ทำไมทีมกีฬาใน "นิวยอร์ก" ถึงมีมูลค่าสูงแบบเหลือเชื่อ?

ทำไมทีมกีฬาใน "นิวยอร์ก" ถึงมีมูลค่าสูงแบบเหลือเชื่อ?

ทำไมทีมกีฬาใน "นิวยอร์ก" ถึงมีมูลค่าสูงแบบเหลือเชื่อ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดยหลักการทั่วไปแล้ว ทีมที่ประสบความสำเร็จในสนามแข่งขัน ก็มักจะได้รับอานิสงส์ให้ทีมนั้นได้รับการกล่าวถึง รวมถึงมีมูลค่าที่สูงขึ้นด้วย

ทว่าท่ามกลางทีมกีฬาพันล้านมากมาย ทีมจากมหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา กลับมีมูลค่าที่สูงกว่าหลายทีมอย่างเห็นได้ชัด

 

บางที ปัจจัยความสำเร็จคงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ส่งผลต่อมูลค่าของทีมเสียแล้ว แต่เมืองที่ได้รับฉายา "Big Apple" นั้นมีอะไรที่โดดเด่นและแตกต่างถึงทำให้ทีมกีฬาประจำเมืองมั่งคั่งได้ถึงขนาดนี้กัน?

เมืองแห่งความมั่งคั่งของทีมกีฬา

นอกจากการจัดอันดับนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดแล้ว อีกสิ่งที่ Forbes สื่อสายเศรษฐกิจชื่อดังระดับโลกมีการจัดอันดับเป็นประจำในทุกปี นั่นคือทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงสุด

 1

แม้ ดัลลัส คาวบอยส์ ทีมดังแห่งศึกอเมริกันฟุตบอล NFL จะสามารถรักษาตำแหน่งทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน อีกทั้งยังเป็นทีมแรกที่มีมูลค่าทะลุหลัก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 153,000 ล้านบาท) แต่หากมาดูกันโดยใช้ เมือง เป็นเกณฑ์จำแนก ก็จะพบความน่าสนใจอีกประการ

เพราะแม้ นิวยอร์ก และ ลอสแอนเจลิส สองเมืองสำคัญของสหรัฐอเมริกา จะส่งทีมเข้าไปอยู่ในลิสต์นี้ได้มากถึงเมืองละ 5 ทีมเท่ากัน แต่หากวัดกันที่มูลค่าแล้วก็จะเห็นว่า เมืองใหญ่แห่งฟากตะวันออกนั้นเหนือกว่าฟากตะวันตกอยู่มากโข เมื่อมูลค่าของทีมจากนิวยอร์กมากกว่าแอลเอที่ 17,050-14,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (523,000-450,000 ล้านบาท)

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีทีมจากนิวยอร์กถึง 3 ทีมที่เข้าไปอยู่ในท็อป 10 นั่นคือ นิวยอร์ก แยงกี้ส์ ทีมดังจากเบสบอล MLB ในอันดับ 2, นิวยอร์ก นิกส์ จากบาสเกตบอล NBA ในอันดับ 5 และ นิวยอร์ก ไจแอนส์ จาก NFL ในอันดับ 10 ส่วนทีมจากแอลเออย่าง แอลเอ เลเกอร์ส แห่ง NBA อยู่ที่เพียงอันดับ 8 และ แอลเอ ดอดเจอร์ส จาก MLB อยู่อันดับ 10 ร่วมเท่านั้น

เมืองแห่งเศรษฐกิจ

การที่เมืองใดเมืองหนึ่งจะเป็นศูนย์กลางของอะไรสักอย่างได้ แน่นอนว่า เศรษฐกิจ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ทุกสิ่งเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมมหานครนิวยอร์กอย่างแท้จริง

 2

อันที่จริง หากดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ อย่าง GDP หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในเมือง ที่เกิดขึ้นจากทุกคนทุกสัญชาติในเมืองต่างๆ จะพบว่า เมืองที่มี GDP สูงสุดนั้น คือ โตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเปิดเผย GDP อย่างเป็นทางการในปี 2015 ว่าอยู่ที่ 1.893 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 58 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่านิวยอร์กที่ระบุ GDP ปี 2017 ไว้ที่ 1.717 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 52.7 ล้านล้านบาท) ไม่มากนัก

ทว่า Oxford Economics ได้ทำการวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจในอนาคตถึงปี 2035 และพบว่า นิวยอร์กจะเป็นเมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจของโลกใหญ่ที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น โดยมี GDP ของเมืองสูงถึง 2.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 76.7 ล้านล้านบาท) และมีการขยายตัวโดยเฉลี่ย 2% ซึ่งมากกว่าโตเกียวที่มี GDP ประมาณการที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 58.3 ล้านล้านบาท) จากการขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.5% เท่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น หากวัดเฉพาะในส่วนของภาคธุรกิจและการเงินแล้วก็จะพบว่า นิวยอร์กยังคงเป็นเมืองหมายเลข 1 ในภาคเหล่านี้อยู่ และด้วยการที่เมืองแห่งนี้มีการขับเคลื่อนทางธุรกิจที่ไม่เคยหลับไหล จากการที่มีบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากมาย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นิวยอร์กสามารถคงความเป็นหนึ่งในหมู่เมืองใหญ่ได้ต่อไป

พลังคนขับเคลื่อนเมือง

นอกจาก GDP แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คงหนีไม่พ้นจำนวนประชากร 

 3

อันที่จริง หากวัดกันที่จำนวนประชากรเพียงอย่างเดียวนั้น นิวยอร์กเองไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ที่มีจำนวนมากที่สุดแต่อย่างใด โดยหากวัดในพื้นที่มหานคร หรือ Metropolitan Area นั้น กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นมีประชากรมากที่สุดอยู่ที่ราว 38 ล้านคน รองลงมาคือ เดลี เมืองหลวงของอินเดีย 25.7 ล้านคน และ เซี่ยงไฮ้ เมืองเศรษฐกิจของจีน ราว 23.7 ล้านคน ขณะที่ นิวยอร์ก รั้งอันดับ 10 มีประชากรราว 18.6 ล้านคนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม A.T. Kearney บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกที่จัดทำ Global Cities Report มาตั้งแต่ปี 2011 ได้ชี้ถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญจากการสำรวจของปีที่ผ่านมาว่า เมืองแห่งนี้มีประชากรที่เกิดในต่างประเทศ แต่ย้ายเข้ามาประกอบอาชีพในภาคส่วนต่างๆ มากที่สุดในโลก

นอกจากนี้ ด้วยธรรมชาติของเมืองที่ยังเป็นเมืองธุรกิจและการเงิน ซึ่งเป็นสายที่ใช้เครื่องจักรหรือแม้แต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทดแทนได้ยาก นิวยอร์กจึงยังคงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์หอมหวลดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกในการเดินทางเข้ามาประกอบอาชีพ ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับเมืองอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ทว่าจำนวนประชากรที่มากของเมืองนี้ ก็ไม่ได้เป็นเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เศรษฐกิจของเมืองเติบโต เพราะภาคการท่องเที่ยวก็ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญเช่นกัน

 4

ข้อมูลจาก NYC & Company ระบุว่า ในปี 2018 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้ามายังมหานครนิวยอร์กมากเป็นสถิติถึง 65.2 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 51.6 ล้านคน และจากต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก 13.5 ล้านคน

จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น 9 ปีติดต่อกันนี้ ทำให้ยอดจองที่พักทั่วเมืองตลอดปีรวมกันสูงถึง 37.7 ล้านคืน มีการจัดประชุมที่เมืองนี้มากถึง 6.2 ล้านครั้งโดยประมาณ และสามารถจัดเก็บภาษีเฉพาะที่พักสูงถึง 623 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 19,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าว บัญชา ชุมชัยเวทย์ ผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ สถานทีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้มุมมองกับทีมงาน Main Stand ว่า นิวยอร์กไม่ใช่แค่เมือง แต่เป็นเหมือนแบรนด์เลยทีเดียว

"ชื่อเมืองนิวยอร์กไม่ต่างกับแบรนด์เนมสินค้าหรู แต่เป็นในแง่ยี่ห้อเมืองที่คนทั่วโลกรู้จักกันมานานมาก ทำให้ที่นี่คือแลนด์มาร์กสำคัญที่ผู้คนมากมายอยากไปเที่ยวสักครั้งนึงในชีวิต แค่สัญลักษณ์นี้ I ❤️ NY ก็กินไม่หมดแล้วครับ"

เมืองกีฬา+ความบันเทิง

แม้จะเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม แต่หากไม่มีจิตวิญญาณความชอบในกีฬาอยู่ด้วย เมืองนั้นก็ไม่อาจเติบโตสู่การเป็นเมืองกีฬาระดับแนวหน้าได้ดังเช่นที่เราเห็นในหลายๆ เมือง ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาสำหรับนิวยอร์กแต่อย่างใด

 5

อันที่จริง ในการสำรวจของ A.T. Kearney ได้ระบุว่า เมืองที่เป็นอันดับ 1 ในเรื่องของการจัดการแข่งขันกีฬานั้นคือ ลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร แต่หากกลับไปดูที่มูลค่าของทีมกีฬาของ Forbes อีกครั้งก็จะเห็นว่า มีเพียง อาร์เซนอล จากศึกพรีเมียร์ลีกทีมเดียวเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนของทีมจากกรุงลอนดอนในลิสต์ดังกล่าว และเมื่อดูภาพรวมก็จะเห็นว่า จาก 50 ทีม มีเพียง 8 ทีมเท่านั้นที่ไม่ได้มีที่ตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา

คำตอบเริ่มต้นของเรื่องนี้ คือสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศแรก อีกทั้งยังถือเป็นเจ้าแห่ง Sports Entertainment ที่ผสานกีฬาและกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ ทั้งคอนเสิร์ต, เชียร์ลีดเดอร์, การแจกของที่ระลึก รวมถึงกิจกรรมอีกมากมายทั้งในและนอกสนาม ที่ดึงดูดผู้ชมให้เข้าไปชมในสนามรวมถึงชมการถ่ายทอดสดตลอดการแข่งขัน

สิ่งดังกล่าวยังได้สะท้อนไปถึงมูลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของกีฬาต่างๆ อีกด้วย เพราะในขณะที่ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลลีกยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกรอบล่าสุด (2019-22) ในอังกฤษมีมูลค่ารวมกันทั่วโลกอยู่ที่ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 552,000 ล้านบาท) ซึ่งเทียบกับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฉบับล่าสุดแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงที่เดียวของอเมริกันฟุตบอล NFL ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 829,000 ล้านบาท) และบาสเกตบอล NBA ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 737,000 ล้านบาท) ไม่ได้เลย

ทว่าสำหรับนิวยอร์ก พวกเขายังมีอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้กีฬาของที่นี่พิเศษกว่าที่ไหน เนื่องจากเมืองนี้มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวงการกีฬามาอย่างยาวนานนับศตวรรษ ขณะเดียวกัน สำนักงานใหญ่ของลีกกีฬาท็อป 5 ในประเทศอย่าง NFL, NBA, MLB รวมถึงฮอกกี้น้ำแข็ง NHL และฟุตบอล (ซอคเก้อร์) MLS ยังตั้งอยู่ที่เมืองนี้

 6

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมกีฬาต่างๆ ของเมืองสามารถยังคว้าแชมป์มาได้อย่างมากมายตั้งแต่ยุคอดีต ถือเป็นแต้มต่อที่ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักและรักของแฟนๆ ในปัจจุบัน และด้วยความที่ตลาดของเมืองนี้ใหญ่ทั้งจากเศรษฐกิจและจำนวนประชากร ทำให้นิวยอร์กเป็นเพียง 1 ใน 2 เมือง (ร่วมกับแอลเอ) ที่มีทีมกีฬาประจำเมืองในแต่ละชนิดมากกว่า 1 ทีม ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดการแข่งขัน แต่ละทีมของเมืองจึงต้องงัดสารพัดวิธีการ รวมถึงแข่งกันทำผลงานเพื่อเรียกแฟนๆ ให้มาสนับสนุนทีมด้วยเช่นกัน

ด้วยฐานประชากรที่มาก ทำให้มีฐานแฟนคลับมากตาม มูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงลิบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประชากรมีรายได้มากพอที่จะเจียดเงินส่วนหนึ่งเพื่อกิจกรรมความบันเทิงอย่างกีฬา รวมถึงประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน และการที่มีหลายทีมในชนิดกีฬาเดียวกันอยู่ในเมือง ทำให้ทีมกีฬาในมหานครนิวยอร์กจึงได้รับการกล่าวถึง รวมถึงได้รับความนิยมจากแฟนๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก จนมีมูลค่าสูงลิบลิ่ว ...

ซึ่งไม่ว่าผลงานของทีมจะเป็นอย่างไร จะคว้าแชมป์ รึจะรั้งท้าย การมีชื่อ นิวยอร์ก อยู่หน้าชื่อทีม คือข้อได้เปรียบแสนมหาศาล ที่คงไม่มีทีมจากเมืองอื่นๆ สามารถทาบรัศมีได้ในเร็วนี้อย่างแน่นอน

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ ทำไมทีมกีฬาใน "นิวยอร์ก" ถึงมีมูลค่าสูงแบบเหลือเชื่อ?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook