มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ : ดาวเด่นจาก Stranger Things กับความรักที่มีต่อ ลิเวอร์พูล
มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ... สาวน้อย “Eleven” หรือ "แอล" แห่ง Stranger Things ซี่รี่ส์จาก Netflix ที่เพิ่งเปิดตัวซีซั่น 3 กับสถิติยอดวิวสุดเหลือเชื่อ 4 วัน 40.7 ล้านวิวภายในระยะเวลาแค่ 4 วันเท่านั้น เธอคือตัวชูโรงของเรื่องและทำให้คอซีรี่ส์ทั่วโลกต้องตกหลุมรัก และพร้อมยกตำแหน่งว่าที่เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคนต่อไป
ปลายทางในปัจจุบันช่างแสนสวยงาม ทว่าใครจะรู้ ก่อนที่ มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ จะแจ้งเกิดกับงานแสดงได้ขนาดนี้ เธอต้องผ่านเส้นทางการเติบโตที่ยากกว่าคนปกติ ... หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการฟังเสียงของเธอแตกต่างกับคนอื่นๆ เพราะหูของเธอใช้งานได้เพียงข้างเดียว แถมยังต้องย้ายประเทศตามพ่อแม่ถึง 3 ครั้งก่อนอายุ 5 ขวบ แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ แรงปรารถนาในการไล่ตามความฝันของ "Eleven" หรือ "แอล" มีเรื่องราวของ ลิเวอร์พูล อยู่เบื้องหลัง
5 ปี 3 ประเทศ
มิลลี่ เกิดที่เมืองมาร์เบลย่า แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เธอเป็นลูกคนที่ 3 ของพี่น้องทั้งหมด 4 คน จากพ่อแม่ชาวอังกฤษ ก่อนที่ครอบครัวบราวน์จะย้ายกลับไปอยู่ในอังกฤษอีกครั้งตอนเธออายุ 4 ขวบ ที่เมือง บอร์นมัธ
Photo : www.hollywoodreporter.com
ความผิดปกติของเธอเริ่มเกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะตอนเกิดมาหมอบอกว่าหูของเธอไม่สามารถได้ยินครบ 100% เหมือนกับคนอื่นๆ จนกระทั่งเมื่อเธอโตขึ้นเรื่อยๆ มิลลี่ เริ่มสูญเสียการได้ยินทีละนิดๆ และจนสุดท้ายก็หูหนวกสนิทไปหนึ่งข้าง
การเป็นเด็กที่แปลกและผิดปกติจากคนอื่นๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด เพราะแน่นอนว่าในวัยเด็กความรู้ผิดชอบของแต่ละคนยังมีไม่มากนัก ใครที่แตกต่างมักจะถูกมองเป็นตัวประหลาดและเป็นเป้าล้อเลียนยู่เสมอ
"จริงๆ แล้วฉันโดนแกล้ง (Bully) มาตลอดในช่วงที่เรียนที่ประเทศอังกฤษ ฉันต้องย้ายโรงเรียนเพราะมันสร้างความกดดันและความวิตกกังวลให้กับฉันตลอด ฉันต้องรับมือกับเรื่องจริงที่ต้องเจอในชีวิตและโลกออนไลน์ มันเป็นถ้อยคำที่ทำลายความมั่นใจและสร้างความเจ็บปวดเมื่อได้ยินสิ่งที่คนเขียนถึง หรือคนที่พูดถึงคุณ"
แต่โชคดีที่ครอบครัวของ มิลลี่ นั้นเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น กิจกรรมที่ทำให้เธอสามารถเข้ากลุ่มกับคนอื่นๆ ในครอบครัวได้อย่างสนิทใจ และทำให้มันเกิดความสนุกขึ้นในเวลาเดียวกันคือ "ฟุตบอล" และ "ลิเวอร์พูล"
"ฉันเติบโตขึ้นมากับการเล่นฟุตบอลกับสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นมันจึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นเลย ทุกคนในครอบครัวของเราเป็น เดอะ ค็อป พันธุ์แท้ เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่จำความได้" มิลลี่ เล่าปูมหลังซึ่งมีลิเวอร์พูลเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเธอ ส่วนนักฟุตบอลที่เธอปักใจให้เป็น เดอะ ค็อป ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ... สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เธออาจจะเกิดไม่ทันวันที่ เจอร์ราร์ด พีกที่สุด แต่พี่ของเธอทำให้เรื่องนี้มันง่ายขึ้นมาก
"พี่ชอบเล่าเรื่องความยิ่งใหญ่ของ เจอร์ราร์ด ให้ฉันฟังตลอด ตอนที่เขายังเล่นอยู่เขาเก่งขนาดไหน แกร่งขนาดไหน ตอนนั้นฉันเลยเริ่มตกหลุมรัก เจอร์ราร์ด และมันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตฉันจริง"
Photo : www.nssmag.com
สำหรับแฟนฟุตบอลแล้ว เจอร์ราร์ด คือภาพสะท้อนของการเป็นนักสู้อย่างแท้จริง เขาเกิดและโตที่ ลิเวอร์พูล ที่สำคัญคือเมื่อวันที่เขาเก่งที่สุด และ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเขายังไม่ทิ้งทีมไปไหน และพร้อมจะสู้เพื่อให้ทีมรักกลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ในอังกฤษให้ได้อีกครั้ง เหมือนกับที่เคยเป็นในอดีต
ตัวของ มิลลี่ เองได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า เจอร์ราร์ด คือไอดอลที่ทำให้เธอไม่หมดศรัทธาในตัวเอง เพียงแค่ทำสิ่งที่รักให้เต็มที่ ตัวของ "สตีวี่ จี" อาจจะไม่มีรางวัลหรือทำเนียบแชมป์ติดตัวมากมายเหมือนกับไอค่อนฟุตบอลคนอื่นๆ ของโลกแต่ความยิ่งใหญ่ของเขาก็ได้รับการยกย่องอยู่เสมอ
Photo : www.marte.com
หลังจาก มิลลี่ อายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวบราวน์นั้นต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองออร์แลนโด้ ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะไปใช้ชีวิตในดินแดนที่คนท้องถิ่นเรียก ฟุตบอล ว่า "ซอคเก้อร์" แต่สำหรับเธอนั้นฟุตบอลมีความหมายเดียวเท่านั้นนั่นคือกีฬาที่ใช้เท้าเตะ และมีทีมที่เธอจะต้องติดตามดูตลอด นั่นคือ "ลิเวอร์พูล" ไม่เปลี่ยนแปลง
"ตอนที่อยู่ อเมริกา ลิเวอร์พูล มักจะแข่งตามเวลาที่นั่นประมาณตี 4 แต่ครอบครัวเราก็ยังติดตามเกมการแข่งขันเสมอ" นี่คือสิ่งที่เธอให้สัมภาษณ์ตอนที่เธอออายุแค่ 12 ปี
เส้นทางแบบ เจอร์ราร์ด ในเวอร์ชั่นนักแสดง
เส้นทางก่อนจะมาเป็นนักแสดงที่ค่าตัวแพงที่สุดในเรื่อง Stranger Things นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวของ มิลลี่ นั้นไม่เคยเรียนการแสดงแบบจริงจังมาก่อน ทว่าเธอกลับชอบท้าทายตัวเองและได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวให้หาสิ่งที่เธอชอบและถนัดที่สุด ซึ่งการแสดงคือหนึ่งในนั้น
Photo : jezebel.com
ช่วงที่อยู่รัฐ ฟลอริด้า เธอเดินหน้าแคสต์งานแสดงต่างๆ หลายครั้งเริ่มตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่เป็นการพลาดบทที่เธอต้องการไป มิลลี่ ต้องใชเวลาถึง 2 ปีเต็มๆ ในการไล่แคสต์งานทั้งภาพยนตร์, ซี่รีส์ และ โฆษณา เพื่อเริ่มนับหนึ่งในเส้นทางนักแสดงอย่างจริงจัง
งานชิ้นแรกที่เธอถูกรับเลือกคือการเล่นบท "อลิซ ตอนเด็ก" จากภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Wonderland ซึ่งแม้ในซีรี่ส์เรื่องนี้เธอจะได้แสดงเพียงแค่ 2 ตอนเท่านั้น แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการฉายแสงและค่อยเริ่มนับ สอง นับสามต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องด้วยการแสดงบท แมดดิสัน โอดอนเนลล์ ตัวละครหลักจากเรื่อง Intruders ในปี 2014
หลังจากผลงานชิ้นนั้นถูกปล่อยออกอากาศ เธอก็ได้รับงานแสดงอีกปีละ 1 ถึง 2 ชิ้นจนกระทั่งเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญนั่นคือการได้เป็นแสดงเป็นตัวเอกที่พูดน้อยที่สุดอย่าง "Eleven" จากเรื่อง Stranger Things ในปี 2016
Photo : www.purpledrama.net
"ฉันแน่วแน่กับการเป็นนักแสดงมาก ฉันเลือกมันแม้ว่าจะต้องเจอกับข่าวฉาวและปาปาราสซี่ แถมยังถูกสัมภาษณ์ตลอดเวลาแต่ฉันก็รักมัน ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบอยู่บ้านและไปโรงเรียนวนไปแบบนั้น ฉันรู้ดีเสมอว่าอะไรจะตามมาหากว่าเราทำในสิ่งที่เรารักอย่างเต็มที่"
ทัศนคติของเธอว่าไปแล้วมันก็มีความคลับคล้ายคลับคลากับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด พอสมควร ตัวของเจอร์ราร์ด ใช้ความพยายามและมีแรงผลักดันอย่างเต็มที่ซึ่งส่งให้เขาขึ้นจากทีมเยาวชนมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี และเมื่อโค้ชจับเขาโยนลงสนาม เขาเหมือนกับ จระเข้ ที่มีสัญชาติญาณนักล่าอยู่ในตัวอยู่แล้ว ต่อให้ไม่เคยฝึกว่ายน้ำก็สามารถทำได้ในทันที เจอร์ราร์ด ขึ้นสู่ชุดใหญ่พรวดเดียวก็กลายเป็นตัวหลักของทีมได้ทันทีและกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้
ตัวของ มิลลี่ เองก็เช่นกัน เธอได้รับงานแสดงในบทที่ยากมากเพราะต้องใช้ความรู้สึกแสดงออกมากกว่าการใช้คำพูด แต่บท "Eleven" ที่ว่าแสดงยากแค่ไหน มิลลี่ ก็สามารถเอามันลงได้อย่างอยู่หมัด การแสดงของเธอตราตรึงใจและกลายเป็นขวัญใจของคอหนังทันทีจากบทนี้ ... สิ่งที่ เจอร์ราร์ด และ มิลลี่ เป็นคือพวกเขาทั้งคู่นั้นมีความฝันที่ชัดเจนจนพร้อมทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก และเอาชนะความกดดันที่คนอื่นๆ มอบให้ ซึ่งแน่นอนว่าที่สุดแล้วทั้ง 2 คนถูกจดจำได้อย่างชัดเจนในบทบาทที่พวกเขาเป็น
ถ้าไม่ได้เป็นดารา คงเป็นนักฟุตบอล...
มิลลี่ เป็นเด็กที่ชื่นชอบที่จะหาอะไรให้ตัวเองแอ็คทีฟเสมอ เธอมักจะบอกว่าสิ่งที่ทำให้เธอกดดันคือการอยู่ในความเงียบสงบที่มากเกินไป ดังนั้นทุกครั้งที่มีเวลาเธอจะต้องหาอะไรทำให้ตื่นตัว และหลีกหนีจากความจำเจ แม้เธอจะจากอังกฤษดินแดนต้นตำรับของฟุตบอลมาหลายปี แต่เธอยอมรับว่าเธอทิ้งฟุตบอลไม่ได้จริงๆ
Photo : www.givemesport.com
"การเตะบอลโดยมีเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ล้อมรอบเนี่ยคือสิ่งที่ฉันคิดว่ามันเจ๋งมาก ฉันสนุกและเด็ดเดี่ยวไปพร้อมๆ กันเมื่อได้เล่นฟุตบอลแม้จะเกร็งๆ กลัวๆ บ้างก็ตาม" เธอกล่าวเริ่ม
"จริงๆ แล้วเส้นทางการเป็นนักแสดงของฉันมันตีคู่ขนานมากับเด็กผู้หญิงที่เตะฟุตบอลมาโดยตลอด มันคือสิ่งที่ต้องเอาชนะความท้าทาย ความขยันหมั่นเพียร และการรักษาตัวตนของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นฟุตบอลจึงเป็นกีฬาที่สามารถสร้างความมั่นใจได้ให้กับเด็กผู้หญิงเหล่านี้ได้แน่นอน" มิลลี่ กล่าวในงานแคมเปญ #WePlayStrong ของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือ "ยูฟ่า" ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่เธอถูกเลือกให้เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ด้วย
มันไม่ใช่การพูดเพื่อเอาใจสปอนเซอร์หรืออะไรก็ตามในแบบฉบับโลกมายา เพราะ มิลลี่ ถึงแม้จะข้ามน้ำข้ามทวีปมาอยู่ที่ อเมริกา แต่สิ่งที่เธอต้องทำเป็นประจำคือการตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเปิดทีวีดูการแข่งขันของทีม ลิเวอร์พูล เป็นประจำ แม้ช่วงไทม์โซนของ อเมริกา จะเท่ากับตอนตี 4 แต่ส่วนใหญ่ มิลลี่ มักจะไม่พลาดเกมของหงส์แดงเลย
Photo : www.picluck.net
เธอยังจำบรรยากาศที่ แอนฟิลด์ ได้เป็นอย่างดีแม้มันจะผ่านเวลามานานแสนนานนับ นับตั้งแต่ย้ายมาอเมริกา 4 ปีเต็มๆ ที่เธอยังไม่เคยได้กลับไปชมเกมในแอนฟิลด์เลย ซึ่งมันเหมือนโชคชะตาลิขิตให้เธอมุ่งมั่นกับการแสดงเต็มที่ เพราะทุกครั้งที่ว่อกแวกคิดจะไปดู ลิเวอร์พูล ถึงสนามเหย้า มันมักจะมีเรื่องให้เธอพลาดไปเสมอ
"ฉันยังไม่มีโอกาสได้กลับไปที่แอนฟิลด์เลย แปลกนะที่ทุกครั้งที่คิดจะไปมันมักจะมีเรื่องวุ่นเสมอ ตั๋วหมดบ้างล่ะ อะไรๆ ไม่เป็นใจบ้างล่ะ แต่พูดตรงๆ ฉันอยากกลับไปที่ที่น่ามหัศจรรย์แห่งนั้นมากๆ บรรยากาศที่แอนฟิลด์มันสุดยอดจนขนลุก" มิลลี่ กล่าวไว้ในช่วงต้นปี 2016 ที่เธอโด่งดังจากเรื่อง Stranger Things แล้ว
อยากทำอะไรต้องทำให้สุด
ในวันสิ้นปีของปี 2016 เธออดใจไม่ไหวที่จะต้องมาที่ แอนฟิลด์ ให้ได้ เพราะ ณ เวลานั้นการเข้ามาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยน ลิเวอร์พูล ไปเยอะมาก มันคือปีเดียวกันกับที่ มิลลี่ ต้องวิ่งรอกถ่ายซี่รี่ส์ Stranger Things บางคิวต้องถ่ายกันหลายชั่วโมงจนเด็กสาวอย่างเธอเกิดเพลียอยากพักผ่อน ทว่าเมื่อกลับถึงบ้านในวันที่ ลิเวอร์พูล มีแข่งเธอยอมรับว่าอดใจไม่ไหวและต้องตื่นกลางดึกเพื่อมาดูเกมให้ได้เสมอๆ
Photo : www.uefa.com
"นี่คือฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่มาก ฉันอยู่ที่ แอตแลนต้าเพื่อถ่ายหนัง แต่ฉันก็ต้องตื่นก่อนแข่งสักชั่วโมงเพื่อมาดู ลิเวอร์พูลเสมอ แม้ว่าบางครั้งฉันจะคุยกับจอทีวีว่า อย่าอืดสิ รีบๆ ยิงประตูกันเลย ไม่งั้นฉันจะไปนอนแล้วนะอะไรแบบนั้น" มิลลี่ กล่าว
เกมในวันสิ้นปีวันนั้นเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนฯ ซิตี้ มิลลี่ ตัดสินใจเดินทางกลับมาที่อังกฤษเพื่อเข้าชมเกม เธอปรากฎตัวด้วยเสื้อหมายเลข 11 ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเบอร์ของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในเกมนั้น ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้ 1-0 จากการยิงของ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ในนาทีที่ 8
"ฉันตื่นเต้นกับทีมลิเวอร์พูลชุดนี้มากๆ มันรับรู้ได้เลยว่าทีมๆ นี้พยายามทำงานอย่างหนักมากจริงๆ" มิลลี่ ฉลอง 3 แต้มที่ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงของลีกในเวลานั้น
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น เพราะก่อนจะเริ่มเกม มิลลี่ ยังได้พบกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไอดอลอันดับ 1 ของเธออีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างในค่ำคืนของวันฉลองปีใหม่ ทำให้ มิลลี่ รู้สึกสนุกและปลดปล่อย มันเหมือนกับการที่เราทำงานหนักมาตลอดและได้กลับหางานอดิเรกเล็กๆ ทำสักอย่าง และงานเล็กๆ นี้เองที่เป็นเหมือนการเติมเชื้่อไฟให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
"ถ้าสามารถใช้พลังของ Eleven ได้ ฉันต้องการทำให้นักเตะลิเวอร์พูลสื่อสารถึงกัน ฉันอยากแบ่งพลังให้กับพวกเขาทุกคน หากมีคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ คนอื่นๆสามารถใช้พลังรักษาผู้เล่นคนนั้นได้ทันที นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันอยากจะทำ"
Photo : www.foxsports.com
นับตั้งแต่วันนั้นที่ มิลลี่ เดินทางไปยังแอนฟิลด์ นี่ก็ผ่านมาแล้วเกือบ 3 ปี ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่แสดงให้เห็นถึงพลังที่รุนแรงมากขึ้นและน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นอย่างที่เธออยากจะให้เป็น หงส์แดง คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้สำเร็จ และที่สำคัญคือ มิลลี่ จะได้ดูเกมของ ลิเวอร์พูล ตอนตี 4 แบบไม่ต้องง่วงหนาวหาวนอนอีกแล้ว เพราะตอนนี้เครื่องจักรสีแดงได้ติดเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนตัวของ มิลลี่ เองก็เติบโตขึ้นในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาทที่มีชื่อเสียง มันคือช่วงเวลาที่ทั้งตัวของเธอและลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ พร้อมๆกันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายนั้นก้าวเดินอย่างแข็งแกร่งพร้อมๆกัน เหมือนกับสโลแกนที่ว่า You'll never walk alone