สกลนคร เมืองสวยสุดสงบ ใครๆ ก็ไปเที่ยวได้
ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง ยิ่งตอนนี้เริ่มมีลมหนาวพัดมาเบาๆ ด้วยแล้ว บอกเลยว่า น่าออกไปเที่ยวมาก แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเบียดเสียดนักท่องเที่ยวขึ้นไปเยือนขุนเขาภาคเหนือ เราขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนทิศการเดินทางจากเหนือ เบนไปทางภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทน ซึ่งตอนนี้อีสานเขากำลังบูมเรื่องแหล่งท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์และธรรมชาติเป็นอย่างมาก
ใครถนัดจะขับรถมาเที่ยว หรือจะนั่งเครื่องบินมาก็ได้ อย่างล่าสุด สายการบินแอร์เอเชีย เขาเพิ่งเปิดเที่ยวบิน กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - สกลนคร วันละ 2 เที่ยวบิน ทั้งเช้าและเย็น โดยใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที เท่านั้น ใครอยากเที่ยวอีสาน แต่ไม่อยากเดินทางนานๆ ก็นั่งเครื่องมาลงได้เลย เป็นการช่วยประหยัดเวลา แถมยังมีเวลาเหลือเที่ยวอีกเพียบ
สำหรับสถานที่แรกที่มาถึงเมืองสกลนครแล้วต้องเดินทางมาชมและสักการะ คือ วัดพระธาตุเชิงชุม ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวสกลนครให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง คำว่า "เชิงชุม" หมายถึง การมีรอยเท้ามาชุมนุมกันอยู่ ซึ่งหมายถึงรอยพระพุทธบาท 4 รอย ที่พระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์เสด็จมาประทับไว้บนแผ่นหิน
และเชื่อกันว่าแผ่นหินนั้นถูกเก็บรักษาไว้ใต้บาดาลโดยพญาสุวรรณนาค เพื่อรอพระศรีอาริยเมตไตรยมาประทับรอยเป็นองค์สุดท้าย และจากความเชื่อนี้ จึงทำให้ผู้คนเดินทางสักการะเป็นจำนวนมาก
สำหรับองค์พระธาตุที่เห็นในปัจจุบัน เป็นพระธาตุองค์ใหม่ที่สร้างครอบองค์เดิมไว้ ภายในองค์พระธาตุจึงมีลักษณะคล้ายถ้ำ
มีพระพุทธรูปหลายองค์ประดิษฐานอยู่ ซึ่งสามารถมองเห็นปากทางเข้าได้จากภายในวิหารด้านหน้าองค์พระธาตุ โดยภายในวิหารแห่งนี้ก็ยังประดิษฐาน "หลวงพ่อองค์แสน" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร ให้ได้กราบไหว้และขอพรด้วย
ต่อมาเราเดินทางไป วัดป่าสุทธาวาส วัดสำคัญอีกแห่งของจังหวัดสกลนคร วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อีกทั้งยังเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น มามรณภาพที่นี่ด้วย ภายในวัดมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ คือ อาคารพิพิธภัณฑ์บริขารพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ " สร้างบนสถานที่หลวงปู่มั่นมรณภาพ
ภายในอาคารมีการจำลองรูปเหมือนโดยสร้างจากหุ่นขี้ผึ้งในท่าขัดสมาธิ ด้านหน้ามีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น พร้อมจัดแสดงประวัติความเป็นมาของท่านตั้งแต่เกิดจนมรณภาพ และเครื่องใช้อัฐบริขารที่จำเป็นต่อสมณเพศเหมือนกับพระสงฆ์ทั่วๆไป บริขารเบ็ดเตล็ด
นอกจากวัตถุที่ท่านใช้ในการบำเพ็ญสมณเพศตามที่กล่าวมาแล้วยังมีวัตถุอื่นๆอีกกลุ่มละเล็กละน้อย ซึ่งศิษยานุศิษย์ได้นำมาเก็บรวบรวม และจัดแสดงไว้เป็นอนุสรณ์บูชาเครื่องใช้ประจำวัน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมและการแผ่กุศลคุณงามความดี ยึดหลักของชีวิตสมณเพศอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุนี้ เครื่องใช้ประจำวันของท่านจึงมีเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพเท่านั้น วัตถุต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าท่านตัดวัตถุทั้งหลายทั้งปวงออกจากบ่วงของกิเลสจนหมดสิ้น
นอกจากเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาแล้ว สกลนครยังมีของดีที่น่าสนใจ อีกเช่น สู่ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามธรรมชาติ บ้านพันนา ตั้งอยู่ ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยชาวบ้านได้นำแนวคิด หลักการ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณในการคิดค้นผลิตภัณฑ์
โดยร่วมกลุ่มกันของสตรีที่ต้องการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้ จริง จึงได้นำแนวคิดการทำผ้าย้อมครามที่มีมาในอดีตยาวนานร่วมกว่า 6,000 ปี ในดินแดนแถบเส้นศูนย์สูตร ได้แก่ อเมริกาใต้ แอฟริกา ยุโรปตอนใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้/เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะได้สีครามที่แตกต่างกัน
มาที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ชมขั้นตอนการทำผ้าย้อมครามและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในราคาเป็นกันเองอีกด้วย
จากนั้นขอพาไปเที่ยวบ้านท่าแร่ อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งภายในชุมชนแห่งนี้ มีประชากรที่นับถือคาทอลิกนับหมื่นคน โดยคริสตชนท่าแร่ดั้งเดิมนั้นอพยพมาจากเวียดนามในราวปี พ.ศ. 2427 หรือ ค.ศ. 1884
หมู่บ้านแห่งนี้มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมตารางหมากรุก ลักษณะเหมือนบ้านเรือนแถบประเทศในยุโรป บ้านเรือนแต่ละหลังอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี มีการผสมผสานของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสและเวียดนาม นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ตลอดสองข้างทาง แม้ว่าบางหลังจะรกร้างไปหรือขาดการดูแลไปบ้าง แต่ก็ยังมีเสน่ห์ที่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงอดีตอันงดงามของหมู่บ้านแห่งนี้
และปิดท้ายความสนุกของเมืองสกลนครกันที่ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นพระตำหนักที่สร้างขึ้นในบริเวณเทือกเขาภูพาน ใน พ.ศ. 2518
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงเลือกพื้นที่สร้างพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ทรงใช้แผนที่ทางอากาศและการเสด็จสำรวจเส้นทางบริเวณ ป่าเขา น้ำตก เป็นปัจจัยในการกำหนดเขตพื้นที่ก่อสร้างพระตำหนักและบริเวณพระตำหนักซึ่งประกอบด้วยเขตพระราชฐานชั้นในและเขตพระราชฐานชั้นนอก
นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่นักท่องเที่ยวเดินมาศึกษาเรียนรู้ด้านเกษตร โดยที่นี่มีทั้ง แปลงนาข้าวเกษตรอินทรีย์ งานปศุสัตว์ กับ เรื่องราวของสามดำมหัศจรรย์ คือ โคเนื้อภูพาน (วัวสีดำหรือทาจิมะภูพาน ซึ่งในอนาคตหากพัฒนาสายพันธุ์ จะสามารถขายเนื้อวัวชนิดนี้ได้ ก็จะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละเป็นหมื่นบาท) สุกรภูพาน (หมูดำ) และไก่ดำภูพาน รวมถึงโรงทอผ้าไหมอีกด้วย
หน้าหนาวนี้หากเพื่อนๆ ยังเปลี่ยนบรรยากาศไปเทียวมุมสงบๆ อากาศดีๆ และมีกิจรรมหลากหลายให้ชม ขอแนะนำว่าให้สกลนคร ดูสักครั้งแล้วคุณจะรู้สกลนครมีดีกว่าที่คิดไว้จริงๆ
การเดินทาง : ไปเที่ยว จ.สกลนคร นักท่องเที่ยวสามารถไปได้ทั้งรถยนต์ รถประจำทาง และเครื่องบิน โดยสายการบินแอร์เอเชีย เปิดเที่ยวบิน กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - สกลนคร วันละ 2 เที่ยวบิน ทั้งเช้าและเย็น โดยใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
สอบถามข้อมูลท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม (นครพนม มุกดาหาร และ จ.สกลนคร) โทร.0 4251 3790-1, 0 4251 3492