โค้งสุดท้ายหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผาง

โค้งสุดท้ายหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผาง

โค้งสุดท้ายหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงตุลาคม ปลายหน้าฝนแบบนี้ เป็นโค้งความมันส์ ความระทึกสุดท้าย ของผู้รักการผจญภัย โดยเฉพาะการบุกป่าฝ่าดง ลงน้ำล่องแก่ง แหม... พลาดจากเดือนนี้ไป ก็อาจเป็นต้องเสียดายเป็นแน่ พูดถึงอุ้มผางดินแดน"แผ่นดินดอยลอยฟ้า"แล้ว ภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ลอยเด่นมาก็คือ"น้ำตกทีลอซู" น้ำตกที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในเมืองไทย และสวยติด 1 ใน 6 ของโลก

นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตกเด่นๆอื่นๆ อย่าง ทีลอจ่อ ทีลอเร ปิตุโกร แต่ฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการเที่ยวน้ำตกในอุ้มผางนั้น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวยาวไปจนถึงกลางหนาวราวเดือนมกราคมที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของอุ้มผาง ที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางฝ่าพันกว่าโค้งขึ้นมาแอ่วยังดินแดนแผ่นดินดอยลอยฟ้าแห่งนี้ ส่วนในหน้าที่เป็นโลว์ซีซั่นหรือกรีนซีซั่น อุ้มผางค่อนข้างเงียบเหงา แต่หากใครเคยไปอุ้มผางในช่วงนี้จะพบว่าที่นี่มีเสน่ห์ไม่น้อย ทั้งความเขียวสดของต้นไม้ สายน้ำ ขุนเขา ป่าไพร ไร่นา ความชุ่มชื่นของพื้นดินแผ่นฟ้ายามฝนพรำ รวมไปถึงภาพความงามอันชวนประทับใจของสายหมอก(ฝน) ที่ลอยปกคลุมไต่เรี่ยไล่ตามยอดเขายอดดอย หรือบางครั้งก็ลงหนาจนห่มคลุมร่างกายให้เราได้ไล่คว้าหมอกหยอกเอินความชุ่มฉ่ำกันอย่างเพลิดเพลิน

ที่เที่ยวที่แรกที่จะแวะไปก็คือ น้ำตกปะหละทะ ในเขตวนอุทยาน้ำตกปะหละทะ ซึ่งจากจุดจอดรถเดินเท้าเข้าไปไม่ไกล ระหว่างทาง 2 ข้างทางมีต้นกระเจียวสีส้มออกดอกสวยงามให้ชมกันประปรายเป็นจุดๆ แต่มีความเป็นธรรมชาติดี นอกจากนี้ในเส้นทางเดินยังมีทิวทัศน์สวยๆงามๆของไร่ข้าวโพด ทุ่งนา ขุนเขาให้ทัศนากัน เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องช่วยกันควบคุมดูแลให้ปลูกพืชทำไร่นาในพื้นที่ทำกิน อย่าให้คนเห็นแก่ตัวบางคนแอบบุกรุกป่าขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เพราะป่าไม้บ้านเรายิ่งมายิ่งเหลือน้อยเต็มที เดินชมวิวไปเพลินๆ ไม่กี่อึดใจก็มาถึงทางลงน้ำตกที่ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ลื่นพอตัว ทำให้ตอนเดินต้องเกร็งลมปราณกันพอสมควรก่อนจะไปถึงยังตัวน้ำตกปะหละทะ ที่เป็นน้ำตกเตี้ยๆ สายน้ำไหลแผ่สยายไปทางกว้าง ในหน้าฝนอย่างนี้น้ำตกมีสายน้ำมาก ไหลถั่งโถมเป็นสายรุนแรง ดูมีพลังไม่น้อย

เดินป่า ฝ่าอุปสรรค

เช้าวันใหม่ของทริปผจญภัยเหมาะแก่การออกเดินป่า ฝ่าดง ผจญสายน้ำเชี่ยวไปกับการล่องแก่ง"อุ้มผางคี" ที่ตลอดทั้งทริป(ทั้งวัน)ได้ชื่อว่าโหดหิน ลุยเอาเรื่อง ออกเดินทางจากตัวอุ้มผางไปประมาณ 14 กม.สู่หมู่บ้านอุ้มผางคี เพื่อออกเดินไปยังจุดตั้งต้นของการล่องแก่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ประจำทริป คำว่า"คี" เป็นภาษากะเหรี่ยงหมายถึง "ต้นน้ำ" อุ้มผางคีก็คือต้นน้ำอุ้มผางที่เป็นลำน้ำสาขาไหลไปรวมกับแม่น้ำแม่กลอง ส่วนหมู่บ้านอุ้มผางคี เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ที่ยังคงมีภาพของวิถีชาวบ้านดั้งเดิมให้เห็น แต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เพราะเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงเขาพัฒนาแล้ว หลายคนมีมือถือรุ่นล้ำกว่าของผมเสียอีก สำหรับเส้นทางเดินจากหมู่บ้านไปยังจุดตั้งต้นล่องแก่ง ไม่เคยมีใครวัดระยะทางเป็นกิโลเมตรที่แน่นอน มีแต่คำนวณระยะกิโลแม้วจากการเดินเท้าว่าอยู่ในราวๆ 3 ชั่วโมง ระหว่างทางนอกจากจะผ่านไร่ข้าวโพดแล้ว ยังมีป่าโปร่ง ป่าเกือบทึบมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น เส้นทางช่วงนี้แม้เดินขึ้นไปจนสุดแล้วดิ่งลงไปบนเส้นทางที่ลื่นชัน ซึ่งเส้นทางเหล่านี้นักผจญภัยล้วนต่างบ่ยั่น แต่ในเส้นทางราบนี่กับงานงอกเฉยเลย เพราะมันมีช่วงที่ต้องเดินลุยข้ามลำน้ำ ข้ามไป-ข้ามมาอยู่ 7-8 ครั้ง

สายน้ำที่นี่อย่าใช้สายตาวัด เพราะเมื่อมองจากด้านบนผิวนำ เห็นไหลเรื่อยๆเอื่อยๆ แต่ประทานโทษ เมื่อเดินลุยข้ามไป สายน้ำมันแรงไม่ใช่เล่น แถมการข้ามน้ำบางช่วง น้ำสูงถึงอก ถึงไหล่ต้องให้สตาฟฟ์ชาวกะเหรี่ยงขึงเชือกยึดให้ค่อยลำเลียงตัวผ่านไป ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลของการที่ทำไมพวกเราต้องเดินป่าใส่ชูชีพ แม้เส้นทางข้ามน้ำจะโหดหิน แต่ว่าก็สนุกเร้าใจไม่น้อย แถมระหว่างทางในช่วงเดินดินปกติยังมีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ กล้วยไม้ เห็ด แมลง แมงมุม มอส เฟิร์น รวมไปถึงต้นไม้สวมเสื้อที่ปกคลุมไปด้วยมอส ฝอยลม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชุ่มชื้นสมบูรณ์ของป่า

ผจญแก่งอุมผางคีสุดมัน

เส้นทางผจญแก่งอุ้มผางคี ใครก็ไม่รู้มานับไว้(เหมือนโค้งขึ้นอุ้มผาง)ว่ามีทั้งหมด 77 แก่ง เปิดประเดิมกันด้วย"แก่งหลง" แก่งใหญ่ ยาก ที่สายน้ำแรงเชี่ยว ราวระดับ 4 จากนั้นเส้นทางก็พาผ่านแก่งมากมายในระดับ 1 ถึง 3+ ทั้งแก่งเล็กแก่งใหญ่ บางช่วงเรือแล่นฝ่าแก่งโค้งไปคดมาอย่างน่าตื่นเต้น บางช่วงเราต้องก้มหมอบเพราะเรือพุ่งลอดกิ่งไม้ ขณะที่บางช่วงเรือติดแหงกต้องลงทุนลงแรงขย่มเข็นกัน ส่วนบางช่วงแม้เรือ(บางลำ)จะแล่นฝ่าแก่งแค่เพียงในระดับ 1 แต่สมาชิกบนเรือนี่เล่นร้องกรี๊ดกันลั่นดังไปถึงในระดับ 5++ โน่น

สำหรับเสน่ห์ของการล่องแก่งอุ้มผางคีก็คือความต่อเนื่องของแก่ง ในเส้นทางล่องเรือมีแก่งให้ลุ้นให้เสียวกันตลอด ขณะที่สายน้ำนั้นก็เป็นสายน้ำใสไหลเย็น นอกจากนี้วิวสองข้างทางยังมีเสน่ห์ไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์น่ายล ใช้เวลาล่องแก่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงจุดสิ้นสุดที่หมู่บ้างอุ้มผางคีจุดตั้งต้น งานนี้แม้จะลุย จะโหด จะเหนื่อย จะเปียกชุ่มโชก แต่ผมกับรู้สึกสนุกเร้าใจเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นความเร้าใจภายใต้สภาพแวดล้อมของธรรมชาติอันพิสุทธิ์ที่ไม่อาจสัมผัสได้ในป่าคอนกรีต เพราะในยุคที่ป่าไม้บ้านเราถูกทำลายลงทุกวัน การมีป่าให้เที่ยวยังไงๆ ย่อมดีกว่าการสูญสิ้นป่าเป็นไหนๆ

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook