ทำไมนักกีฬาอีสปอร์ตต้องใส่รองเท้าเฉพาะทางทั้งๆ ที่ "นั่งเก้าอี้ - ใช้นิ้วกด"
แบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์ชื่อดังระดับโลกหลายแบรนด์เริ่มมองเห็นส่วนแบ่งก้อนโตในตลาดอีปอร์ต และนั่นทำให้พวกเขาเลือกที่กระโจนลงมาร่วมวงไพบูลย์พร้อมด้วยผลิตรองเท้าผ้าใบ "สำหรับเกมเมอร์โดยเฉพาะ"
พวกเขากล่าวอ้างว่าหากใส่รองเท้าคู่นี้แล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นได้หรือเรียกง่ายๆ ว่า "จะทำให้เล่นดีขึ้น!" ...
แต่นั่นมันจริงหรือ? ในเมื่ออีสปอร์ตคือการแข่งขันในแบบที่ผู้เข้าแข่งขันต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้แทบจะ 100% และอวัยวะที่ใช้บังคับก็เป็น 1 สมอง 2 ตา และมือ 2 ข้าง ดังนั้นแล้ว "รองเท้าสำหรับเกมเมอร์" ช่วยอะไรได้จริงหรือไม่?
ติดตามได้ที่นี่
ทำไมต้องมีรองเท้าเฉพาะทาง?
“กฎของการแข่งขันคือต้องใส่ยูนิฟอร์มของทีม ส่วนกางเกงต้องเป็นกางเกงสุภาพขายาว รองเท้าก็ใช้รองเท้าผ้าใบ กฎสากลเขาบังคับแบบนั้น แต่ในความจริงก็ไม่ถึงกับบังคับเข้มงวดนัก”
"โดยปกติแล้วในการแข่งขันระดับโลกที่พบเจอมา ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะใส่สนีกเกอร์แฟชั่นทั่วไปหรือไม่ก็ราคาแพงๆ ของยี่ห้อดังๆ หรือบางคนก็ถนัดแบบถอดรองเท้าเลยก็มี" ยุรนันท์ แสนกุรัง หรือ "Obibea" โค้ชของทีม CS:GO (Counter-Strike: Global Offensive) ของทีม Alpha Red ที่เคยผ่านเวที World Electronic Sports Games 2018 (WESG 2018) เล่าให้ทีมงาน Main Stand ถึงหลายประสบการณ์ที่เขาเคยได้เห็นมาจากการแข่งขันของผู้เล่นระดับโลก
Photo : 0bi - Liquipedia Counter-Strike Wiki
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จัก "รองเท้าสำหรับอีสปอร์ต" ทว่าเมื่อเข้าถึงเดือน กรกฎาคม ของปี 2019 ที่ผ่านมา ได้กำเนิดรองเท้าสำหรับนักกีฬาอีสปอร์ตขึ้น ทว่ามันจะเป็นไปได้หรือที่มีรองเท้าผ้าใบที่ทำให้คนเล่นเกมสามารถทำผลงานในเกมให้ดีขึ้นได้?
แบรนด์ K-Swiss คือเจ้าแรกที่กระโดดลงมาร่วมหารส่วนแบ่งจากวงการเกมมิ่ง และได้ออกรองเท้าสำหรับเหล่าเกมเมอร์ภายใต้ชื่อรุ่น "One Tap" โดยให้คำจำกัดความของมันว่าเป็นรองเท้าที่ใช้สำหรับเหล่านักเล่นเกมทั้งหลาย และได้รับการออกแบบโดยนักกีฬาอีสปอร์ตทีม Immortal Gaming Club (IGC) เพื่อทำให้มันเหมาะกับคำจำกัดความที่ตั้งไว้มากที่สุด
K-Swiss อธิบายว่ารองเท้ารุ่น One Tap เป็นรองเท้าที่ระบายอากาศได้ดีผ่านช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ที่ติดไว้บริเวณหลังเท้าและด้านข้าง โดยเรียกระบบนั้นว่า "Flow Cool"
เนื่องจากการแข่งขันหรือเล่นเกมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเกมที่ยืดเยื้อใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ พวกเขามองว่าอาจจะมีเหงื่อเกิดขึ้นในรองเท้าและอาจจะทำให้ผู้เล่นเกิดอาการหงุดหงิดไม่สบายตัวได้ ดังนั้น One Tap จึงทำมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
Photo : WIn.gg
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังระบุว่า One Tap สามารถใช้งานได้ดีในห้องที่มีอากาศหนาวด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากช่องระบายอากาศและขนแกะ ที่จะช่วยรักษาอุณหภูมิภายในรองเท้าให้เหมาะสมกับร่างกายเสมอ
นี่คือ 2 จุดเด่นที่แบรนด์พยายามจะชูว่ามันช่วยให้การแข่งขันของคุณมีประสิทธิภาพและมีผลงานที่ดีขึ้นได้
ใส่แล้วช่วยได้จริงหรือ?
"One Tap เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนและทำความเข้าใจลูกค้าของเราทั้งในเกมและนอกเกม และเราพยายามทำให้มันเป็นรองเท้าที่ใช้งานได้จริงในการแข่งขัน" นี่คือสิ่งที่ อารี เซกัล ซีอีโอของ IGC ได้ว่าไว้ พร้อมขยายความถึง 3 สิ่งที่คุณจะได้จากการหยิบมันมาสวมใส่ในเวลาเล่นเกม
1. คือรองเท้าออกแบบมาให้พับส้นได้สำหรับเพิ่มความสบายเท้าให้กับใครที่เล่นเกมยาวนานหลายช่วงโมง
2. ควบคุณอุณหภูมิที่แตกต่างกันภายใต้โต๊ะของเหล่าเกมเมอร์ทั้งหลาย ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี และมีขนแกะสำหรับสนามที่มีอากาศหนาวเกินไปเพื่อทำให้เท้าอบอุ่นขึ้น
3. น้ำหนักเบามากเหมาะสำหรับการเล่นหรือการแข่งที่กินเวลานานหลายชั่วโมง
หลังจากที่เริ่มวางขายในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็เริ่มมีเกมเมอร์หลายคนหาซื้อรองเท้ารุ่น One Tap ในราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,900 บาท) มารีวิวกันมากขึ้นเรื่อยๆและผลที่ออกมาก็แน่นอนว่ามีทั้งคนชอบและไม่ชอบ
Photo : businessinsider.com
แมธิว กัลท์ เกมเมอร์และนักเขียนของเว็บไซต์ Vice ได้ให้คำอธิบายว่า One Tap ถือเป็นรองเท้าที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา ก่อนขยายความว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อสวมใส่แล้วเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นรองเท้าผ้าใบเลย แต่มันเหมือนกับเป็นรองเท้าแตะที่มีรูปลักษณ์เป็นรองเท้าผ้าใบมากกว่า ด้วยความที่ใส่สบายและยังสามารถใช้งานได้ดีกับการเดินไปไหนมาไหนใช้ชีวิตประจำวันได้สบายกว่าการใส่รองเท้าอย่าง "คอนเวิร์ส ออลสตาร์" อีกด้วย เขาสรุปความว่าแม้ใครจะมองว่ามันไม่น่าช่วยอะไรได้มากนักแต่ One Tap ถือเป็นรองเท้าที่ดีกว่าที่เขาคิดไว้
อย่างไรก็ตามมันถูกแย้งด้วยการรีวิวของ เบน กิลเบิร์ต จากเว็บไซต์ดังอย่าง Business Insider ซึ่งตัวของ กิลเบิร์ต บอกว่าติดลบตั้งแต่ดีไซน์แล้ว การออกแบบรองเท้าที่แข็งเกินไปทำให้มีการเจ็บที่เท้าโดยอธิบายความรู้สึกว่าเหมือนการ "ใส่ถุงเท้าคู่ที่คับเกินไป" ซึ่งข้อนี้เขาละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะความไม่เคยชินเพราะปกติเขาเป็นคนที่ถอดรองเท้าเวลาเล่นเกมเสมอ
ตัวของ กิลเบิร์ต นั้นขยายความอีกว่าเขาทดสอบใส่รองเท้านี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และพบว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้เขาเล่นเกมดีขึ้นเลย นอกจากนี้ยังเอาไปเปรียบเทียบว่ามันเป็นแค่เรื่องของ "การตลาด" เท่านั้น เพราะทุกอย่างที่ทำมาใส่คำว่า "เพื่อเกมเมอร์" นั้นมักจะมีราคาแพงขึ้นแทบทั้งสิ้น เขาเริ่มยกตัวอย่างเกี่ยวกับ "เก้าอี้เกมเมอร์" ที่จะมีราคาแพงกว่าเก้าอี้ผู้บริหารหรือเก้าอี้เพื่อสุขภาพ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วความรู้สึกแทบไม่ต่างกันเลยด้วยซ้ำ
Photo : Twitter Ben Gilbert (@RealBenGilbert)
เขาทิ้งท้ายว่า K-Swiss รุ่น One Tap เองก็เป็นแบบนั้น เพราะถือว่ามีราคาแพงกว่ารองเท้ายี่ห้อเดียวกันรุ่นอื่นๆ ทว่าที่สุดแล้วในแง่ของการใช้งานทั้งการเคลื่อนไหวและฟีลลิ่งในการสวมใส่แล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไรนัก
การตลาดจริงหรือ?
เมื่อเสียงของนักรีวิวแตกเป็น 2 ทางก็คงต้องย้อนกลับไปดูที่มาว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องของการตลาดโดยเฉพาะ
K-Swiss นั้นถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม CS:GO ชื่อดังของโลกอย่าง IGC พาร์ทเนอร์ในการพัฒนารองเท้า One Tap รวมถึงทีมในเครือ IGC อย่าง MIBR (Made in Brazil) ซึ่งแน่นอนว่าปัจจุบันอิทธิพลของเหล่าเกมเมอร์หรือนักกีฬาอีสปอร์ตนั้นสูงขึ้นทุกวัน และการออกรองเท้ารุ่น One Tap ให้กับนักกีฬาทีมระดับโลกใช้ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบจากแฟนคลับหรือผู้เล่นรุ่นหลังอีกด้วย
Photo : Sneaker.br
บาร์นี่ย์ วอเตอร์ส ซีอีโอของ K-Swiss ยอมรับว่าเรื่องกระแสอีสปอร์ตนั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ และจะกลายเป็นกระแสหลักที่คนยอมรับในเวลาอันใกล้นี้ด้วย
"คอนเทนท์เกี่ยวกับเกมใน Twitch มียอดวิวสูงกว่า HBO, Netflix, Hulu และ ESPN รวมกันเสียอีก ยอดผู้ชมในรายการแข่งขันอีสปอร์ตใหญ่มากกว่ารอบชิงชนะเลิศบาสเกตบอล NBA ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว"
ในอนาคตคาดว่าอุตสาหกรรมอีสปอร์ตจะมีมูลค่ามากถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์ (ราว 83,000 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาแค่ 3 ปีจากนี้หรือปี 2022 นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมตอนนี้แบรนด์ดังต่างๆ ที่ไม่เคยหยิบจับหรือเกี่ยวข้องกับ อีสปอร์ต จึงเริ่มลงมาแบ่งเค้กในวงการนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ K-Swiss ที่ทำรองเท้าเท่านั้น ปัจจุบันแบรนด์อย่าง ไนกี้ ได้เซ็นสัญญาโปรเกมเมอร์ LoL (League of Legends) คนดังของจีนอย่าง เจี้ยน 'Uzi' ซีเหา ส่วน อาดิดาส ก็เพิ่งเซ็นสัญญากับอดีตโปรเกมเมอร์ ที่ปัจจุบันคือสตรีมเมอร์ระดับท็อปของโลกอย่าง ไทเลอร์ 'Ninja' เบลวินส์ แถมยังออกรองเท้ารุ่นพิเศษให้โดยเฉพาะ ต่างกันแค่พวกเขายังไม่ติดป้ายชัดว่ามันเป็นรองเท้าสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะเหมือนกับที่ K-Swiss ทำ แต่ก็เชื่อว่าในอนาคตพวกเขาเอาแน่
Photo : SneakerNews
เมื่อทุกอย่างประกอบกันแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเรื่องของการตลาดมีผลอย่างมากสำหรับรองเท้า K-Swiss รุ่น One Tap นี้ ส่วนเรื่องผลลัพธ์มันก็ขึ้นอยู่กับบุคคลว่าเอาไปใส่แล้วเหมาะกับเท้าของตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งตอนนี้กระแสก็ยังฟันธงไม่ได้ว่ามัน "เป็นบวก" หรือ "เป็นลบ" เพราะเพิ่งวางขายตัวทดลองได้แค่ไม่ถึง 2 เดือนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้รองเท้าตัวนี้ก็ Sold Out ขายหมดเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ One Tap จะยังสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้เล่นไม่ได้ว่ามันช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพขึ้นจริง แต่พวกเขาก็จะมีเวลาจนถึงปี 2020 ที่จะนำข้อเสียของ One Tap รุ่นทดลองไปแก้ไขและออกเป็นตัวสมบูรณ์แบบในภายหลัง ซึ่งฝ่ายผู้บริหารของ K-Swiss ก็ใจกว้างพอที่จะรับฟังทุกข้อเสียที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้ได้รองเท้าที่ทำให้ผู้ใส่ใช้งานสำหรับการเล่นหรือแข่งขัน อีสปอร์ต ได้ดีขึ้นในอนาคต
"การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นเบต้า โปรแกรมที่ขายจำนวนจำกัด" วอเตอร์ส กล่าว "เราออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อหยั่งเชิงดูว่าจะมีคำติชมจากผู้เล่นระดับอาชีพและผู้มีอิทธิพลในวงการอีสปอร์ตอย่างไรบ้าง ซึ่งคำวิจารณ์เหล่านี้จะนำมาสู่รองเท้ารุ่นสมบูรณ์ ที่จะปรากฎโฉมออกมาในฤดูใบไม้ผลิปี 2020"
ถึงตอนนั้น (ปี 2020) เราจะได้รู้กันว่านวัตกรรมใส่รองเท้าแต่กลับเล่นเกมเก่งขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ... แน่นอนว่าหากมีรองเท้ายี่ห้อไหนผลิตออกมาได้ดีและตรงใจผ่านการบอกเล่าแบบปากต่อปากจากกลุ่มไอดอลในวงการ พวกเขาจะเป็นกลุ่มแบรนด์แรกที่คว้ามีดและเริ่มผ่าเค้กชิงชิ้นใหญ่ของก้อนที่ชื่อว่า "รองเท้านักกีฬาอีสปอร์ต" ได้อย่างแน่นอน