วังเวียง แค่เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า
อยาก แต่ยังไม่ได้ไป คำๆ นี้ออกจากปาก แต่ยังติดอยู่ที่ใจ มึงไม่มีตังเหรอ ก็ไม่ใช่ ทำงานจนไม่มีเวลา ก็เกือบๆ นะ แต่ก็ยังไม่ใช่อีกนั่นแหละ แล้วทำไมไม่ไปว่ะ...กูก็ไม่รู้เหมือนกัน90 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์เงินเดือนล้วนอยากเที่ยว 85 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์เงินเดือน มีความสามารถเพียงพอที่จะเก็บเงินเที่ยวแต่มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์เงินเดือน ที่ได้ออกไปเที่ยว (จริงๆ ) ทั้งๆ ที่วัน ลาป่วย ลากิจ ปีใหม่ สงกรานต์ เช็งเม้ง แซยิด ฯลฯ อย่างที่เรารู้กันว่าประเทศไทยมีเทศกาลวันหยุดมากมาย เราสามารถไปเที่ยวได้ทั้งนั้น...บิ้วให้เจ็บใจกันเล่นๆ ผมจะไปวังเวียง
รุ่นพี่ผู้แสนใจดีแนะมาว่าให้นั่งเครื่องบินไปลงที่ เวียงจันทร์ แทนที่จะเป็นหลวงพระบาง เหตุเพราะใกล้กว่ากันมาก และถนนหนทางที่นั่นก็คดเคี้ยวยิ่งนัก จะได้ไม่ต้องเสียวเวลานั่งรถ โทรศัพท์ก็ให้เปิดบริการใช้ในต่างประเทศซะ จะได้ติดต่อกันได้ 3G เค้าแรงกว่าประเทศไทยอีก ปิดท้ายด้วยการบอกว่า ซื้อบุหรี่มาฝากกูด้วย มึงกะแฟนมึงขาไปให้ซื้อคนละคอตตอน (เค้าจำกัด) ขากลับอีกคนละคอต รวมเป็นสี่ ถูกกว่าซื้อในประเทศไทยเยอะ คิดซะว่าเป็นค่าแนะนำ เอ่อ.........พี่ครับ รู้สึกเหมือนนั่งแท็กซี่กลับบ้านแล้วโดนพาอ้อมราว 1 ชั่วโมงจากสุวรรณภูมิถึงเวียงจันทร์ และอีกสองชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาถึงวังเวียงจนได้ รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ประเทศไทย คนที่นี่พูดภาษาไทยได้ โทรทัศน์กำลังฉายละครช่องสาม เดินผ่านหน้าบ้านติดจานทรู มองเข้าไปในตู้เย็นเห็น เอ็มร้อยห้าสิบ........โครตคุ้นเคย
วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ บรรยากาศเงียบสงบ ทั้งป่าไม้ และขุนเขา หลายคนเรียกที่นี่ว่ากุ้ยหลินเมืองลาว (ผมไม่เคยไปกุ้ยหลินเลยไม่รู้ว่ามันเหมือนกันยังไง) นักท่องเที่ยวมีทั้งชาวไทยและเทศ อากาศดี ค่อนข้างหนาวกว่าเมืองไทยนิดหน่อย แม่น้ำสายหลักที่ตัดผ่านเมืองนี้ชื่อว่า แม่น้ำซอง ระหว่างสองข้างทางมีร้านรวงเปิดเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นจุดที่ครึกครื้นที่สุดในเมือง ผมเลือกที่พักไม่ห่างจากแม่น้ำมากนักเพราะเล็งทำเลหาของกิน และใช้รถตุ๊กๆ ในการออกเที่ยวชมเมือง
อาหารการกิน เหล่าผู้ที่พิสมัยในอาหารอีสานคงไม่ลำบากนักกับเรื่องนี้ อย่างที่คิด ร้านส้มตำมีอยู่ทุกมุมถนน ขอแนะนำตำปลาร้าสูตรต้นตำรับ ของที่นี่รสชาติออกเผ็ดเค็ม ไม่หวาน ไก่ย่างรสชาติคุ้นลิ้นอยู่แล้ว ย่างออกแห้งไปสักนิดแต่เข้มข้นดี ลาบ น้ำตก ซุปหน่อไม้ เจ๋งตรงที่ร้านอาหารอีสานจะเปิดคู่ร้านอาหารฝรั่ง ขนมปังไข่ดาว แซนวิช สเต็ก สลัด ฯลฯ ปักหลักอยู่ย่านนี้ผมไม่อดตายแน่นอน
สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นจุดขายของที่นี่คือ ถ้ำที่มีมากมายหลายแห่ง เด่นๆ คือถ้ำจังซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นั่งตุ๊กๆ จากที่พักระยะทางไกลพอสมควร ต่อด้วยการเดินเท้าข้ามสะพานแขวนข้ามลำน้ำก็จะถึงปากทางเข้า (วิวจุดนี้เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง) บริเวณภายในถ้ำกว้างขวาง มีบันไดที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินชมความงามของหินงอหินย้อยภายในจึงไม่ลำบากมากนัก (แอบนับช่วงก้าวบันไดไว้ให้แม่แทงหวย ได้ 147 ขั้น) เล่ากันมาว่าถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของเจ้าแม่กวนอิมในสมัยครั้งโบราณกาล และเคยเป็นที่ซ่อนตัวของคณะปฏิวัติลาวเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว วิวด้านบนสวยงามมากมีแต่สีเขียวดูชุ่มชื้นของป่าโดยรอบ อากาศเย็นกว่าในเมืองเล็กน้อยเพราะมีแต่ต้นไม้ จึงเดินได้ไม่เหนื่อย เพลิดเพลินพอสมควร
มาที่นี่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเศรษฐี เพราะใช้เงินที่เป็นหมื่น อย่างค่าธรรมเนียมเข้าถ้ำแห่งนี้จ่ายไป 12,000 กีบ (ดูแพงเหลือเกิน) แต่เมื่อแปลงเป็นเงินไทยแล้วเหลือประมาณ 60 บาทเท่านั้นเอง ค่าครองชีพในเมืองนี้ถูกพอสมควรเมื่อเทียบกับเมืองไทยบ้านเรา ผมกะพอพอกลับที่พักแล้วจะหาไวน์มานั่งจิบพร้อมกับแกล้มหรูๆ สักสองสามอย่าง...แหม่ รวยจริงๆ เรทราคาค่าที่พักตกอยู่ราว 500-1,000 บาท ค่าเช่าเหมาตุ๊กๆ ตลอดทั้งวันอยู่ที่ประมาณ 1,000-1200 บาท จักรยาน 80 บาท และมอเตอร์ไซต์ 250 บาท อยากจะเตือนไว้สักนิดว่าให้สอบถามราคาค่าโดยสารก่อนจะขึ้นรถเดินทางไปไหนมาไหนเพื่อเปรียบเทียบดูสักนิด โดยให้ถามเอาจากชาวบ้านแถวนั้น (ที่ไม่ได้เป็นญาติของคนขับ) หรือไม่ก็นักท่องเที่ยวด้วยกันที่ไปมาก่อน คุณจะลดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร
วันต่อมาผมพอเข้ากับไฮไล้อีกอย่างที่น่าสนใจในวังเวียงแห่งนี้ คือการล่องเรือ คายัก ห่วงยาง หรือเรืองยาวในลำน้ำซอน สองฝั่งทางในเวลาเย็นย่ำเต็มไปด้วยร้านเหล้าและบาร์เบียร์ นี่มันเมืองแห่งปาร์ตี้ชัดๆ ถูกใจร้านไหนละหว่านั่งอยู่บนห่วงยางให้ยกมือแล้วตะโกนเรียก คนของทางร้านจะโยนเชือกมาให้เราสาวเข้าไปหาความบันเทิงในร้านนั้น เสร็จแล้วค่อยไปต่อ นักท่องเที่ยวสามารถเสพความบันเทิงไปพร้อมกับสัมผัสธรรมชาติ แดดยามเย็นไม่เป็นอุปสรรคมากนัก เมามายกันได้ตามสะดวก รู้สึกเหมือนย่านนี้เป็นถนนข้าวสารบ้านเราที่ใช้แม่น้ำแทนถนน โครตของโครตเจ๋ง (แม้ในใจจะแอบกลัวว่าสักวันมันจะไม่จำกัดวงอยู่แค่นี้ แล้วธรรมชาติที่มีจะถูกทำลาย) สรุปการเดินทางในวันนั้นกว่าจะได้กลับที่พักก็เที่ยงคืนกว่า (เดินเซกลับต่างหาก)
เช้าที่ต้องเดินทางกลับ อาลัยยิ่งนักกับวังเวียง เพียงสองคืนที่ได้อยู่คู่เคียง ฉันเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ กลางวันที่แห่งนี้ดูเงียบสงบ พลบค่ำมาบรรจบฟ้าหมดแสง ผู้คนออกจากบ้านด้วยใจร้อนแรง มาเรามา....มาสนุกกัน วังเวียงเป็นเมืองแห่งธรรมชาติ นักท่องเที่ยวเหมือนญาติมาพักผ่อน ข้าวแดงๆ...แกงร้อน....ช่วยสอนกัน มาเที่ยวมาผักผ่อนอย่าบ่อนทำลาย นักท่องเที่ยวช่วยกันนะครับ ทั้งในเรื่องของการเก็บขยะหลังใช้เสร็จและการสนุกกับปาร์ตี้โดยไม่ไปรบกวนผู้อื่อน ทางฝั่งชาวบ้านก็เช่นกัน อย่าเน้นขยายกิจการจนไปทำลายธรรมชาติ ผมชอบที่จะสนุกกับปาร์ตี้พอๆ กับที่ชอบมองวิวธรรมชาติสวยๆ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง วังเวียงคงไม่น่าสนใจอย่างที่ผมไปแล้วติดใจกลับมา
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)
แวะชมแหล่งท่องเที่ยว เกาะช้าง เชียงคาน ภูเก็ต เขาใหญ่ และ ปาย
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!