วิทยาศาสตร์และความลับของ "โลมาเชนโก้" กำปั้นดีสุดในโลกเมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์
นักชกที่ดีที่สุดในโลกหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์... คำนี้เริ่มจะถูกเรียกใช้แทนชื่อของ วาซิลี่ โลมาเชนโก้ นักชกชาวยูเครน มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวันนี้ ด้วยสไตล์ที่ครบเครื่องเหลือเชื่อ
“พลิ้วไหว ฉากหลบ ถอย รุก และมีพลังหมัดสามารถโป้งเดียวปิดบัญชีได้” ที่สำคัญสามารถยืนชกครบ 12 ยกได้แบบสบายๆ
ในความครบเครื่องนี้มีความลับของนักกีฬายุคใหม่ซ่อนอยู่ เพราะความใจสู้อย่างเดียวไม่พอและนั่นทำให้ โลมาเชนโก้ มองหาศาสตร์ที่จะเข้ามาเสริมเขี้ยวเล็บของเขา
ติดตามเรื่องราวของวิทยาศาสตร์การกีฬาจากเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย และเข็มขัดแชมป์โลก 5 เส้นได้ที่นี่
ชายผู้พีคตลอดเวลาที่ใส่นวม
วาซิลี่ โลมาเชนโก้ เกิดมาเพื่อเป็นนักชกอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มชาวยูเครนเป็นลูกนักมวยที่โดนจับใส่นวมตั้งแต่อายุไม่กี่วันและภาพถ่ายนั้นยังถูกแขวนไว้อยู่บนฝาบ้านจนทุกวันนี้
เขาถูกฝึกอย่างจริงจัง ขึ้นชกครั้งแรกตอนอายุ 4 ขวบ และตอนอายุ 6 ขวบสามารถวิดพื้นได้มากกว่า 100 ครั้ง ทั้งหมดนี้ทำให้เขาถูกจับขึ้นชกระดับสมัครเล่นในรุ่นจูเนียร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบเท่านั้นเอง
นอกจากพ่อที่เป็นครูคนแรกแล้ว โลมาเชนโก้ ยังเป็นเด็กที่ให้ความนับถือ ไมค์ ไทสัน เป็นอย่างมาก เขาชอบในความดุดันของ ไอออน ไมค์ และคาดหวังเสมอว่าสักวันจะต้องกลายเป็นฮีโร่ของชาติเหมือนกับที่ ไทสัน เป็นให้ได้
"ฮีโร่คนแรกของผมคือ ไมค์ ไทสัน เขาเก่งมากและผมคิดว่าเขาเป็นชาวยูเครนเหมือนกับผม เขาเป็นตำนานของประเทศ แต่พ่อผมบอกว่า 'ไม่ใช่ ไทสัน เป็นคนอเมริกัน' ผมผิดหวังมาก โกรธมากจริงๆ นั่งร้องไห้เป็นวันๆ เลยกับเรื่องนี้" โลมาเชนโก้ เล่าถึงการคลุกคลีกับมวยตั้งแต่ที่เขายังไร้เดียงสา
เรื่องราววัยเด็กทั้งหมดที่กล่าวมาคือเรื่องที่ทำให้ โลมาเชนโก้ กลายเป็นนักมวยสมัครเล่นที่ดีที่สุดในประเทศยูเครน เขาสามารถเอาชนะนักมวยทุกคนในประเทศได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี และกลายเป็นหัวหอกในการล่าเหรียญทองโอลิมปิกของประเทศ ยูเครน ตั้งแต่ ปี 2008 ที่ปักกิ่ง (รุ่นเฟเธอร์เวต) และปี 2012 ที่ลอนดอน (รุ่นไลต์เวต) โดย โลมาเชนโก้ ทำสถิติไม่แพ้ใครเลยในโอลิมปิกทั้ง 2 ครั้งและคว้าเหรียญทองมาได้ทุกครั้ง จนถูกเรียกว่านักชกที่เหนือชั้นที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิกเลยทีเดียว
มีนักชกหลายรายที่ไปถึงเหรียญทองโอลิมปิกแล้วแต่เมื่อเปลี่ยนมาชกอาชีพ กลับโดนความแตกต่างระหว่างสองเวทีเล่นงานจนไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเก่า ซึ่งทำให้ระยะหลังฮีโร่โอลิมปิกจึงไม่ค่อยถูกให้ราคามากนักในการชกระดับอาชีพ แม้จะรู้อย่างนั้นแต่ โลมาเชนโก้ นั้นมีความต้องการที่จะท้าทายตัวเองให้ถึงขีดสุด เพราะในระดับสมัครเล่นเขาชกมาทั้งหมด 397 ไฟต์ สามารถเอาชนะได้ถึง 396 ไฟต์ แพ้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เขากระโดดขึ้นสังเวียนอาชีพในปี 2013 หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิกสมัยสอง และเซ็นสัญญากับค่าย Top Rank ของ บ็อบ อารัม ไฟต์แรกของเขาคือการชกกับ โฮเซ่ รามิเรซ นักชกจาก เม็กซิโก ซึ่งตัวของ โลมาเชนโก้ ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ยกเท่านั้นก็สามารถน็อกเอาต์และประเดิมสังเวียนอาชีพได้สำเร็จ
แม้จะโดน ออร์ลันโด้ ซาลิโด้ ยัดเยียดความปราชัยตั้งแต่ไฟต์ 2 ในอาชีพการชก แต่โลมาเชนโก้ก็กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ชัยชนะในระดับอาชีพที่ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก และเหล่าเซียน นำโดย เดอะ ริง ต่างยกให้เป็นนักชกที่ดีที่สุดในโลกหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์
จุดเด่นของ โลมาเชนโก้ คือ "ความครบเครื่อง" เขาเป็นมวยฝีมือ, ฉลาดเป็นกรด, พลังหมัดหนักหน่วง ที่สำคัญคือแข็งแกร่งทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ นี่อาจจะเป็นคุณสมบัติที่บรรยายเกินจริง แต่ที่สุดแล้วมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับนักชกชาวยูเครน เขาต้องขยับรุ่นชกขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีมวยรุ่นเดียวกันให้ชกแล้ว ตลอด 6 ปีที่เทิร์นโปรเขาชกไปแล้ว 3 รุ่นน้ำหนัก และสามารถคว้าแชมป์โลกได้หมด เริ่มตั้งแต่รุ่นเฟเธอร์เวตของ WBO, จูเนียร์ไลท์เวต ของ WBO ก่อนที่จะครองแชมป์โลกรุ่นไลต์เวตของ WBA, WBO และ เดอะ ริง ในปัจจุบัน
หาได้ไม่มากนักสำหรับนักชกที่เทิร์นโปรแค่ไม่กี่ปี แต่สามารถถือเข็มขัดแชมป์โลก 3 รุ่นแบบที่ โลมาเชนโก้ ทำได้ สื่อต่างประเทศอย่าง Boxrec และ heavy พยายามเจาะลึกว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาเก่งกาจได้ขนาดนี้? ชก 6 ปี คว้าแชมป์โลกมาแล้ว 5 เส้น รวมถึงความกล้าบ้าบิ่นที่ไม่เคยกลัวแพ้ ... ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีคำว่าฟลุก เพราะเจ้าตัวเปิดเผยเองว่าความอัจฉริยะที่โลกได้เห็นนั้น เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง
สร้างอัจฉริยะไม้แข็ง
โลมาเชนโก้ มีวินัยและเจอกับอะไรที่โหดมากๆ มาตั้งแต่เด็ก...
มันมากกว่าที่ใครๆ คิดไว้เพราะแม้ อนาโตลี โลมาเชนโก้ พ่อของเขาอาจจะไม่ใช่นักมวยที่เก่งและประสบความสำเร็จอะไรมากนัก แต่สกิลเรื่องการเลี้ยงลูกและสร้างกุศโลบายให้ โลมาเชนโก้ ในวัยเด็กทำตามได้นั้นต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลย
อนาโตลี รู้ว่าลูกชายของเขาชื่นชอบการชกมวยมาก แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกชายทำไปโต้งๆ โดยไม่มีพื้นฐานที่ดี แรกเริ่มเดิมทีนั้น อนาโตลี ต่อต้านจนลูกชายของเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ยอมให้ฝึกซ้อมมวยแบบเต็มที่ เพราะในตอนนั้น โลมาเชนโก้ เป็นเด็กไม่ตั้งใจเรียน และเขาคิดว่านี่ไม่ใช่คุณสมบัติของนักกีฬาที่ดี
"เรียนยังไม่ได้เรื่องแล้วจะเป็นนักมวยได้อย่างไรกัน? กีฬาทุกชนิดต้องการนักกีฬาที่เป็นคนฉลาด" อนาโตลี ให้คำจำกัดความง่ายๆ เพราะ ณ เวลานั้นลูกชายของเขาไม่ตั้งใจเรียน ผลการเรียนไม่ดี และมีพฤติกรรมที่ควบคุมยากจนคุณครูต้องเรียกคุณพ่อพบแทบทุกวัน
"ครูเรียกพ่อของผมมา และทั้งสองคนคุยกันอยู่พักใหญ่ เขาเดินมาบอกผมว่า เอาล่ะถ้าแกไม่อยากจะสอบแข่งขันกับใครก็ลืมเรื่องที่อยากทำไปได้เลย จนกว่าแกจะทำข้อสอบถูกและทำตัวดีพ่อจะตีความว่าแกยังไม่พร้อมที่จะเป็นนักมวย" โลมาเชนโก้ คนลูกเล่าบ้าง
เขาบอกว่าพ่อของเขาเป็นคนที่เหลือเชื่อเพราะ อนาโตลี รับบทบาททุกอย่างอยู่รอบตัวเขา ทั้งโค้ชมวย, นักจิตวิทยา, ฟิตเนสเทรนเนอร์, คุณครูสอนหนังสือ และ เป็นเพื่อนของเขาด้วย สิ่งที่ อนาโตลี ทำคือการไม่บังคับลูกชายแต่จะใช้วิธีแลกเปลี่ยนความต้องการกัน อาทิเมื่อลูกชายกลับมาตั้งใจเรียนตามสัญญาและอยากชกมวยจริงจัง ผู้เป็นพ่อจะบอกว่าได้แต่ต้องมีอะไรมาแลก และหนึ่งในสิ่งที่ลูกชายไม่เข้าใจคือเขาต้องไปเข้าเรียนคอร์สเต้น Hopak ซึ่งเป็นการเต้นแบบชาว ยูเครน ที่ใช้เท้าเป็นหลัก
"โคตรเกลียดเลยนะเอาจริงๆ ผมเซ็งมากทุกครั้งที่เข้าคลาสเต้น เพราะผมไม่อยากมาทำอะไรแบบนี้เลย" เขาเปิดใจแบบตรงๆ เพราะไม่เข้าใจว่านักชกมวยมาเกี่ยวอะไรกับการเต้น มันเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันเลย และตอนแรกแม้แต่ อนาโตลี ผู้เป็นพ่อก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
"เราไปดูที่คลาสแล้วส่ายหัวเลย เราไม่ชอบมันหรอก แต่มันจำเป็นจริงๆ ทำไมต้องเต้นน่ะเหรอ? เพราะ Hopak เป็นการเต้นที่ใช้กำลังขาและการเคลื่อนที่เยอะมาก มันเป็นเรื่องของการใช้เซ้นส์จับจังหวะและเคลื่อนไหวด้วย" อนาโตลี มองไปไกลถึงอนาคต
ความเป็นมืออาชีพของ โลมาเชนโก้ คือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าเขาจะเกลียดมันอย่างไรและหน้าบูดบึ้งแค่ไหนตอนที่พ่อมาส่ง แต่เมื่อเข้ามาถึงคลาสเขาจะทำมันอย่างเต็มที่ ซึ่งสเต็ปเท้านี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพลิ้วไหวของ โลมาเชนโก้ ที่เป็นจุดเด่นของเขาในระดับสมัครเล่นจนได้สถิติชก 397 ครั้งชนะ 396 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ชกในระดับจูเนียร์นั้น โลมาเชนโก้ ออกสเต็ปการเต้นชัดเจนสุดๆ ผ่านฟุตเวิร์ก และการโยกหลบ ทุกอย่างเกิดจากสิ่งที่เขาเกลียดในคลาสเรียนเต้นอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ อนาโตลี จะบอกให้ลูกชายลองกีฬาหลากหลายประเภท เพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อได้ลองครบแล้วยังชอบมวยอยู่หรือเปล่า ซึ่งท้ายที่สุด โลมาเชนโก้ ในวัย 8 ขวบบอกว่าชอบ ผู้เป็นพ่อก็เอาจริงทันที
การฝึกแบบธรรมดาอย่างชกกระสอบทรายแบบนักชกปกติคนอื่นๆ นั้นต้องมีอยู่แล้ว แต่ที่ โลมาเชนโก้ เจอเพิ่มคือการฝึกเรื่องพละกำลังเป็นส่วนใหญ่ หนักที่สุดคือการพายเรือออกไปกลางทะเล และเมื่ออยู่ห่างจากฝั่งเขาจะสั่งให้ลูกชายกระโดดลงจากเรือและว่ายกลับเข้าฝั่งเองโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสถิติที่ โลมาเชนโก้ โดนปล่อยทิ้งไกลที่สุดคือ 9 กิโลเมตรห่างจากชายฝั่ง
"สถิติดีสุดของผมในการดำน้ำก็ประมาณ 4:30 นาที ทำไว้ก่อนโอลิมปิก 2012 ใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำได้แบบนั้น ถ้าผมได้ฝึกทุกวันผมเชื่อว่าผมยังทำลายสถิติของตัวเองได้อีก"
การปลูกฝังตั้งแต่เด็กว่าชีวิตของแชมเปี้ยนนั้นไม่มีอะไรง่ายทำให้ โลมาเชนโก้ ซึมซับมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย รู้ตัวอีกทีเขาก็เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันในระดับที่คนธรรมดาต้องร้องโอดโอยแน่หากเจอกับโปรแกรมแต่ละวันของเขา แต่สำหรับ โลมาเชนโก้ เขาทำทุกวันราวกับไม่ได้รู้สึกลำบากหรือเหนื่อยอะไรเลย
ซูเปอร์แมนนอกสนาม
ยิ่งโตขึ้นการฝึกก็ยิ่งจริงจังมากขึ้น โลมาเชนโก้ ทำทุกวันอย่างตั้งใจ... ในช่วงระดับสมัครเล่นเขาอาจจะผ่อนเรื่องวินัยไปบ้างเพราะแค่พรสวรรค์ที่มีอย่างเดียวก็เหลือแหล่ แต่ในวันที่เขาเทิร์นโปรทุกสิ่งเปลี่ยนไปบนทิศทางของความจริงจังมากกว่าเดิม
"ตอนเป็นนักชกสมัครเล่นผมเคยปล่อยให้ตัวเองกินชีสเบอร์เกอร์และน้ำอัดลมบ้าง แต่พอเป็นนักชกอาชีพผมรู้ว่าผมต้องลดน้ำหนักลง 10-12 ปอนด์สำหรับรุ่นเฟเธอร์เวต (พิกัด 126 ปอนด์) ผมเลยจริงจังกับอาหารมาก ผมจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการมาสอนกันตัวต่อตัวเลยว่าอะไรกินได้ อะไรต้องหลีกเลี่ยง ผมทำเช่นนี้ติดๆ กันมาหลายปีแล้ว ทำจนรู้ว่าอาหารทุกมื้อสำคัญขนาดไหนและต้องกินอย่างไรสำหรับการสู้บนสังเวียน"
สิ่งที่สะท้อนคำพูดดังกล่าวของ โลมาเชนโก้ คือความมีวินัยที่สม่ำเสมอ และการไม่หยุดหาความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการออกหมัด อาทิเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ โลมาเชนโก้ บอกว่าตัวของเขานั้นเป็นนักมวยที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ที่สุดในโลก เขาจะเลือกกินอาหารในแต่ละวันแบบไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่จะทำของวันนั้นๆ คืออะไร และเขาจะเลือกเสริมให้ถูกหลักโภชนาการมากที่สุด
"อย่างวันซ้อมผมจะเน้นกินคาร์โบไฮเดรตหนักๆ เพื่อให้ออกกำลังกายได้มากขึ้นและไม่เหนื่อย ทุกอย่างเริ่มต้นที่อาหารอันนี้สำคัญมากๆ ผมตื่นตี 5 เพื่อเริ่มวันใหม่ด้วยการออกไปเดินหรือจ๊อกกิ้งเบาๆ สัก 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น และช่วง 9 โมงเช้าผมจะมานั่งจับเข่าคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อฝึกวิธีจัดการกับความคิดของตัวเองตอนที่อยู่บนเวที" ใช่แล้ว นอกจากวิทยาศาสตร์การกีฬา สิ่งที่ยังเหนือชั้นไปอีกขั้นสำหรับ โลมาเชนโก้ คือการสร้างวิธีรับมือกับความคิดในการชกมวย ซึ่งเขาถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยด้วย
จุดเริ่มต้นง่ายๆ ที่เขาเลือกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้คือไฟต์เดียวที่เขาแพ้สมัยชกสมัครเล่นให้กับ อัลเบิร์ต ซาลิมอฟ นักชกจาก รัสเซีย ในศึกชิงแชมป์โลกปี 2007 รอบชิงชนะเลิศ วันนั้นเขาคิดว่าตัวเองสมควรเป็นผู้ชนะ และมันเป็นวันที่เขารู้จักคำว่าผิดหวังเป็นครั้งแรก
"ผมเคยดูมวยกับพ่อและเห็นนักมวยคนที่แพ้ร้องไห้ ผมถามพ่อว่าทำไมต้องเสียใจขนาดนั้น? ก่อนที่พ่อผมจะตอบว่า แกไม่เข้าใจหรอก แต่เดี๋ยวสักวันแกก็จะรู้เอง" สองพ่อลูกคุยกันเมื่อครั้งยังเด็กและวันที่ โลมาเชนโก้ คนลูกเข้าใจก็มาถึงจริงๆ
"ผมเริ่มชกมวยตอน 6 ขวบ และผมไม่เคยลงจากเวทีโดยการเป็นผู้แพ้เลยสักครั้ง แต่สิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้ในวันที่คุณแพ้คือ คุณต้องเริ่มจากยอมรับมันให้ได้ แต่วันนั้นผมไม่คิดว่าผมเป็นคนแพ้" จุดอ่อนของ โลมาเชนโก้ คือเมื่อเคยแต่ชนะ เขาไม่รู้ว่าตอนพ่ายแพ้ควรต้องทำตัวอย่างไร และนั่นเองนักจิตวิทยาจึงมีบทบาทสำคัญทันที
"ผมใช้บริการนักจิตวิทยาตั้งแต่ปี 2011 ก่อนที่จะไปชกโอลิมปิก และตอนที่ผมเทิร์นโปรมันเริ่มจริงจังมากขึ้น การถูกดูแลเรื่องนี้ทำให้ผมควบคุมตัวเองได้ ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว สงบสติอารมณ์ได้ และมีการคำนวณในหัวตลอดตอนที่ชกมวย"
"ผมทำแบบฝึกหัดฝึกสมองและการจดจำตลอด ผมคิดว่ามีนักมวยไม่กี่คนหรอกที่ทำแบบผม แต่สำหรับผมแล้วทุกอย่างสัมพันธ์และสอดคล้องกันหมด ทุกสิ่งที่ผมเลือกทำคือสิ่งที่จำเป็นทั้งนั้น"
แต่ละอย่างที่ทำเป็นเหมือนเส้นทางลัดที่ทำให้ โลมาเชนโก้ ซึ่งเทิร์นโปรได้ไม่กี่ปี ขึ้นสังเวียนชกแค่ 14 ไฟต์แต่ก็กลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ตอนนี้หลายคนอาจจะยังแคลงใจในความเก่งกาจของเขาอยู่บ้าง เพราะเขายังไม่ได้เจอยอดฝีมือในรุ่นใหญ่กว่าอย่าง เกนนาดี้ โกลอฟกิ้น, ไมกี้ การ์เซีย หรือแม้แต่ คาเนโล่ อัลวาเรซ อย่างไรก็ตามชัยชนะต่อทั้ง 3 คนที่กล่าวมาใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อถึงวันนั้น คงหนีไม่พ้นที่ โลมาเชนโก้ จะต้องขยับน้ำหนักขึ้นไปชกในรุ่น มิดเดิลเวต กับ โกลอฟกิ้น และ คาเนโล่ หรือไปที่รุ่น เวลเตอร์เวต กับ ไมกี้ แน่นอนว่าเขาจะเสียเปรียบหากไต่น้ำหนักขึ้นไป ทว่าสิ่งต่างๆ ที่ วาซิลี่ โลมาเชนโก้ ทำมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้ถือว่าเป็นศาสตร์ที่กำลังรอพิสูจน์ตัวเองในเวทีมวย วิทยาศาสตร์, จิตวิทยา และ พลังกายที่เหนือชั้น จะถูกชื่นชมและพูดถึงมากกว่านี้แน่หาก โลมาเชนโก้ คว่ำทุกคนที่ขวางหน้าลงได้
ไฟต์ต่อไปของเขาจะเป็นการชกกับ ลุค แคมป์เบลล์ นักชกชาวอังกฤษ ชิงเข็มขัดแชมป์รุ่นไลต์เวตของ WBC ที่ว่าง วันที่ 31 สิงหาคม 2019 และหากชัยชนะเป็นของ โลมาเชนโก้ เขาจะกลายเป็นเจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก 6 เส้น และ 4 เส้นพร้อมกัน จากการขึ้นชกแค่ 15 ไฟต์เท่านั้น... นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีให้เห็นบ่อยๆ และมันจะพิสูจน์ได้ว่าวิทยาศาสตร์นั้นสำคัญแค่ไหนสำหรับนักกีฬาในยุคนี้
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ