ขับรถเที่ยว ชมธรรมชาติ บนเขาค้อ
ก่อนพลังใจพลังกายตามประสาคนทำงานออฟฟิศในเมืองใหญ่อย่างฉันใกล้จะหมด แผนการเดินทางสู่เขาค้อก็ผุดขึ้นมา ฉันยิ้มออกเมื่อเห็นโปรแกรมทริปนี้พอรถแล่นเข้าสู่เขตจังหวัดเพชรบูรณ์
ฉันก็เริ่มนับจำนวนครั้งที่ได้มาเยือนเขาค้อ 1...2...3... หรือ 6...7...เขาค้ออยู่ห่างตัวเมืองเพชรบูรณ์เพียง 47 กิโลเมตร ขับรถไม่กี่อึดใจก็ได้สัมผัสดินแดนอันสวยงามสลับซับซ้อนด้วยขุนเขา ทิวสน และสายหมอก นับเป็นจุดหมายซึ่งอยู่ใกล้กรุงของคนรักธรรมชาติ มีเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน ผู้มาเยือนก็จะได้รับความสุขเต็มปอดหอบกลับไปนอนกอดได้อีกพักใหญ่ ตามสโลแกนน่ารักๆ ของคนเขาค้อที่ว่า "นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี" ว้าว ! เก๋จริงๆ !
เช้าวันนั้นพวกเราเริ่มต้นเส้นทางสู่เขาค้อกันที่ทางหลวงหมายเลข 12 ในเขตอำเภอหล่มสัก ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เล็กน้อย เพราะนอกจากเป็นเส้นทางไต่ระดับขึ้นเนินเขาแล้ว ยังมีการก่อสร้างเพื่อขยายถนนเป็นบางช่วงด้วย เส้นทางนี้ถูกเรียกจากหมู่นักท่องเที่ยวกันจนติดหูว่า "รูท 12" เพราะมีร้าน Route 12 ร้านกาแฟชื่อดังที่ใครผ่านมาถ้าไม่ได้แวะจะถือว่าเชยสุดๆ อยู่บนเส้นทางช่วงที่มุ่งหน้าไปทางอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
ด้วยภูมิประเทศเป็นขุนเขาสลับซับซ้อน การขับรถเที่ยวบนเขาค้อจึงเป็นกิจกรรมที่น่าสนุก เราพักเบรกดื่มกาแฟชมสวนสวยกันจุดแรก ณ ร้าน In & Out Coffee and Garden
ร้านกาแฟเล็กๆ แต่แลนด์สเคปไม่เล็ก ยิ่งใครชอบต้นไม้ ชอบแต่งสวนพรวนดิน มาที่นี่คุณจะได้มากกว่าการดื่มกาแฟ เพราะบริเวณภายในเป็นที่ตั้งของบ้านสุขเวศน์ (Heaven of Love) ซึ่งรายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับฝีมือการออกแบบของ สุวรรณา อาริยพัฒนกุล ผู้เป็นเจ้าของบ้านและกรรมการผู้จัดการบริษัทอินแอนด์เอาท์ แลนด์สเคป จำกัด ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการออกแบบตกแต่งบ้านและจัดแต่งสวนมานาน
สวนสวยกลางหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยไม้เมืองหนาวนานาพรรณ ใช้เวลาเดินชม 1-2 ชั่วโมงเรายังว่าน้อยไปสำหรับการซึมซับความงามของมุมสวยๆ ที่มีให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งกลางพื้นที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ และถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวก็จะพบดอกบลูซัลเวียสีม่วงสดบานสะพรั่งราวกับทุ่งลาเวนเดอร์เลยทีเดียว
ด้านหลังบริเวณที่ตั้งตัวบ้านเป็นจุดนั่งชมทิวทัศน์เขาค้อที่โรแมนติกมากๆ (สวนนี้เปิดให้เที่ยวชมทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 100 บาท)ขับรถต่อมาอีกไม่ไกลเราก็ถึงสวนป่าหิมพานต์ สถานที่อีกแห่งที่มีพรรณไม้ให้ชมกว่า 1,000 ชนิดในเนื้อที่บนเนินเขากว่า 700 ไร่
บรรยากาศสวนแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ฤดูหนาวอากาศเย็นสบาย ช่วงต้นหนาวไม้ดอกหลากสีสันอย่างเฟื่องฟ้าจะแข่งกันออกดอกประชันกับประดู่แดง กาฬพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ ก่อ ปอขาว กาสะลองคำ พอล่วงเข้าฤดูร้อนก็ถึงคราวไม้ใหญ่อย่างกระพี้จั่น นางแดง แคฝรั่ง หางนกยูง อวดดอกสีสดให้นักท่องเที่ยวชมบ้าง
เมื่อถึงฤดูฝนทั่วทั้งพื้นที่ดูเขียวชอุ่ม ดอกกระดังงา บุหรง บุหลัน บุหงา ปาหนัน เริ่มมีให้เห็น แถมพื้นที่บนสันเขาด้านบนซึ่งอากาศดีมาก บางส่วนยังประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์ป่าหิมพานต์ให้คุณได้จินตนาการเหมือนเดินอยู่ในดินแดนแห่งวรรณคด
ก่อนขับรถลงสู่เขาค้อตอนล่าง พวกเราไม่พลาดเที่ยวชม วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว สถานที่ธรรมภูมิอันงดงามตระหง่านบนเขาสูง ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2547 ในนาม "พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว" ต่อมาได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคมจัดตั้งเป็นวัดชื่อ "วัดพระธาตุผาแก้ว" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว" ให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้งซึ่งเดิมชาวบ้านเรียกกันว่าผาซ่อนแก้ว
ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างงดงามหลายจุด การเที่ยวชมขอแนะนำว่าต้องสำรวมและรักษากฎการเข้าชมของวัดซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด สิ่งที่โดดเด่นสะดุดสายตาคือเจดีย์สิริราชย์ธรรมนฤมิต ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ เจดีย์มีรูปทรงคล้ายดอกบัวซ้อนกันเจ็ดชั้น
องค์เจดีย์และพื้นที่รอบๆ ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน เงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ รวมถึงเซรามิกหลากสีสัน เป็นลวดลายสวยงามแปลกตา
นอกจากนี้ยังมีมหาวิหารพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ฉันจินตนาการถึงภาพเมื่อสร้างแล้วเสร็จดูจะอลังการไม่น้อย บางคนในกลุ่มอยากเห็นภาพมุมสูงของวัด จึงพากันขับรถจากหน้าวัดตรงขึ้นไปตามเนินเขาตามแผนที่ ก็ถึงจุดชมทิวทัศน์ซึ่งสวยงามมาก
โดยเฉพาะขณะพวกเราไปถึงเป็นเวลาหลังฝนตก มีหมอกบางๆ ลอยปกคลุมยอดเจดีย์และมหาวิหารที่กำลังสร้างอยู่ ถึงจะยังไม่เคยได้ไปสวรรค์ แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าพูดได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ไม่มีผิด