ลี ชอง เหว่ย vs หลิน ตัน : วิถีจอมกระบี่ต่างสำนักที่ยุทธภพยอมก้มหัวซูฮก
การตามหาหมายเลข 1 ที่แท้จริงนั้นคือเสน่ห์ของโลกกีฬาในแบบที่ไม่มีใครปฎิเสธได้ …
ฟุตบอลมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่, เทนนิส มี โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กับ ราฟาเอล นาดาล, มวย มี ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กับ แมนนี่ ปาเกียว และแน่นอน แบดมินตัน มีคู่แข่งที่ถูกยกให้ระดับตำนานโดยดุษฎีเพียงคู่เดียวเท่านั้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมานั่นคือ ลี ชอง เหว่ย จาก มาเลเซีย และ หลิน ตัน จาก จีน
นี่คือเรื่องราวของ 2 จอมยุทธ์ที่ถือคัมภีร์คนละเล่ม หนึ่งจอมยุทธหวังพิสูจน์ตัวเองและประกาศก้องยุทธภพว่าตนเป็น 1 ในใต้หล้า ทว่าอีกหนึ่งจอมยุทธเป็นกระบี่มารไม่ได้ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์แต่ใครๆ ก็ยอมรับว่าเขาคือยอดฝีมือ
ในวันที่ ลี ชอง เหว่ย ประกาศแขวนแร็คเก็ต คงไม่มีเรื่องราวใดที่เราควรหยิบยกมาเล่ามากไปกว่าเรื่องของคู่รักคู่แค้นระหว่าง "เทพลี" และ ซูเปอร์แดน อีกแล้ว ... ติดตามเรื่องราวของสองจอมยุทธได้ที่นี่
พรแสวง ปะทะ พรสวรรค์
21 ตุลาคม ปี 1982 ที่ รัฐเปรัก เมืองท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซีย ตระกูลลี ครอบครัวชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนต้อนรับสมาชิกใหม่และเป็นลูกชายคนที่ 2 ของตระกูล เขาเกิดมาพร้อมกับชื่อ ชอง เหว่ย
Photo : successstory.com
ขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 ครั้งอันเป็นสัญญาณบอกว่าเวลาผ่านไปครบ 1 ปี ที่เมือง หลงเหยียน (Longyan) ประเทศจีน มีเด็กน้อยจากครอบครัวระดับกลางลืมตามดูโลกตามกันมาและเด็กคนนั้นมีชื่อหว่า หลิน ตัน อายุของ ชอง เหว่ย และ หลิน ตัน ห่างกัน 1 ปี ทว่าบนเส้นทางการเป็นนักแบดมินตัน หลิน ตัน ตั้งไข่และเริ่มเดินเร็วกว่า 1 ปี นั่นจึงทำให้ทั้งคู่เริ่มหยิบไม้แบดขึ้นมาฝึกในช่วงเวลาเดียวกันเลยก็ว่าได้
เดิมทีนั้น หลิน ตัน ได้รับการสนับสนุนจากแม่ให้เป็นนักเปียโนตั้งแต่จำความได้ ทว่าหลังจากได้ลองเล่น แบดมินตัน เขากลับรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เขาชอบมากกว่า แล้วมันก็กรุยทางให้กับเขาได้จริงๆ เพราะตอนอายุแค่ 9 ขวบ กองทัพจีน เห็นในพรสวรรค์ของเขาและตั้งใจจะนำ หลิน ตัน ไปใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนกันในแคมป์ของกองทัพ เพื่อทำให้เขากลายเป็นยอดนักแบดให้ได้
Photo : successstory.com
"ตอนนั้นหลินตัน อายุแค่ 9 ขวบ ครูฝึกบอกว่าเขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก หากปล่อยให้อยู่ไปวันๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย" เกา ซิน หยู แม่ของ หลิน ตัน เล่าถึงตอนที่ลูกของเขาต้องออกจากบ้านตั้งแต่เด็กและ หลิน ตัน ก็กลายเป็นนักกีฬาเยาวชนของกองทัพตั้งแต่นั้นมาก
หนึ่งปีหลังจาก หลิน ตัน เข้าสู่ระบบฝึกอย่างจริงจัง ลี ชอง เหว่ย ก็ตามหลังมาติดๆ ทว่าเส้นทางของเขาต่างกับ หลิน ตัน พอสมควร เพราะ หลิน ตัน เดินออกจากอ้อมอกแม่อย่างเต็มใจ แต่สำหรับ ชอง เหว่ย นั้นเขาจำเป็นต้องหันมาเล่นแบด เพราะแม่ของเขาไม่อนุญาตให้ออกไปเล่นที่สนามบาสหรือกิจกรรมกลางแจ้ง ชอง เหว่ย จึงถูกจับไปเรียนแบดมินตันกับ มิสบัน ซิเด็ก โค้ชทีมแบดมินตันทีมชาติมาเลเซีย
ทั้งสองคนมีเส้นทางการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน หลิน ตัน สตาร์ทด้วยความชอบของตัวเอง ขณะที่ ชอง เหว่ย นั้นได้รับอิทธิพลและการผลักดันจากคนในครอบครัว ทว่าเมื่อได้เริ่มฝึกอย่างจริงจัง ทั้งคู่ก็เป็นยอดนักแบดที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน
"6 เดือนสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจากที่เขาเป็นเด็กขี้แยในตอนแรก โค้ชก็บอกว่า หลิน ตัน เป็นนักกีฬาที่ดีมาก สำหรับฉันความสำเร็จคือการปล่อยให้ลูกออกจากอ้อมอก ยิ่งเขาเก่งขึ้นเท่าไหร่ เล่นดีขึ้นมากแค่ไหน มันเท่ากับว่าเขาจะออกห่างจากฉันไปไกลขึ้นอีก"
ขณะที่ฝั่ง ชอง เหว่ย ก็เป็นเด็กที่มีความอดทนสูง และมีสิ่งที่เหนือกว่าเด็กในรุ่นอื่นคือใจที่ไม่ยอมแพ้ และข้อนี้เองที่ทำให้ มิสบัน ซิเด็ก การันตีกับครอบครัวของ ชอง เหว่ย "ผมจะทำให้ลูกของคุณกลายเป็นนักแบดทีมชาติมาเลเซียให้ดู"
มือตบคนละสาย
การเข้าสู่ระบบซ้อมเพื่อความพร้อมในการเป็นมืออาชีพของทั้งสองคนดำเนินไปได้ด้วยดี ลี ชอง เหว่ย ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติ มาเลเซีย ได้จริงๆ ตามสัญญาที่โค้ชของเขาให้ไว้ ตอนที่เขาอายุครบ 17 ปี และคว้าแชมป์ระดับอาชีพครั้งแรกตั้งแต่อายุ 20 ปีเท่านั้น นั่นคือรายการที่บ้านเกิด มาเลเซีย โอเพ่น ในปี 2002 และ 2003
Photo : www.leepenang.com
หลังจากที่ฝีมือปรากฎในเวทีใหญ่ ลี ชอง เหว่ย ถูกยกย่องในฐานะผู้เล่นทีมีความเร็วเหลือเชื่อ เขากล้าเล่นทุกจังหวะไม่ว่าจะเป็นการหมอบ คลาน กระโดด และพุ่งสุดตัว เรียกได้ว่าหากเป็นการประดาบกันแบบจอมยุทธ์ ชอง เหว่ย จะเป็นมือกระบี่ที่จะไล่ฟันคู่แข่งทีละนิดๆ จนแพ้ภัยตัวเอง และด้วยความสามารถในเกมรับและความว่องไวนั้นไม่มีใครสามารถคว่ำเขาได้ในดาบเดียวแน่นอน
ขณะที่ หลิน ตัน ที่เล่นระดับอาชีพตอนอายุ 20 ปี เหมือนกันก็ขึ้นชื่อความแข็งแกร่งและมียุทธวิธีในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นตามสไตล์ของคู่แข่งที่เจอ และทีเด็ดที่สุดที่เขามีคือการโจมตีที่หนักหน่วงรุนแรง หากเปรียบกับการเป็นจอมยุทธ์แล้ว หลิน ตัน คงเป็นมือกระบี่ที่อ่านสถานการณ์ตลอดเวลา และเมื่อมีช่องเมื่อไหร่เขาจะลงมือฆ่าทันที ด้วยความหนักหน่วงนั้นยากที่จะมีใครต้านทานได้ และเมื่อเข้าถึงปี 2004 การพบกันครั้งแรกของจอมยุทธ์จาก จีน และ มาเลเซีย ก็มาถึง
การพบกันครั้งแรกในรายการ โธมัส คัพ หรือศึกชิงแชมป์โลกประเภททีมชาย เป็น ลี ชอง เหว่ย ที่แพ้ไปก่อน อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าสงสัยในความเก่งกาจของทั้งคู่ เพราะไม่ว่าจะสนามใดก็ตามที่ได้ดวลกันเกมการแข่งขันของทั้งคู่จะออกมาในรูปแบบเกมที่สุดมัน เหมือนการประดาบกันโดยคนดูที่จับตามองยังดูแทบไม่ทัน แสดงให้เห็นถึงระดับและคลาสที่ห่างจากนักแบดคนอื่นๆ ในรุ่นอย่างชัดเจน
Photo : roll.sohu.com
ต่างคนต่างเก่งกันคนละแบบ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมาหาก ชอง เหว่ย ต้องมาดวลกับ หลิน ตัน ในคอร์ทแล้ว ส่วนใหญ่ผลการแข่งขันมักจะออกมาในแบบที่เขากลายเป็นผู้ผิดหวัง เหมือนงูเหลือมกับเชือกกล้วย เพราะ หลิน ตัน มีสถิติเฮดทูเอดที่ข่มชองเหว่ยอย่างราบคาบ หลิน ตัน หรือ ซูเปอร์แดน สามารถเอาชนะได้ถึง 27 ครั้ง ขณะที ดาโต๊ะชองเหว่ยเอาชนะได้เพียงแค่ 12 ครั้งเท่านั้นเอง
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่า ชอง เหว่ย เป็นนักแบดที่เก่งไม่เท่า หลิน ตัน ด้วยเหตุผลที่ว่าหากเขาอยู่ในสภาพฟิตเต็ม 100% นอกจากแพ้ทางให้กับ หลิน ตัน แล้ว เขาสามารถเอาชนะนักแบดทุกคนบนโลกนี้ได้ทุกคน และมันถูกยืนยันด้วยสถิติที่ยอดเยี่ยม เพราะไม่ว่า ชอง เหว่ย จะลงแข่งรายการไหน เขามักจะไปถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นอย่างน้อย ส่วนจะแชมป์หรือไม่นั้นค่อยไปวัดกันหน้างาน แต่อย่างน้อยรางวัลแชมป์ 69 รายการ และรองแชมป์อีก 34 ครั้ง สามารถการันตีความยอดเยี่ยมของชองเหว่ยได้เป็นอย่างดี เพราะ 69 แชมป์ของ ชอง เหว่ย นั้นมากกว่าที่ หลิน ตัน ทำได้เสียอีก ...
จอมยุทธ์ที่ยุทธภพตัดสินไม่ได้
คนที่บอกว่า หลิน ตัน เก่งกว่าก็จะเอาเหตุผลที่เขาเอาชนะ ชอง เหว่ย ได้เกือบตลอดมาเป็นตัวตั้งตัวตี ขณะที่คนที่บอกว่า ชอง เหว่ย คือคนที่เก่งกว่าก็จะยกเอาตำแหน่งมือ 1 ของโลกที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขามาเกทับเหมือนกัน และสาเหตุที่ทำให้มันตัดสินใจยากแบบนี้นั้นมีที่มา เพราะระหว่าง 2 คนนี้ นั่นคือเรื่องความคิดและทัศนคติที่ต่างกันชัดเจน
Photo : www.theborneopost.com
ชอง เหว่ย เดินหน้าพัฒนาตัวเองไล่ลาความสำเร็จ ไม่ว่าเขาจะมีแรงจูงใจจากความพ่ายแพ้ต่อ หลิน ตัน หรือไม่ก็ตาม แต่เขาพยายามากที่จะเป็นแชมป์โลก หรือเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ ทว่าสุดท้ายก็พลาด เรียกได้ว่า ชอง เหว่ย พลาดในนัดชิงบ่อยมากจนแทบจะไม่เคยสมหวังในรายการระดับโลกเลย ไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิก 3 ครั้ง, แชมป์โลก 4 ครั้ง, โธมัสคัพ 5 ครั้ง, สุธีรมาน คัพ (ชิงแชมป์โลกทีมผสม) 1 ครั้ง, เอเชี่ยนเกมส์ 5 ครั้ง โดยเฉพาะในโอลิมปิกปี 2012 ที่เขาแพ้ให้กับ หลิน ตัน นั้นทำให้ ชอง เหว่ย โดนเหยียดหยามจากสื่อในจีนว่าเป็นได้แค่รองแชมป์ตลอดกาลหาก หลิน ตัน ลงแข่งด้วย อย่างไรก็ตาม ชอง เหว่ย ยืนยันว่าเขาไม่ยอมรับข้อนี้และจะขอแก้ตัวใหม่ในโอลิมปิกครั้งหน้า
"ผมแพ้ หลิน ตัน ในนัดชิงชนะเลิศและมันตอกย้ำความจริงข้อหนึ่งคือ ผมจะต้องไม่ยอมแพ้เขาอีกในการเจอกับที่โอลิมปิกครั้งหน้า" ชอง เหว่ย เปิดใจหลังความพ่ายแพ้ให้กับคู่รักคู่แค้น
"สื่อจากจีนบอกว่าต่อให้ผมชนะไปอีกเป็นร้อยๆ นัด แต่สุดท้ายผมก็ได้แค่เหรียญเงินในโอลิมปิกเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนอะไรหรอกนะ ผมเคยเล่นในโอลิมปิกมา 3 สมัย ขณะที่บางคนแค่ครั้งเดียวยังทำไม่ได้เลย แม้แต่หลินตันก็เถอะเขาไม่สามารถทำลายสถิติการเล่นตลอด 16 ปี ของผมได้หรอก"
Photo : www.allenglandbadminton.com
ในขณะที่ ชอง เหว่ย ลงแข่งขันแทบจะทุกรายการและล่าชัยชนะในทุกสนามเพื่อกลายเป็นมือ 1 ของโลกจากคะแนนที่สมาคมแบดมินตันโลกมอบให้ หลินตัน กลับทำตัวอีกแบบ จะเรียกว่าอารมณ์ศิลปินก็ว่าได้ เพราะหากเขาจะลงแข่งรายการใดรายการหนึ่งร่างกายและจิตใจของเขาจะต้องพร้อมและดีพอที่จะเป็นแชมป์จริง รายการใดที่แข่งขันตอนที่เขายังรู้สึกว่าโอกาสชนะ 50-50 เขาจะเลิกแยแสมันทันทีแม้จะมีเงินรางวัลก้อนโต และอาจจะต้องโดนปรับเงินก็ตาม ซึ่งเขาก็เป็นคนที่พูดจริงทำจริง โดยเฉพาะหลังจากการคว้าเหรียญทอง โอลิมปิก ที่ ลอนดอน หลิน ตัน ก็เลือกที่จะไม่ลงแข่งเลย 6 รายการติดต่อกัน และนั่นทำให้เขาโดนปรับเป็นเงินถึง 30,000 เหรียญสำหรับการปฎิเสธรายการระดับซูเปอร์ซีรี่ส์ นอกจากนี้มันยังส่งผลให้อันดับโลกของเขาตกต่ำลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่ หลิน ตัน ก็ได้แค่ยักไหล่กับเรื่องนี้ราวจะบอกว่า "ก็แล้วยังไงล่ะ? ผมยังต้องพิสูจน์อะไรอีกไหม?" ในเมื่อเขาคว้าทั้งแชมป์โลก แชมป์โอลิมปิก และอื่นๆ อีกมากมาย
Photo : hellotricity.in
"อันดับมันก็แค่ตัวเลชที่คนเอาไปตัดสินกัน แต่ความจริงแล้วมันตัดสินได้ที่ไหน การที่จะบอกว่าใครเก่งไม่เก่งอย่างไรในกีฬาแบดมินตันมันตัดสินกันที่แร็คเก็ตและความฟิตต่างหาก" หลิน ตัน ว่าไว้เช่นนั้น ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละโดยเฉพาะใน เอเชี่ยนเกมส์ 2014 ที่ทีมชาติจีน ยอมตัดชื่อนักแบดที่มีอันดับโลกดีกว่าออกจากทีมชุดนั้น และใส่ หลิน ตัน เข้าไปแทนที่ ซึ่งเขาก็ตอบแทนด้วยการคว้าเหรียญทองอีกเช่นเคย
เรื่องความคิดและทัศนคตินั้นไม่มีใครผิดใครถูก เพียงแต่ว่ามันสะท้อนคาแร็คเตอร์ของทั้งคู่ให้การเป็นคู่แข่งที่เกิดมาเพื่อกันและกันชัดขึ้นมาก ... หากชองเหว่ยคือเทพกระบี่มือหนึ่งไร้ผู้ต่อกร หลิน ตัน ก็เป็นยอดจอมยุทธที่ออกท่องยุทธภพโดนไม่สนใจคำสรรเสริญยกย่องจากคนอื่นดีๆ นี่เอง
หลังม่านจอมยุทธ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หลิน ตัน ก็ยังคงเป็น หลิน ตัน อยู่วันยังค่ำ ... ภายใต้การขับเคี่ยวกันมาตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปี 2018 รวมแล้วเป็นเวลาถึง 14 ปี เรื่องนี้จบลงด้วยการที่มีใครคนหนึ่งยอมแพ้ไป และมันคือการยอมแพ้ของ ลี ชอง เหว่ย … เขาไม่ได้ยอมแพ้ต่อ หลิน ตัน และคู่แข่งคนใด เพียงแต่ว่าเขายอมแพ้ร่างกายตัวเอง
Photo : www.malaymail.com
ในช่วงปี 2018 แถลงข่าวยืนยันว่า ชองเหว่ย จำต้องลาวงการชั่วคราวเนื่องจากถูกตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งโพรงจมูก แม้ในตอนแรกเขาจะวางแผนที่จะรักษาตัวเองให้หายทันและกลับมาเล่นโอลิมปิกที่ โตเกียว ในปี 2020 ทว่าหลังจากรักษาได้ 1 ปี อาการของ ชอง เหว่ย ดีขึ้น แต่มันมีผลข้างเคียงตรงที่เขาไม่สามารถกลับมาเล่น แบดมินตัน ได้อีกเพราะเป็นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลังและสมาธิมากเกินไป
"วันนี้ทุกคนรู้ถึงความตั้งใจของผมในการจัดงานแถลงครั้งนี้ ผมขอประกาศว่าผมขอเลิกเล่นแบดมินตันหลังอยู่กับมันมา 19 ปี" ชอง เหว่ย กล่าว "มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ผมไม่มีทางเลือกเพราะได้รับคำปรึกษาจากหมอที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้ว ร่างกายของผมไม่เหมาะที่จะทำกิจกรรมที่มีความเข้มข้นสูงดังนั้นการออกแรงเยอะๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพของผมเอง"
ทันทีที่ หลิน ตัน รู้ข่าวเขารีบโพสต์คลิปเพลง Don't Cry ผ่านเว่ยป๋อ โซเชียลมีเดียแดนมังกรให้กับ ชอง เหว่ย เพราะในวันที่แถลงข่าวเลิกเล่นนั้น ชอง เหว่ย ต้องผิดหวังจนถึงขั้นหลั่งน้ำตา ... สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นคู่กัดในสนามและยังเป็นอาวุธที่สื่อของ จีน และ มาเลเซีย มักจะหยิบเอาความเก่งกาจของทั้งคู่มาแซะกันไปแซะกันมา ทว่าในแง่ของความรู้สึกนั้นสองจอมยุทธ์ต่างซูฮกในฝีมือของกันและกันเสมอ สถานะที่พวกเขาเป็นไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือเพื่อนร่วมอาชีพที่ทำให้โลกของแบดมินตันลุกเป็นไฟและมีสีสันมากที่สุดในประวัติศาสตร์
Photo : Scroll.in
"ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการต่อสู้ของเราสองคนคือคนดู ที่ไม่ว่าจะอยู่ในสนามหรือหน้าจอพวกเขาจะเพลิดเพลินไปกับเกมคุณภาพที่ดีที่สุดตลอดกาล นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของการแข่งขันระหว่างเรา" หลิน ตัน ว่าถึง ชอง เหว่ย อีกครั้งต่อด้วยการปิดท้ายด้วยคำถามที่ว่า คุณ หรือ เขา ใครเก่งกว่า ... จากคำถามนี้แม้แต่ยอดจอมยุทธ์ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ...
"ผมคิดว่าเราทั้งคู่เป็นผู้เล่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน เพราะเราต่างก็ต้องการชัยชนะทั้งคู่ ชองเหว่ย เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากที่สุดในการเอาชนะ และเป็นผู้เล่นที่มีสภาพจิตใจแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเขายืนอยู่บนสนาม"
และคำถามระหว่าง ชอง เหว่ย กับ หลิน ตัน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่หาคำตอบได้ยากอยู่ดี แม้วันเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหนก็ตาม … แล้วสำหรับคุณล่ะ? คิดว่าใครคือหมายเลข 1 ตัวจริงกันแน่?