"อุริโกะ" : สาวเดินเบียร์สนามกีฬาญี่ปุ่นที่เป็นมากกว่าแค่สีสัน
หญิงสาวหน้าตาน่ารักที่แบกกระเป๋าใส่ถังเบียร์ไว้ข้างหลังในชุดสีสันสะดุดตาหรือชุดแข่งของสโมสรเดินไปทั่วสนามแข่ง กลายเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในสนามกีฬาญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามเบสบอล
พวกเธอมักจะมาพร้อมกับประโยค “Tsumetai biru wa ikaga desuka?” (รับเบียร์เย็นๆ มั้ยคะ?) ที่ชักชวนให้แฟนกีฬาลิ้มลองกับเบียร์สดๆ ในระหว่างเกมการแข่งขัน พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
นี่คือ “อุริโกะ” หรือสาวขายเบียร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงการกีฬาญี่ปุ่นมากว่าทศวรรษ รู้จักกับพวกเธอให้มากขึ้นจากบทความนี้
อุริโกะคือ?
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างเสรีในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ เหล้าและเบียร์สามารถหาซื้อได้ทั่วไปสำหรับผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี ไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซื้อ ตู้ขายของอัตโนมัติ หรือแม้กระทั่งในสนามกีฬา
อุริโกะ หรือ สาวขายเบียร์ คือผู้ทำหน้าที่นี้ในสนาม พวกเธอจะกระจายตัวอยู่บนอัฒจันทร์ทั่วสนามแข่ง เสิร์ฟเบียร์สดๆ จากก๊อกให้กับแฟนกีฬา บางสนามอย่าง เมจิ จิงงุ สเตเดียม รังเหย้าชั่วคราวของ โตเกียว ยาคูลต์ อาจมีอุริโกะถึง 160 คนในสนามเดียว
อุริโกะ มาจากคำว่า Biru no uriko หรือเด็กขายเบียร์ในภาษาญี่ปุ่น แม้ในทางความหมายอาจจะไม่ได้ระบุเพศ แต่คนที่มาทำหน้าที่นี้ล้วนเป็นผู้หญิง ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ 16-24 ปี
พวกเธอมักจะสวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น และเสื้อของทีมที่เป็นเจ้าของสนาม หรืออาจจะเป็นเสื้อที่มีสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็น เขียว ส้ม ชมพู หรือเหลือง พร้อมด้วยโลโก้ของยี่ห้อเบียร์
แม้ว่าอุริโกะส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารัก แต่นั่นไม่ใช่คุณสมบัติสำคัญสำหรับอาชีพนี้
แข็งแกร่งได้เปรียบ
อุริโกะ อาจจะดูเหมือนงานพาร์ทไทม์ทั่วไปสำหรับคนหน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้ถูกไปทั้งหมด เพราะการเข้ามาทำงานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด ทุกคนต้องผ่านการออดิชั่นคัดตัว ในบางครั้งอาจจะต้องแข่งกับผู้สมัครถึง 150 คนเพื่อเป็นหนึ่งใน 30 คนสุดท้าย
อุริโกะ ยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรง เพราะต้องแบกถังเบียร์ย่อส่วนที่มีน้ำหนักราว 17 กิโลกรัมเดินไปทั่วพื้นที่ที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เกมเริ่มจนจบเกม ซึ่งหากเป็นเกมที่เริ่มแข่งตอนกลางคืนงานของพวกเธออาจไปจบหลังสามทุ่มเลยทีเดียว
รายได้หลักของอุริโกะ ส่วนใหญ่จะมาจากค่าคอมมิชชั่น โดยพวกเธอจะมีเงินเดือนพื้นฐานอยู่ที่ราว 2,600 เยน และจะได้รับส่วนแบ่ง 30 เยนต่อเบียร์หนึ่งแก้ว แต่ถ้าหากเกิดขายดี ทำยอดขายรวมได้เกิน 350 แก้ว ส่วนแบ่งจะขึ้นไปอยู่ที่ 50 เยนต่อแก้ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้งานของพวกเธอต้องแข่งกับความเร็ว เพราะยิ่งขายได้เร็ว ก็จะเพิ่มโอกาสทำยอดขายได้มากขึ้น และรายได้ก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ อุริโกะจึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัว สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วบนอัฒจันทร์ที่สูงชันในการเข้าไปหาลูกค้า เพื่อทำยอดขายให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในแต่ละเกม
อย่างไรก็ดี เนื่องจากปกติเบียร์หนึ่งถัง จะขายได้มากที่สุดอยู่ราว 22 แก้ว ทำให้พวกเธอจะต้องเผื่อเวลาไปเติมเบียร์ที่จุดเติมเบียร์อีกด้วย และแน่นอนว่าต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เช่นกัน
สถิติที่ดีที่สุดที่บันทึกไว้คือ 13 วินาที โดนขั้นตอนจะเริ่มจากอุริโกะ จะนำกระเป๋าที่มีถังเบียร์เข้าไปเทียบท่า จากนั้นทีมงานจะเอาถังที่บรรจุเบียร์ไว้แล้วมาสับเปลี่ยนในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว จนทำให้มันถูกเปรียบเปรยว่าไม่ต่างกับการเข้าพิทสต็อปของรถสูตรหนึ่งเลยทีเดียว
แม้ว่าอาจจะดูเหมือนเป็นงานไม่ยาก แต่ก็ถือเป็นงานหนักสำหรับผู้หญิง เคยมีอดีตอุริโกะคนหนึ่งบอกว่า หลังจากทำงานนี้น้ำหนักของเธอลดไปถึง 4 กิโลกรัมภายในวันเดียว
“มันเป็นงานที่หนักมาก หนักจนฉันมักจะเจ็บกล้ามเนื้อหลังจากวันนั้น และบางครั้งก็ไม่สามารถลุกยืนได้เลย” ริคิโกะ ไซโต อุริโกะวัย 20 ปีกล่าวกับ Reuters
“ฉันมักจะเป็นแบบนั้นช่วงเริ่มฤดูกาล แต่ฉันก็เริ่มชินกับมันแล้ว”
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทเบียร์จึงมักจะจ้างสาววัยรุ่นทำงานประเภทนี้ และบางครั้ง อาจจะต้องคัดสรรเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่รับผิดชอบ
ถูกที่ถูกเวลา
แม้ว่ามองจากภายนอก อุริโกะ จะมีหน้าที่คล้ายกันไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เบียร์ยี่ห้ออะไร คือคอยบริการขายเบียร์และขนมขบเคี้ยวให้แก่ผู้ชมในสนาม แต่รายละเอียดของแต่ละงานอาจจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่รับผิดชอบ
โดยปกติแล้วในแต่ละโซน จะมีอุริโกะ 3 คนยืนประจำในพื้นที่ โดยใครจะได้อยู่ตรงที่ใด จะมาจากการประเมินของทีมงาน ซึ่งจะแปรผันไปตามยอดขาย พวกเธอจะไม่สามารถเลือกพื้นที่ได้ บางคนอาจจะสับเปลี่ยนไปทุกเดือน แต่บางคนอาจจะได้ขายในพื้นที่เดิมเป็นปี
เนื่องมาจากพื้นที่ล้วนมีผลต่อยอดขาย ทำให้แต่ละโซนต้องการอุริโกะ ที่มีทักษะแตกต่างกันไปเช่นหากได้รับผิดชอบในตำแหน่งทีมเยือน พวกเธอจำเป็นต้องมีความกล้าในการสื่อสารกับลูกค้าใหม่โดยไม่เกรงกลัว เพราะโซนนี้ผู้ชมจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดทั้งปีอยู่แล้ว
หรือหากต้องประจำอยู่ในโซนตั๋วราคาถูกซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ก็อาจทำให้ขายได้ยากขึ้น ดังนั้นอุริโกะในโซนนี้จึงจำเป็นต้องมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะเธอต้องแบกเบียร์ในระยะเวลาที่นานกว่าคนอื่น
ในขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้ซื้อและสภาพแวดล้อมยังสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่นหากได้ประจำในโซนผู้ถือตั๋วปี ซึ่งส่วนใหญ่อายุราว 30-50 ปี ก็อาจจะขายได้มากขึ้น เพราะแฟนกลุ่มนี้มักจะซื้อเบียร์มากกว่า 10 แก้วต่อคน
หรือบางคนอยู่ในโซนใกล้กับสถานีเติมเบียร์ ที่อัฒจันทร์มักจะชันน้อยกว่าโซนอื่น ก็ทำให้พวกเธอ สามารถทำเวลาและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเช่นกัน
แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
อัธยาศัยมัดใจลูกค้า
อุริโกะ เป็นอาชีพที่ต้องปฏิสัมพันธ์ผู้คน หน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และจิตใจที่รักบริการ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ทำอาชีพนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเธอต้องมีสิ่งที่ “ต่าง” ไปจากอุริโกะคนอื่นเพื่อดึงดูดลูกค้า
มิซาโตะ โอริคาสะ คือหนึ่งในนั้น เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้าย สิ่งที่ทำให้เธอพิเศษกว่าคนอื่นคือเธอสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และมักจะฝึกภาษาอังกฤษกับผู้ชมชาวต่างชาติอยู่เสมอ
“สถิติที่ดีที่สุดของฉันในตลอด 4 ปีที่ผ่านมาคือ 249 แก้ว” มิซาโตะ กล่าวกับ Japan Times
“ฉันสนุกกับการพูดคุยกับแฟนๆ มากมาย รวมไปถึงแฟนต่างชาติ มันเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดภาษาต่างประเทศ และทำให้ฉันมีแรงกระตุ้น เพราะว่าฉันอยากทำงานกับบริษัทต่างชาติในอนาคต”
หรือบางคนอาจจะมีเทคนิคในการจองตัวลูกค้า หากเบียร์หมดขณะกำลังริน ด้วยการทิ้งหมวกเอาไว้ และบอกว่า “เดี๋ยวฉันกลับมา” เพื่อให้ผู้ซื้อรอ และไม่ไปซื้อกับอุริโกะคนอื่น หรือบางคนอาจจะใช้วิธีใส่ตุ้มหู ที่เป็นยี่ห้อเบียร์ แทนที่จะถือป้ายยี่ห้อเบียร์เหมือนคนทั่วไป
โฮโนกะ อดีตอุริโกะ ที่ตอนนี้ได้ผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิงเล่าว่า เธอเคยสามารถทำยอดขายได้ถึง 24,000 แก้วภายในระยะเวลา 2 ปี ด้วยเทคนิคเฉพาะตัว ที่อยู่เบื้องหลังความน่ารักของเธอ
โฮโนกะมักจะจดชื่อและลักษณะของลูกค้าใหม่ไว้ในสมาร์ทโฟน เมื่อพบลูกค้าคนนั้นอีกในเกมนัดต่อไป ก็จะเรียกเขาด้วยชื่อตัว (ปกติคนญี่ปุ่นจะเรียกกันด้วยนามสกุล) เพื่อสร้างความสนิทสนม
“ครั้งหนึ่งลูกค้าไปเจอบัญชีอินสตาแกรมของฉัน และเรียกฉันด้วยชื่อ ฉันดีใจนะ ดังนั้นถ้าฉันเรียกชื่อลูกค้าด้วยชื่อเหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาจะดีใจมั้ยนะ” โฮโนกะกล่าวกับ Gendai Business
เธอยังมีเทคนิครินเบียร์ด้วยการคุกเข่าเพียงข้างเดียว (ปกติแล้วเวลารินเบียร์จะคุกเข่าลงไปทั้งสองข้าง) ที่ทำให้ลูกค้าของเธอประทับใจในความแข็งแกร่ง หรือแม้กระทั่งใช้วิธีเปลี่ยนทรงผมเป็นทรงหางม้า หรือพกน้ำหอมไว้ฉีดอยู่เสมอ
และในช่วงปลายปี 2019 นี้ บทบาทของอุริโกะ จะไม่จำกัดแค่แฟนกีฬาในประเทศเท่านั้น
สู่สายตาชาวโลก
อุริโกะ ไม่เพียงแต่เข้าไปอยู่ในใจของแฟนกีฬาญี่ปุ่น แต่การมีใจบริการแบบชาวอาทิตย์อุทัยของพวกเธอ ยังสร้างความประทับใจให้กับชาวต่างชาติอีกด้วย
โทมัน ชีฟเฟอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่เคยมาประจำที่ญี่ปุ่นในช่วงปี 2005-2009 ก็เป็นคนหนึ่งที่ประทับใจในอุริโกะ เดิมทีเขาเคยเป็นอดีตประธานสโมสร เท็กซัส เรนเจอร์ส และเป็นคนที่ชื่นชอบเบสบอลมาก เขาจึงมักจะใช้เวลาว่างเข้าไปชมเกมในสนามขณะที่ดำรงตำแหน่ง
ชีฟเฟอร์ ชื่นชอบอุริโกะมากถึงขนาดตอนที่เขาจัดงานต้อนรับในสถานทูต อย่างวันชาติอเมริกา หรือเลี้ยงต้อนรับนักกีฬาจากเมเจอร์ลีกที่เดินทางมาญี่ปุ่น เขามักจะจ้างอุริโกะ จาก จิงงุ สเตเดียม มาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขกในงานเลยทีเดียว
และในช่วงวันที่ 20 กันยายน-2 พฤศจิกายน แฟนกีฬาต่างชาติก็จะมีโอกาสได้สัมผัสกับสเน่ห์ของอุริโกะ อย่างใกล้ชิด เมื่อญี่ปุ่นได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019
คาดกันว่าในการแข่งขันครั้งนี้ น่าจะมีแฟนรักบี้ต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาชมการแข่งขันถึงแดนอาทิตย์อุทัยถึง 400,000 คน ที่ประเมินว่าพวกเขาน่าจะดื่มเบียร์มากกว่าชาวญี่ปุ่นถึง 4 เท่า ทำให้ อุริโกะ จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความประทับใจต่อผู้ชมต่างชาติ
“เรามีวิธีที่เป็นเอกลักษณ์มากมายในการขายเบียร์ในประเทศของเรา อย่างที่เห็นเป็นประจำในสนามเบสบอลและฟุตบอล เรามีอุริโกะ ซึ่งเป็นสิ่งพิเศษในญี่ปุ่น” ฮิโรกิ มัตสึอากิ ผู้อำนวยการฝ่ายขายของ ไฮเนเกน-คิริน ผู้สนับสนุนหลักรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 เผย
“ทีมผู้จัดงานกำลังดำเนินการในเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะทำให้ผู้ชมต่างชาติต้องอึ้งที่ได้เห็นการขายเบียร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา”
เพราะรักจึงสู้
แม้อุริโกะจะดูเป็นงานที่ใช้หัวใจในการบริการสูง เพราะต้องเอาใจลูกค้า รวมไปถึงกดดันจากการต้องทำยอดขายแข่งกับคนอื่น อีกทั้งเป็นงานที่ใช้แรงไม่น้อย แต่มันก็เป็นงานในฝันของสาวๆ หลายคน
“ตอนเด็กๆ ครอบครัวของฉันชอบเบสบอล และเรามักจะมาชมเบสบอลในสนาม” อามิ มาเอดะ อุริโกะวัย 19 ปีที่ทำงานในสนามจิงงุ สเตเดียมมากว่า 2 ปีกล่าวกับ Reuters
“ตอนที่พ่อแม่ของฉันซื้อเบียร์ รอยยิ้มของอุริโกะนั้นน่ารักมากๆ ฉันจึงรู้ว่าเมื่อโตขึ้นฉันอยากเป็นอุริโกะ”
มันยังเป็นงานที่รายได้ดีสำหรับนักเรียนนักศึกษา แค่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดโอกาสให้คนที่ชื่นชอบเบสบอลได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศในสนาม ทำให้แม้จะเป็นงานหนักเพียงใด ก็ยังมีคนสนใจที่จะทำอาชีพนี้อยู่เสมอ
และนี่ก็อาจจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ อุริโกะ กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของการชมกีฬาญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และขาดไม่ได้ในทุกวันนี้
“ฉันเริ่มทำงานนี้เพราะฉันชอบเบสบอล ฉันรักมันเพราะว่าฉันสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่นักกีฬาที่ฉันชอบเล่นเบสบอล” นาโฮะ อุริโกะ ของทีมโยโกฮามา เบย์สตาร์กล่าวกับ Star Stripes Okinawa
“อุริโกะมีสองแบบ คือคนที่รักเบสบอลและง่ายๆ เลย คนที่รักในงานนี้”
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ