคนที่พยายามปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ตกลงมา ซึ่งปลายทางของผู้ร่วงหล่น คือ พวกเขาต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน "ตื่นนอน-ทำงาน-เข้านอน" และรอรับเงินค่าตอบเเทน

หนึ่งในผู้ประสบเหตุการณ์ชีวิตเช่นนี้คือ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือที่เพิ่งพาเชลซีคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีกไปสดๆร้อนๆ และนี่คือเรื่องรางของอดีตพนักงานธนาคารที่ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนได้คุ้มค่าที่สุดในโลก

ชะตาอย่าให้ใครมากำหนด

เขาเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อเป็นช่างในบริษัทเหล็กแห่งหนึ่ง และมีแม่เป็นแม่บ้าน เด็กชายเมาริซิโอ เป็นคนฉลาด เรียนหนังสือเก่ง ดังนั้นเมื่อเขายิ่งเติบโตขึ้น พ่อและเเม่จึงหวังว่าลูกชายคนนี้จะเลือกเอาดีด้านการศึกษาและกลายเป็นบุคลากรในระดับบริหารในอนาคต


Photo : lifebogger.com

ซาร์รี่ เองเป็นคนที่ว่าง่าย พ่ออยากให้เรียนเขาก็เรียน แถมยังเรียนอย่างตั้งใจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทิ้งฝันของตัวเองในเวลาเดียวกัน เพราะ ซาร์รี่ พยายามจะเป็นนักฟุตบอลเพื่อหาโอกาสไปเล่นในระดับเซเรีย อา ให้ได้ แต่ความจริงคืออย่างหลังมันไม่เวิร์ก เพราะ ซาร์รี่ ไม่เคยได้เล่นฟุตบอลในระดับอาชีพเลย... แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ฝันของตัวเองเป็นจริง เขาจึงเลือกที่ดำเนินชีวิตแบบคนธรรมดา ด้วยการทำงานในตำแหน่งพนักงานธนาคารท้องถิ่นที่ชื่อว่า Banca di Toscana

ยามเป็นพนักงานเงินเดือนเขาก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพราะเมื่อมีพนักงานน้อย งานจึงหนักมากขึ้นกว่าสายงานปกติ เขาต้องนอนดึกตื่นเช้าเป็นประจำ แต่ทุกวันหยุดสิ่งที่ ซาร์รี่ ทำนั้นชวนให้ทุกคนแปลกใจ เขาไม่ใช้เวลาเหล่านั้นเพื่อพักผ่อน แต่กลับใช้มันเพื่อไปเข้าอบรบ และเรียนโค้ชฟุตบอล มันอาจจะเป็นการเสียทั้งเวลา และเสียทั้งเงิน แต่สำหรับ ซาร์รี่ เขามั่นใจว่า มันจะดีกว่าการที่เขาอยู่เฉยๆ และภาวนาถึงพระเจ้าเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น

สุดสัปดาห์หนึ่งในช่วงปี 1989 ซาร์รี่ รีบออกจากที่ทำงานเพื่อมาทำหน้าที่เป็นแฟนบอลของทีมรักของเขา "ฟิออเรนติน่า" โดยก่อนเกมจะเริ่มเขาได้เจอกับ ออเรลิโอ เวอร์จิลี่ เพื่อนของพ่อเขาที่เป็นแฟนของฟิออเรนติน่าเหมือนกัน การได้สนทนากันของชายต่างวัยครั้งนั้นทำให้ เวอร์จิลี่ ได้รับรู้ถึงทัศนคติในการทำงานของ ซาร์รี่  เข้าอย่างจัง

เวอร์จิลี่เล่าว่า ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันในฐานะแฟนฟุตบอล ซาร์รี่ นั้นได้อธิบายถึงหน้าที่การงานของตัวเองว่าตัวเองทำงานเป็นพนักงานธนาคารเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วตนนั้นไม่ได้มีความถนัดทางบัญชีหรือมีทักษะทางการเงินมาก่อนเลย เพียงแต่ว่าการเรียนรู้เท่านั้นที่ทำให้งานของเขาง่ายขึ้น... "ความพยายาม" ทำให้ เวอร์จิลี่ ประทับใจ และมันเป็นโชคของซาร์รี่ที่ชายคนที่เขาคุยด้วยก็ทำงานสายธนาคารเหมือนกัน และธนาคารของ เวอร์จิลี่ กำลังต้องการใครสักคนที่มีความพยายามและความกระหายในการเรียนรู้ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน

"ผมเองทำงานที่ธนาคาร Fideuram และเรากำลังต้องการใครสักคนที่ทำงานได้ดี ดังนั้นผมจึงเลือก เมาริซิโอ ยอดพนักงานจากแบงค์  Banca di Toscana แบบไม่ลังเล" เวอร์จิลี่ ว่าถึงเพื่อนร่วมเชียร์บอล และลูกน้องในออฟฟิศของเขา

ซาร์รี่ ย้ายเข้ามาทำงานใหม่ แต่ได้ตำแหน่งที่ใหญ่โตกว่าเดิม เวอร์จิลี่ ให้เขาทำงานต่างไปจากที่เคยทำ โดยเฉพาะการบินไปเจรจาหาลูกค้าใหม่ๆในต่างประเทศทั้ง สวิตเซอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, อังกฤษ หรือแม้ประเทศเล็กๆอย่าง ลักเซมเบิร์ก .... ไม่รู้งานนี้ต้องชมใครกันแน่ ความพยายามในการทำงานของ ซาร์รี่ หรือสายตาในการอ่านคนของ เวอร์จินี่ เพราะผลงานที่ออกมานั้นยอดเยี่ยมที่สุดเกินกว่าที่ใครจะคาดไว้

"เมาริซิโอ เป็นนายธนาคารที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยเจอ เขาไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านการเงินหรอกนะผมจะบอกให้ ความสุดยอดคือเขาเป็นคนที่เริ่มจากศูนย์และพยายามหาทางไปเจอกับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นคนคำนวณสิ่งต่างๆได้แม่นยำ และเชื่อเรื่องสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้"

ซาร์รี่ เหมือนคนสองบุคลิก... มุมหนึ่งเขาเป็นพนักงานที่ทำงานได้ตามที่มอบหมายและเต็มที่ มองดูแล้วเหมือนทั้งชีวิตจะทุ่มให้งานเพียงอย่างเดียว แต่อีกมุมหนึ่งคือเขามีบุคลิกของความเป็นผู้นำและรักอิสระ การที่เขาทำงานเสร็จไว ทำให้เขามีเวลาไปเรียนโค้ชและหาประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตด้วยการสมัครเป็นกุนซือของทีมระดับสมัครเล่นเล็กๆทีมหนึ่ง...หากวัดน้ำหนักกันของงาน 2 อย่างที่เขาทำเเล้ว ดูเหมือนฟุตบอลจะเป็นแค่งานอดิเรกเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขากำลังชั่งน้ำหนักของ 2 สิ่งจาก 2 ตัวตนของเขาว่าแท้ที่จริงแล้วชีวิตแบบไหนกันแน่ที่เป็นชีวิตที่เขาต้องการ

"แปลกไหม เมาริซิโอ ประสบความสำเร็จหมดเลย เขาทำงานธนาคารได้อย่างยอดเยี่ยม และในการเป็นโค้ชฟุตบอลเขาก็ทุ่มเทกับมันเต็มที่แบบไม่กลัวว่าจะเสียงานหลัก เขาถือเดิมพันครั้งใหญ่ในชีวิต งานธนาคารที่มั่นคง หรือการเป็นโค้ชฟุตบอลที่ยังต้องเสี่ยง เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้น...สุดท้ายเขาเคาะอย่างหลัง เรื่องนี้ผมให้เครดิตเขาไปเต็มๆ ผมไม่รู้หรอกจะสักกี่คนบนโลกที่จะเลือกแบบที่เขาเลือก" เวอร์จินี่ พูดถึงวันที่ ซาร์รี่ ลาออกจากการเป็นนายธนาคาร  


Photo : thesefootballtimes.co

สิ่งที่น่าชื่นชมคืออะไร?  สำหรับเรื่องของ ซาร์รี่ นั้นสะท้อนชีวิตของชนชั้นกลางในสังคมได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติอยากรวยด้วยอาชีพที่ตัวเองรักคือสิ่งที่ทุกคนฝัน ทว่าด้วยสถานการณ์ที่มีชีวิตอยู่แบบ "ไม่รวยแต่ก็ไม่จน" ทำให้หลายคนไม่กล้าเสี่ยงจะเดินตามฝัน และหาข้ออ้างมากมาย เพื่อปกปิดความกลัวในการก้าวออกจาก "คอมฟอร์ทโซน"...มันไม่ผิดหรอกที่จะกลัว เพราะชีวิตนี้อะไรก็ไม่แน่นอน

แต่ถ้าคุณศึกษาและเตรียมพร้อมทั้งด้านกายและใจดีพอ มีปีกที่กล้าและขาที่เเข็ง บางครั้งการเลือกที่จะเสี่ยงก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ....  "ไม่เจี๊ยะก็เจ๊ง" ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ซาร์รี่ พร้อมแล้ว เขายื่นใบลาออกจากอาชีพที่มั่นคงและเลือกเเล้วว่าฟุตบอลคือสิ่งที่เขาจะอยู่กับมันไปได้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่…

ครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์

ปี 1999 ซาร์รี่ ในวัยที่ 40 ปีมีครอบครัวแล้ว มีภรรยา และลูกให้ต้องเลี้ยงดูได้ตัดสินใจว่า พร้อมอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อฟุตบอล ในวันสุดท้ายที่ทำงานธนาคารทุกคนจัดงานเลี้ยงส่งให้กับเขา และมีคำถามว่าคิดยังไงถึงลาออกจากงานและไปเป็นโค้ชฟุตบอล... ซาร์รี่ ตอบกลับง่ายๆว่า ทุกวันที่ตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อไปทำสิ่งที่ต้องทำที่ธนาคารเขามักนิยามถึงสิ่งนี้ว่าการทำงาน แต่เมื่อเขาใส่เสื้อแจ็คเก็ต และเดินออกจากบ้านเพื่อไปคุมทีมฟุตบอลของเขา ภรรยาจะถามย้ำเสมอว่า "คุณจะไปไหน" เขาจะตอบว่า "ไม่ซ้อมน่ะสิ" ... เขาไม่ใช้คำว่า "ทำงาน" กับการเป็น "โค้ช" เพราะเขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นงาน แต่มันคือการออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็น


Photo : lifebogger.com

เมื่อไม่ใช่งานทุกอย่างของการเป็นโค้ชก็ดูเป็นเรื่องสนุกทั้งหมดสำหรับเขา ซาร์รี่ ได้งานในสโมสรระดับสมัครเล่นที่ชื่อว่า ซานโซวิโน่ เป็นทีมที่อยู่ในระดับ ดิวิชั่น 6 ของประเทศ เรื่องเงินเดือนไม่ต้องพูดถึง มันน้อยกว่าตอนที่เขาได้รับตอนเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารอยู่เเล้ว แต่มาถึงตรงนี้แล้ว เงินเป็นแค่ส่วนประกอบรองเท่านั้น...ประสบการณ์ต่างหากที่เขาจะได้จากที่นี่

ซาร์รี่ ทำงานในสโมสรระดับสมัครเล่นด้วยการปฎิบัติตัวเหมือนกับการอยู่ในลีกสูงสุด เขาใช้สมองเหมือนกับเครื่องจักร หาข้อมูลต่างๆนาๆมาแบบเกินหน้า ที่เกินเงินเดือน เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคำที่ว่า "จ้าง 1 ร้อย ทำ 1 ล้าน" นั่นแหละ นิสัยการชอบคำนวณผลลัพธ์ และปิดช่องโหว่ความผิดพลาดของเขาสมัยทำงานธนาคารถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมายในการเป็นโค้ชฟุตบอล

"คุณเชื่อป่ะล่ะ ทีมของเรารู้หมดทุกอย่างว่าทีมที่เราจะแข่งด้วยเป็นยังไง ที่รู้เนี่ย ผมหมายถึงรู้ทุกอย่างจริงๆนะ ไม่ได้เว่อร์" ซิโมเน่ ซิมอนติ อดีตลูกน้องของซาร์รี่สมัยคุมทีมระดับล่างเล่าให้ BBC

"คุณจะเอาอะไรจากเขาอีกล่ะ? รายละเอียดด้านเทคนิค, วิธีดูข้อมูลของนักเตะแต่ละคน มันบ้ามากมีโค้ชในระดับนั้น ไม่กี่คนหรอกที่ทุ่มเทกับเรื่องแบบนี้  ตอนที่ ซาร์รี่ คุมทีมเราเล่นแบบ 3-5-2 และใช้ระบบการตั้งโซน เรียกว่าแผนแบบที่ อาร์ริโก้ ซาคคี่ สร้างความยิ่งใหญ่ให้ มิลาน นั่นแหละ เราเป็นทีมเดียวในระดับรากหญ้าที่เล่นระบบนี้ และตอนนี้แผนนั้นถูกเรียกในแบบที่คุณรู้จักว่า "ซาร์รี่บอลล์" นั่นแหละ"  

แน่นอนฟุตบอลคือศาสตร์ที่แตกต่างจากหลายๆอาชีพ เพราะมันไม่ใช่แค่การคำนวณ และวางแผนอย่างเดียว แต่มันคือการทำงานกับคนหมู่มาก ซึ่งหากทุกคนมีเป้าหมายตรงกันหมดทั้งทีม งานก็จะง่ายขึ้น แม้ ซาร์รี่ จะมีมุมหุ่นยนต์ แต่เขาก็มีความเป็นมนุษย์ เขาเอาลูกทีมทุกคนอยู่หมัด ทุกคนพร้อมจะสู้ตายถวายหัวให้ และจุดนี่ถือว่าเป็นจุดเเข็งของเขายิ่งกว่าเรื่องการวางแท็คติกเสียอีก

"จุดแข็งของเขาคือการสร้างกลุ่มเพื่อนร่วมทีมให้เป็นเพื่อนกันได้ เขามอบสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากทุกคน นับตั้งแต่วันที่เขาคุมทีมจนถึงวันนี้ (สัมภาษณ์เมื่อปี 2018) พวกเรายังรวมตัวกัน และออกไปกินอาหารค่ำด้วยกันอยู่เลย" ซิมอนติ กล่าวต่อ

"ซาร์รี่ เข้าไปอยู่ในหัวใจของนักเตะทุกคนได้สบายมาก เขาไม่สนเรื่องการวิจารณ์จากภายนอก จากนั้นเขาก็ย้ายไปทีมที่ใหญ่กว่า ซึ่งเราก็โน้มน้าวใจเขาไม่ได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมพยายามติดต่อเขากลับมาคุมทีมเราเเล้วแต่เขาไม่ยอมเซย์เยสซัก ที(หัวเราะ)" นาริโอ คาร์ดินี่ ผู้จัดการทั่วไปของ ซานโซวิโน่ กล่าวปิดท้าย

ปี 2003 ซาร์รี่ ได้งานที่ใหญ่ขึ้น เขารับงานกับซานจิโอเวเนสเซ่ และพาทีมเลื่อนชั้นสู่เซเรีย ซี ได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

การทำงานของซาร์รี่ในช่วงแรกแบ่งพาร์ทได้อย่างลงตัว ส่วนหุ่นยนต์สร้างให้เขามีแท็คติกที่ล้ำหน้า และส่วนมนุษย์ทำให้เขาได้ใจทุกคนที่ทำงานด้วย การมีคนแบบ ซาร์รี่ เป็นหัวหน้าทำให้แทบทุกบทสัมภาษณ์ที่ลูกทีมเก่าพูดถึงเขานั้นจึงออกมาในแง่ของหัวหน้าในฝันผู้เปลี่ยนให้บรรยากาศในออฟฟิศเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง  

ปรับตัวยกระดับความคิด

สิ่งที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือ ซาร์รี่ เป็นคนที่รู้จักปรับตัวตามสภาพงานที่ได้รับมอบหมาย เขาทำงานกับนักเตะโนเนมได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อได้รับงานที่ใหญ่ขึ้นเขาก็ปรับวิธีการทำงานให้เหมาะกับนักเตะอีกระดับและความคาดหมายที่ใหญ่ขึ้น


Photo : newsrnd.com

หลายปีต่อมา ซาร์รี่ ได้รับงานที่ เอ็มโปลี ที่อยู่ในลีกรอง (เซเรีย บี) และเขาก็แสดงให้เห็นว่าคลาสของเขาปรับเปลี่ยนไปได้ตามภารกิจที่มีคนมอบให้ได้สบายๆ เขาไม่ใช่พวกของปลอมที่เก่งแต่กับทีมเล็กๆ งานของ ซาร์รี่ ไม่มีคำว่าฟลุค มีแต่คำว่าพร้อมรบทุกสถานการณ์อันเกิดมาจากการเตรียมตัวมาอย่างดี

"การพิสูจน์ตัวเองของเขามันอยู่ที่นี่เองแหละ เขาปรับสไตล์การเล่นและไอเดียฟุตบอลของเขาใหม่ ในระดับที่สูงขึ้นเขาพยายามฝึกให้นักเตะมีการเล่นที่เร็วขึ้น ใช้จังหวะให้น้อยลง แต่ก็ยังไม่ทิ้งเกมรุก เขาให้เเนวรับยืนสูงมาก เพื่อที่จะเน้นการเอาบอลไปเล่นเกมรุก โดยจากฝากไว้กับพวกริมเส้นหรือเพลย์เมคเกอร์ พูดตรงนั้นๆถึงตอนที่มาคุม เอ็มโปลี ผมก็ยังคิดว่าเขาเป็นกุนซือที่เก่งกว่าจะมาคุมทีมในระดับเซเรีย บี แล้วล่ะ"  ฟาบริซิโอ คอร์ซี่ ประธานสโมสรผู้เป็นคนแต่งตั้ง ซาร์รี่ คุมทีมในปี 2012 กล่าว ก่อนที่ ซาร์รี่ จะคุมทีเพียงแค่ปีเดียว และพาเลื่อนชั้นได้สำเร็จ

นอกจากภารกิจการทำงานที่ยากขึ้นเเล้ว นักเตะที่เขาต้องชี้นิ้วสั่งก็ยังเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงมากขึ้น วิธีถลกแขนเสื้อ ตบหัวเบิ๊ดกระโหลกแบบที่เคยใช้กับนักเตะบ้านๆ คงจะไม่ดีนัก ซึ่งซาร์รี่ เองก็ไม่มีปัญหากับจุดนี้ เขารู้ว่าตัวเองต้องพิสูจน์ให้ลูกทีมเห็นว่า "ทำไมจึงควรเชื่อฟัง" และหากเชื่อฟังเขา ลูกทีมจะได้อะไรกลับมา เขาใช้ความเป็นเหตุเป็นผลรวมกับความรู้สึ กซึ่งที่สุดเเล้วมันก็ออกมาเวิร์ก เรื่องนี้ มัสซิโม่ มัคคาโรเน่ อดีตนักเตะทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่ ที่บังเอิญมาใช้บั้นปลายอาชีพค้าแข้งกับเอ็มโปลี ยืนยันได้

ตอนนั้น มัคคาโรเน่ มาในสภาพหมดไฟ เขาถูก ซามพ์โดเรีย ขายทิ้งเพราะยิงประตูแทบไม่ได้ เรียกได้ว่าการได้เล่นให้กับ เอ็มโปลี นั้นเหตุผลส่วนใหญ่มาจากชื่อเสียงเก่าๆเท่านั้น แต่เเล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ ซาร์รี่ ทำให้เขารู้ว่าไม่มีใครแก่เกินการเรียนรู้

"ผมมาที่ เอ็มโปลี และ ซาร์รี่ โยนความสุขในการเล่นฟุตบอลใส่ผมอีกครั้ง เขาจะทำให้คุณเห็นว่าถ้าคุณทำตามที่เขาพูดระหว่างฝึกซ้อมคุณจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าคุณฟังซาร์รี่นะ ผมบอกเลยว่าคุณสามารถทำทุกอย่างในสนามได้เลย เขารู้จักแท็คติกและผู้เล่น ผมเจอโค้ชมาก็เยอะ แต่ไม่เห็นใครเหมือนเขาซักคน" ดาวยิงดีกรีทีมชาติอิตาลีกล่าว

ผลที่ออกมาก็ยืนยันว่า มัคคาโรเน่ ไม่ได้โม้และไม่ได้อวย ซาร์รี่ เกินจริง เขายิงประตูให้ เอ็มโปลี 18 ลูกในฤดูกาลเดียว... เขาค้าแข้งมาอาชีพมาเเล้ว 14 ปี ไม่มีซักฤดูกาลเดียวที่เขายิงได้มากกว่านี้ .... แบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว เพราะตลอด 4 ฤดูกาลที่ร่วมงานกับ ซาร์รี่ ไม่มีสักปีที่ มัคคาโรเน่ ในวัยใกล้ๆ 40 ปี ยิงได้ต่ำกว่า 10 ประตู  

ยิ่งสูงยิ่งหนาว

ความก้าวหน้ามาพร้อมๆกับความเสี่ยง ซาร์รี ทำเอ็มโปลีเลื่อนชั้น แต่เขาก็เก่งเกินไปแบบที่อดีตเจ้านายของเขาว่า เพราะฝีมือของเขาไปเข้าตา นาโปลี ทีมอันดับ 2 ของประเทศ อิตาลี ที่อยากจะได้เข้าไปคุมทีม


Photo : www.90min.com

เนื้องานไม่ต่างจากเดิมมากนัก แท็คติกและการดูแลลูกทีมยังเหมือนเดิม แต่มี 2 สิ่งที่เปลี่ยนไปในการมาทำงานที่ เนเปิลส์ หนึ่งคือเขาจะต้องเจอกับหนึ่งในเจ้าของทีมที่เกรียนที่สุดในโลก "ออเรลิโอ เดอ ลอเรนติส" และสองคือเขาจะต้องรับแบกความหวังของคนทั้งเมืองเพราะที่ เนเปิลส์ แฟนๆมีทีมฟุตบอลให้เชียร์แค่ทีมเดียวนั่นคือ นาโปลี และเป้าหมายที่ ลอเรนติส หวังไว้มันก็ไม่ใช่เป้าที่ทำง่ายๆ นั่นคือการเอาชนะ ยูเวนตุส และเป็นแชมป์ลีกให้ได้

"ตอนคุม นาโปลี ผมกดดันมาก เนเปิ้ลส์ เป็นเมืองเดียวในอิตาลีที่ทั้งเมืองมีทีมฟุตบอลทีมเดียว ดังนั้นความกดดันจากแฟนบอลมันจึงมหาศาลมาก ๆ แต่มันไม่ใช่ปัญหาของผม ผมยังเป็นคนเดิม เป็นนักฝัน ผมสนุกกับฟุตบอล และอยากให้ทีมเล่นตามสไตล์ของผม และผมเชื่อว่าระบบทีม คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง และผมก็ไม่เปลี่ยนความคิดด้วย”

งานของ ซาร์รี่ ยากขึ้น และเขาทำได้ไม่ตามเป้า เพราะ นาโปลี ในยุคของเขาไม่มีแชมป์ติดไม้ติดมือเลย แต่ทุกคนกลับให้การชื่นชมเขาเพราะเขาเปลี่ยน นาโปลี ให้เป็นฟุตบอลที่สนุกแตกต่างจากทีมในอิตาลีทีมอื่นๆ พร้อมทั้งการพาทีมไปเล่นในเเชมเปี้ยนส์ลีกทุกปี ปั้นผู้เล่นเก่งๆขึ้นมามากมาย และขายทำเงินได้ก็ไม่น้อย ที่สำคัญทุกคนรู้ดีว่าจะอยู่เหนือ ยูเวนตุส ที่สมบูรณ์แบบกว่าทุกด้านนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่เเล้ว

หลังจากคุมนาโปลีได้ 3 ปี ซาร์รี ก็ได้งานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตด้วยการเข้ามาคุมทีม เชลซี ที่ประเทศอังกฤษ นี่คืองานที่ท้าทายเขาที่สุดในชีวิต ทีมมีงบประมาณให้ใช้ มีนักเตะที่มีคุณภาพ และเป้าหมายที่มองไปที่จบแต่ละปีต้องมีแชมป์


Photo : www.independent.co.uk

ที่แตกต่างที่สุดคือในทีมเชลซี สิทธิ์เด็ดขาดไม่ได้อยู่ที่เขา หลายสิ่งที่เขาคิด และต้องการต้องผ่านบอร์ดบริหาร และบุคลากรที่อยู่ในระดับเหนือกว่าเขาอีก ดังนั้นการคุมเชลซี นอกจากจะให้ความท้าทายแล้ วมันยังเป็นงานที่ทำให้เขากระอักเลือดมากที่สุด เพราะที่อังกฤษหากคุณพลาด คุณเตรียมขึ้นหน้าหนึ่งได้เลย

ซาร์รี่ โดนตั้งข้อสงสัยตั้งแต่วันที่เข้ามา สื่ออังกฤษมองว่า "ไร้ประโยชน์" เพราะเขาไม่มีประสบการณ์พาทีมคว้าแชมป์เลยตลอดการคุมทีมทั้งหมด 28 ปี... 0 โทรฟี่ ช่างห่างไกลกับดีกรีของกุนซือเชลซีเก่าๆสุดกู่ไม่ว่าจะ โจเซ่ มูรินโญ่, คาร์โล อันเชล็อตติ, อันโตนิโอ คอนเต้ ทุกคนประสบความสำเร็จมาเเล้วทั้งนั้นก่อนที่จะมาทำงานที่ เดอะ บริดจ์

และพอทำงานจริง ซาร์รี่ ต้องสู้ศึกที่เขาไม่เคยเจอ มีการเปิดเผยว่า เขาถูกบังคับให้ทำงานกับนักเตะที่เขาไม่ได้ร้องขอ, และปัญหาที่บอร์ดบริหารโอ๋นักเตะเกินกว่าเหตุ โดยมีข่าวว่าเหล่าผู้บริหารในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่สบายใจกับวิธีการของเทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนทั้งในและนอกสนาม โดยหนึ่งในนั้นคือเรื่องการชอบวิจารณ์นักเตะตัวเองหลังความพ่ายแพ้ โดย ซาร์รี่ เคยบอกว่า อาซาร์ ไม่ใช่ผู้นำที่ดี อีกทั้งยังตำหนิ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย ว่ายังไม่ดีพอที่เป็นตัวจริง... ทุกอย่างสำหรับ ซาร์รี่ จึงยากไปเสียหมด โดยเฉพาะช่วงกลางฤดูกาลที่ เชลซี ฟอร์มหลุดเละเทะ จนมีข่าวว่าเขาเกือบโดนไล่ออก


Photo : www.football365.com

เขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังรับมือกับความกดดันในแบบที่เหนือกว่าทุกครั้งได้ดี เขาใส่ปรัชญา "ซาร์รี่บอล" เข้าไปในทีมทีละน้อยๆ และไม่ยอมแพ้ เขาเริ่มใช้เทคนิคเก่านั่นคือการจูนนักเตะซีเนียร์ให้ได้ และหลังจากนั้นเรื่องในห้องแต่งตัวก็ง่ายขึ้น… เราอาจไม่รู้ว่าลึกๆ ในห้องแต่งตัวสถานการณ์มันดีขึ้น แค่ไหน แต่หลายๆ อย่างก็ดูค่อยๆเริ่มคลี่คลาย

"ฤดูกาลนี้เป็นปีที่ดีสุดสำหรับผมเลยก็ว่าได้ เพราะแนวคิดปรัชญาการเล่นฟุตบอลของ เมาริซิโอ ซาร์รี ตรงกันกับผมแบบแทบจะ 100% และนี่คือสิ่งที่ทำให้เราสองคนเข้าใจซึ่งกันและกัน จริงอยู่ที่เราแพ้แบบไม่คาดคิดไปหลายนัด แต่ด้วยแนวทางที่ ซาร์รี่ ต้องการให้เราเล่นนั้น คือ ความปรารถนาสูงสุดของผมอยู่แล้ว ถึงได้กล้าพูดเต็มปากว่านี่คือกุนซือที่น่าทึ่งสุด ๆ เท่าที่เคยร่วมงานด้วยเลยทีเดียว" อาซาร์ ว่าถึงกุนซือของเขา โอเค เขาอาจตอบให้ดูหวานเพื่อไม่ให้เกิดดราม่า แต่ผลงานของเชลซีที่ดีขึ้น คือ คำตอบ

เมื่อหัวส่ายหางก็เริ่มกระดิกผู้เล่นคนอื่นๆคล้อยตาม และเชื่อในสิ่งที่ ซาร์รี่ บอกมากขึ้น แม้ที่สุดเเล้วตอนนี้การเปิดใจของนักเตะเชลซีกับเขาอาจจะยังไม่เต็ม 100% เหมือนตอนที่เขาคุมทีมอื่นๆเมื่อครั้งอดีต แต่การได้เเชมป์ยูโรป้า ลีก, อันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และ รองแชมป์คาราบาวคัพ ก็ถือว่าเป็นการเปิดประตูใจให้กับลูกน้องได้ดีขึ้นกว่าเดิม และคำพูดของ ดาวิด ลุยซ์ หลังจากชูถ้วยเเชมป์ยูโรป้า สะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ซาร์รี่ ได้เป็นอย่างดี


Photo : The Football Empire

"เขากำลังพยายามสอนให้เราเข้าใจถึงปรัชญาฟุตบอลของเขา มันเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เขาต้องพยายามสอนให้เราเข้าใจในสิ่งที่เขาคิด วิธีการเล่นของเขา และผมคิดว่าเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าวันหนึ่งคุณคิดว่าคุณรู้ทุกอย่างแล้ว คุณก็อาจจะล้มเหลวได้ มันไม่สำคัญว่างานนั้นจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นอะไร นักฟุตบอลหรือโค้ช เราจำเป็นต้องพยายามเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ทุกวัน ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ สโมสรใหญ่มักมีแรงกดดันและถ้าคุณไม่ต้องการเจอกับความกดดันก็อย่ามาอยู่ทีมใหญ่แบบนี้เลย"  กองหลังชาวเเซมบ้ากล่าว

เรื่องราวทั้งหมดของ ซาร์รี่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหากคุณทุ่มเทมากพอ และมีความคาดหวังชัดเจน ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่งกว่าเดิมได้ จากมนุษย์เงินเดือนสู่กระโดดท้าชนความฝัน วันนี้มันมีข้อสรุปอย่างหนึ่งที่เราได้จากเขา...โอกาสมีไว้สำหรับคนที่พยายามคว้ามันเสมอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook