กว่าจะถึงวันนี้ของ "แฮร์รี่ แม็คไกวร์" กองหลังค่าตัวแพงสุดประวัติศาสตร์โลก

กว่าจะถึงวันนี้ของ "แฮร์รี่ แม็คไกวร์" กองหลังค่าตัวแพงสุดประวัติศาสตร์โลก

กว่าจะถึงวันนี้ของ "แฮร์รี่ แม็คไกวร์" กองหลังค่าตัวแพงสุดประวัติศาสตร์โลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตลาดซื้อขายนักเตะแสนบ้าคลั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มเงินซื้อ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในตำแหน่งกองหลัง

และด้วยราคาดังกล่าวทำให้หลายคนสงสัยในตัวของกองหลังรายนี้ว่าจะเป็นเช่นไรหากวันหนึ่งเขาต้องลงเล่นท่ามกลางสปอตไลท์และความกดดันตามราคาที่ติดตัว และที่สำคัญเขาจะไปรอดหรือไม่เมื่ออยู่ดีๆ ค่าจ้างก็เพิ่มขึ้นจากที่มีรายงานว่ารับกับทีมจิ้งจอกสยาม 90,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เป็นเท่าตัว และได้เล่นกับหนึ่งในทีมที่คนสนใจมากที่สุดในโลก

ติดตามเรื่องราวของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ในแง่มุมของมนุษย์คนหนึ่ง ... ในวันที่ไม่ได้สวมรองเท้าสตั๊ด แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เป็นคนอย่างไร?

อะคาเดมี่ที่ดี ไม่เท่า ประสบการณ์ที่ได้รับ

"0.012%" คือตัวเลขที่เคยเป็นดราม่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เมื่อผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ดที่เติบโตมากับระบบเยาวชนของทีมอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด และ มาร์คัส แรชฟอร์ด โพสต์ตัวเลขดังกล่าวลงในอินสตาแกรม เพื่อเป็นการบอกว่า มีผู้เล่นเยาวชนในอังกฤษเพียงแค่ 180 คนเท่านั้นจากทั้งหมด 1.5 ล้านคนที่สามารถพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนถึงขั้นที่สามารถค้าแข้งในลีกสูงสุดของประเทศได้อย่างพวกเขา

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการคัดหาหัวกะทินั้นแสนยากเย็นและกลุ่มนักเตะอัจฉริยะวัยเด็กหลายคนไม่สามารถทะลุขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ แม้จะเติบโตกับทีมดังๆ ที่มีระบบอะคาเดมี่ติดอันดับโลก แต่สำหรับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เด็กหนุ่มตัวใหญ่ที่ไม่มีพรสวรรค์มากมายในช่วงดาวรุ่ง เขาเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?


Photo : Daily Mail 

ครอบครัวของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ อาศัยอยู่ในเมืองเชฟฟิลด์ และเป็นชาวคาทอลิกเต็มขั้น เขาได้อิทธิพลด้านลูกหนังมาจากผู้เป็นพ่อที่เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน แม่ของเขาเล่าว่าทุกครั้งที่แฮร์รี่กลับจากโรงเรียนเสื้อผ้าของเขาจะมอมแมมไปด้วยโคลนเสมอ

แม็คไกวร์นั้นมักจะติดสอยห้อยตาม โจ ผู้เป็นพี่ไปเสมอไม่ว่าจะไปเล่นฟุตบอลและคัดตัวที่ไหน ซึ่งหลังจากได้เล่นให้กับทีมในท้องถิ่น บรุนส์เมียร์ แอธเลติก ก็ได้เข้าไปอยู่ในระบบเยาวชนของ บาร์นสลี่ย์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตามลำดับ

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าความหวังของเด็กและผู้ปกครองในช่วงเวลาที่กำลังตั้งไข่ พวกเขาอยากจะให้ลูกๆ ได้อยู่กับทีมที่มีระบบเยาวชนที่แข็งแกร่งและมีความเป็นมืออาชีพสูงเพื่อต่อยอดถึงอนาคต แต่สำหรับแม็คไกวร์นั้น เขาเชื่อว่าการพัฒนาที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงของสโมสรหรือระบบเยาวชน แต่มันคือโอกาสที่เหล่านักเตะดาวรุ่งจะได้รับต่างหาก

ที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด แม็คไกวร์ได้เจอกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมากๆ แรกเริ่มเดิมทีนั้นเขาเล่นในตำแหน่งกองกลางแต่ตอนที่เล่นในทีมเยาวชน จอห์น เทมเบอร์ตัน ผู้เป็นโค้ชมองเห็นว่าตัวของแม็คไกวร์นั้นสูงและใหญ่กว่าเด็กๆ รุ่นเดียวกันชัดเจน เขาจึงจับ แม็คไกวร์ ถอยไปเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

"เหุตผลที่ผมเป็นกองหลังที่ครองบอลดีก็เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมเล่นเป็นกองกลางมาก่อนไง พออายุสัก 16-18 ปี ผมกลับสูงขึ้นพรวดเดียวไปถึง 192 เซนติเมตร แล้วหลังจากนั้นผมก็เล่นกองหลังตลอดมา เพราะเรื่องง่ายๆ ผมตัวใหญ่ที่สุดแล้วก็สูงที่สุดในสนามเท่านั้นเอง" แม็คไกวร์เล่าแบบขำๆ ที่ทำให้เขาได้เจอตำแหน่งที่แท้จริง


Photo : Leicester Mercury

กลุ่มผู้เล่นที่เติบโตมาพร้อมๆ กับ แม็คไกวร์ มีทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ และ เจค ลิเวอร์มอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เติบโตมาจากอะคาเดมี่ของทีมเล็กๆ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติอังกฤษทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาจากนักเตะอย่าง นิค โป๊ป และ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ได้ติดทีมชาติอังกฤษเหมือนกับเขา ทั้งๆ ที่เติบโตจากบอลรากหญ้ายิ่งกว่า

"ผู้เล่นอย่างผม, นิค โป๊ป (นายทวารทีมชาติอังกฤษจาก เบิร์นลี่ย์) และ เจมี่ วาร์ดี้ (กองหน้าของ เลสเตอร์ ซิตี้) เราคือผู้ที่เติบโตมาแตกต่างกับผู้เล่นดาวรุ่งคนอื่นๆ พวกเรามีความคล้ายคลึงกันมากโดยเฉพาะการได้เตะในระดับลีกล่างมาอย่างโชกโชน"

"เมื่อคุณได้ลงเล่นในลีกที่ต่ำลงมาคุณจะได้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะประสบการณ์นี่แหละ ทั้งเรื่องคุณภาพของเกมและสิ่งต่างๆ นอกสนาม ซึ่งนั่นแหละคือเรื่องสำคัญมากที่ผู้เล่นวัยรุ่นต้องได้รับการเรียนรู้"

"ในพรีเมียร์ลีกคุณเองก็คงได้เห็นแล้วว่ามีนักเตะดาวรุ่งเก่งๆ ของแต่ละทีมเต็มไปหมด แต่กว่าพวกเขาจะได้กลายเป็นตัวหลักและลงสนามให้ทีมชุดใหญ่บ่อยๆ พวกเขาก็ต้องรอถึงอายุ 21-22 ปี โน่น"

"แต่สำหรับผม ตอนอายุ 20 ปี ผมได้ลงเล่นไปแล้วกว่า 160 เกม และส่วนตัวผมคิดว่าโอกาสนี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด" แม็คไกวร์ กล่าว


Photo : The Times

ตัวของแม็คไกวร์เชื่อว่าการที่ใครสักคนจะรู้จักจุดอ่อนและข้อเสียของตัวเองได้นั้นพวกเขาจะต้องมีประสบการณ์ก่อนเป็นอย่างแรก โดยเฉพาะเหล่าผู้เล่นที่ไม่ได้มีพรสวรรค์ล้นเหลืออย่างเขานั้น การได้ลงสนามและเห็นความผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาค่อยๆ แก้ไขสิ่งต่างๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย และเหนือสิ่งอื่นใดยิ่งได้ลงเล่นมาก เขาก็ยิ่งมั่นใจ แม้จะเป็นการเล่นในลีกรอง แต่เมื่อทำผลงานได้ดี แม็คไกวร์ ก็กลายเป็นคนที่มีความกระหายที่จะประสบความสำเร็จในการเล่นลีกใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

"ตอนผมเล่นในลีกวัน (ลีกระดับ 3 ของประเทศ) ผมบอกตัวเองเสมอว่าเป้าหมายเดียวของเราคือการเล่นในลีกสูงสุดให้ได้ ผมว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกพวกนักเตะลีกล่างฝันเหมือนกันทุกคน พวกเราอยากจะไปให้ถึงจุดสูงสุดในสักวัน โชคดีที่มันเกิดขึ้นกับผม"

จงนอบน้อมและถ่อมตัว

อย่างไรก็ตาม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม็คไกวร์ คือนักเตะที่เริ่มนับจาก 0 จริงๆ จังๆ ไม่มีแต้มต่อใดๆ ทั้งสิ้น เขาลงเล่นในลีกระดับ 3 ของประเทศและได้ค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด ซึ่งสิ่งนี้เองที่สอนบางสิ่งให้กับเขาอย่างไม่รู้ตัว และสิ่งนั้นคือ "วิชาชีวิต"

การได้ลงเล่นตั้งแต่ยังเด็กและต้องรับความกดดันระดับผู้เล่นอาชีพทำให้ แม็คไกวร์ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากคนรอบข้าง เขาเคยเล่นผิดพลาดและโฉ่งฉ่างบ่อยครั้งสมัยเล่นในลีกวันกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด ทุกครั้งที่เขาผิดพลาด ผู้จัดการทีมจะด่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายในเกมต่อมาเขาจะถูกส่งลงสนามเป็น 11 ตัวจริงเสมอ

"ผมเคยเล่นพลาดบ้าง แต่ที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด หลายคนเชื่อใจผม หากเป็นฟุตบอลยุคปัจจุบันผมมั่นใจเลยว่าผู้จัดการทีมจะต้องไม่ให้อภัยและมองหานักเตะที่มีประสบการณ์มาเล่นแทน แต่ที่นี่ไม่ใช่แบบนั้น" ยิ่งพลาดยิ่งเก่งขึ้น ยิ่งได้ลงเล่นก็ยิ่งห้าว หลังจากนั้นเรื่องการจัดการด้านอารมณ์ของ แม็คไกวร์ ก็เปลี่ยนไปมาก เขาถูกสอนว่าแม้จะอายุยังน้อยก็ต้องแสดงออกให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเมื่อลงสนาม และเมื่ออยู่นอกสนามจงถ่อมตัวให้มากเข้าไว้


Photo : The Guardian

"ภาวะทางอารมณ์ของ แม็คไกวร์ เป็นอะไรที่คุณต้องเรียกว่ามหัศจรรย์จริงๆ สำหรับเด็กอายุแค่ 18 ปี" นีลล์ คอลลินส์ กองหลังรุ่นพี่ในทีมเชฟฯ ยูไนเต็ด กล่าวถึง แม็คไกวร์ ที่ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2011 

"เขาชอบมาพูดคุยกับพวกนักเตะตัวเก๋า เพื่อหาวิธีรับมือกับแรงกดดันและเขาทำได้ดีมาก เขามักจะตัวติดกับผมเสมอและนั่นทำให้ผมเห็นพัฒนาการของเขาในทุกสัปดาห์"

"การเป็นกองหลังดาวรุ่งนั้นไม่ง่ายเลย ร้อยทั้งร้อยพวกเขาจะต้องเล่นผิดพลาดแน่ เพราะต้องเผชิญกับกองหน้าในระดับความท้าทายที่ต่างกัน เช่นสัปดาห์นี้คุณได้เจอกับกองหน้าที่เร็วจี๋จ้องจะเลี้ยงผ่านคุณ และอีกสัปดาห์คุณจะเจอพวกยักษ์ใหญ่ที่จะกระแทกคุณทุกครั้งที่ขึ้นโหม่ง เขาจะพบว่ามันยากแต่มันคือสิ่งที่กองหลังทุกคนต้องเรียนรู้"


Photo : Reuters

นอกการเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่แม้จะไม่ใช่นักเตะดังแต่ก็นับถือเป็นมาสเตอร์ (อาจารย์) แล้ว แม็คไกวร์ ยังได้วิชาลีกล่างมาอีก 1 อย่าง นั่นคือวิถีชีวิตประจำวันที่เขาต้องทำตัวติดดินเข้าไว้เนื่องจากรายได้ราวพันปอนด์ต่อสัปดาห์ และในทีมเล็กนั้นไม่มีใครมาบริการอะไรมากมายด้วยงบประมาณที่จำกัด ทุกคนต้องช่วยกันทั้งนักเตะและสต๊าฟฟ์ของทีม เขาเล่าว่ารองเท้าสตั๊ด, สนับแข้ง และชุดแข่งต่างๆ นานาที่ใช้แล้ว เขามักจะกลับไปซักล้างทำความสะอาดเองทั้งหมด

เหตุการณ์ที่แสดงออกถึงเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ที่เขาติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก ณ ตอนนั้นไม่มีใครรู้จัก แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มากนัก ทว่าการเปิดตัวในทีมชาติของเขาฮือฮาตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม

แม็คไกวร์ ไปรายงานตัวกับทีมชาติด้วยการแต่งตัวแบบชุดวอร์มธรรมดาๆ แตกต่างจากนักเตะคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังไม่ได้ถือกระเป๋าหรูหราในวันนั้นแต่กลับใช้ "ถุงดำ" (ถุงขยะ) หิ้วพะรุงพะรังเข้าไปปะปนกับเหล่าผู้เล่นระดับสตาร์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่โลกโซเชี่ยลแซวกันอย่างสนุกสนาน และแม็คไกวร์เล่าว่าแม่ของเขาถึงกับหัวเสียที่มีคนล้อเลียนเขาแบบนั้น ทว่าเหตุผลที่แม็คไกวร์ ใช้ถุงดำนั้นมากกว่าที่ใครเข้าใจ


Photo : The sun 

"ตอนนั้นผมยังเป็นคนหน้าใหม่ในทีมน่ะนะ แล้วผมก็ถามคนอื่นๆ ว่า 'จะขนสตั๊ดกับสนับแข้งไปยังไง?' เพราะแต่ละคนก็ต้องใช้อย่างที่ตัวเองถนัด วาร์ดี้บอกผมว่า 'ก็ใส่ถุงดำเข้าไปให้คิทแมน (คนจัดการเรื่องชุดแข่งขัน) จัดการต่อสิ' จะว่าไปก็ตลกดี เพราะตอนนั้นมีเป็นสิบคนที่หิ้วถุงขยะเข้าไป แต่ดันมีผมคนเดียวที่ถูกถ่ายภาพ แม่ผมรีบโทรมาถามเลยว่าไอ้ถุงบ้านั่นมันอะไรกัน" เขาอธิบายเรื่องที่ทำให้ตัวเองโดนแซว

"ผมก็แค่พยายามที่จะทำตัวให้ติดดินเอาไว้ ผมพร้อมจะนอบน้อมกับทุกๆ คนเสมอ ส่วนเรื่องการพูดจาโฆษณานั้นผมจะปล่อยให้ความสามารถของผมพูดแทนมากกว่า" แม็คไกวร์ บอกถึงสิ่งที่เขาเป็นซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าทำไมเขาจึงไม่มีมาดและออร่าเหมือนกับดารานักเตะแถวหน้าคนอื่นๆ เลย

ทว่าการที่เขาไม่ได้พูดอะไรมากมายนักทำให้เขามีชีวิตที่สงบราบเรียบ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า แม็คไกวร์ นั้นมีแฟนสาวแล้ว เธอชื่อ เฟิร์น ฮอว์กิ้นส์ ซึ่งทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่ปี 2011 จนตอนนี้ แม็คไกวร์ ก็กลายเป็นนักเตะดัง ส่วน เฟิร์น นั้นก็เรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์และกายภาพบำบัดเมื่อปี 2017 โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 อีกด้วย


Photo : Sport Bible

นอกจากนี้เขายังมีลูกสาวอีก 1 คนที่เพิ่งคลอดในเดือนเมษายน 2019 ที่ผ่านมา และหากนับเดือนดูแล้ว ลิลลี่ แม็คไกวร์ เกิดหลังจากวันที่พ่อของเธอโหม่งทำประตูในเกมที่ทีมชาติอังกฤษ พบกับ โคลอมเบีย ในฟุตบอลโลก 2018 ราว 9 เดือนพอดี ... ซึ่งในปีนั้น แม็คไกวร์ เล่าว่าเป็นปีที่ดีที่สุดและเส้นทางอาชีพนักเตะของเขาก้าวหน้าอย่างอัศจรรย์ เพราะเมื่อ 2 ปีก่อนหน้า เขายังทำได้เพียงแค่ซื้อตั๋วเข้าไปดูเกมของทีมชาติอังกฤษในศึกยูโร 2016 กับพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ อยู่เลย

กว่าจะถึงวันนี้

เมื่อย้อนกลับไปดูสิ่งต่างๆ ที่คนรอบข้างของ แม็คไกวร์ บอกเล่า ยิ่งทำให้เข้าใจได้ว่าทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด จึงกล้าที่จะทุ่มกับกองหลังรายนี้เป็นราคาระดับสถิติโลก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคาแร็คเตอร์ของแม็คไกวร์นั้นชัดเจนมากและกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เขาผ่านการเล่นที่ผิดพลาดมาเยอะแต่ก็แข็งแกร่งพอที่จะยอมรับและเรียนรู้กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา

สื่ออย่างบีบีซีให้คำจำกัดความของนักเตะแบบแม็คไกวร์ว่าเป็นประเภท "เด็กนักเรียนหน้าห้องที่เกิดมาเพื่อทะยานสู่จุดสูงสุด"

"เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ... คือเขาฉลาดจริงๆ นะ" มิคกี้ อดัมส์ กุนซือคนแรกที่ให้โอกาส แม็คไกวร์ ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของ เชฟฯ ยูไนเต็ด กล่าว

"ผมต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่ขยันมาก เขาต้องการที่จะเรียนรู้เสมอ แม็คไกวร์เป็นนักเตะที่เข้าใจแท็คติกที่ผมเขียนบนกระดานได้รวดเร็วมาก รวมถึงการสอนในสนามซ้อมด้วย" อดัมส์ว่ากับ BBC ก่อนที่ผู้อำนวยการอะคาเดมี่ของทีมดาบคู่อย่าง ทราวิส บินเนี่ยน จะเสริมว่าแม้ แม็คไกวร์ จะกลายเป็นกองหลังราคา 80 ล้านปอนด์แล้ว แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรอยู่ดี

"แม็คไกวร์เป็นคนที่ใส่หมดแม็กตั้งแต่ตอนซ้อม และเขาจะพยายามทำให้ดีขึ้นยิ่งกว่าเก่า เขาไม่เคยหยุดพัฒนาฝีเท้าของตัวเองและมีความมั่นใจเสมอไม่ว่าจะลงเล่นในระดับไหน ตอนนี้ผมไม่แปลกใจจริงๆ ที่เขาก้าวมาถึงจุดสูงที่สุดจุดหนึ่งแล้ว"


Photo : manutd.com

ย้อมกลับไปเมื่อปี 2011 ทีมเยาวชนของ เชฟฯ ยูไนเต็ด ต้องพบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในศึก เอฟเอ ยูธ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เกมในวันนั้น แม็คไกวร์ ลงเล่นและต้องดวลกับตัวท็อปของฝั่งปีศาจแดงทั้ง เจสซี่ ลินการ์ด, ราเวล มอร์ริสัน และ ปอล ป็อกบา ในเกมนั้น แม็คไกวร์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องผิดหวังไป ทว่าในปี 2019 นี้แม็คไกวร์, ลินการ์ด และป็อกบา จะกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมทีม (ขณะที่ มอร์ริสัน ซึ่ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยกให้เป็นเด็กอะคาเดมี่ที่มากพรสวรรค์สุดของปีศาจแดง กลับมีปัญหามากมาย และต้องมาเจอกับแมนฯ ยูไนเต็ดในฐานะนักเตะทีมดาบคู่เสียอย่างนั้น)

ยูไนเต็ดกำลังจะเปลี่ยนแนวทางการทำทีมโดยเน้นนักเตะที่มีพลังกาย, พลังใจ และความหลงใหลในตราสโมสร พร้อมยอมสู้ตายถวายชีวิตจากคำสัมภาษณ์ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือของทีม และจากสิ่งที่ แม็คไกวร์ แสดงออกตั้งแต่วันที่ยังเล่นในดิวิชั่น 3 ของเป็นอะไรที่ โซลชา คิดมาแล้วว่าเขาคุ้มค่าสำหรับค่าตัว 80 ล้านปอนด์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook