ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาบุกไร่กาแฟเหรียญทองระดับโลกและชมทะเลหมอกวัดเฉลิมพระเกียรติ unseenสุดฮิต

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาบุกไร่กาแฟเหรียญทองระดับโลกและชมทะเลหมอกวัดเฉลิมพระเกียรติ unseenสุดฮิต

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาบุกไร่กาแฟเหรียญทองระดับโลกและชมทะเลหมอกวัดเฉลิมพระเกียรติ unseenสุดฮิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลได้รับเชิญจากคุณพ่อบรูโน รอสซี่ เจ้าอาวาสวัดคาทอลิก ที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เมืองต้องห้าม.....พลาด ที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัว คั่ว และบด กาแฟไทยจนชนะประกวดได้รับเหรียญทองระดับโลก ไปพักที่วัดคาทอลิกเพื่อชมไร่กาแฟและชมเทคนิคการคั่วและบดกาแฟของคุณพ่อบรูโน

พร้อมทั้งเปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จของการคั่วกาแฟจนชนะการประกวดได้เหรียญทอง หลังจากนั้นในช่วงเช้ามืดวันต่อมา เราก็ออกจากที่พักในวัดคาทอลิกซึ่งอยู่ห่างจากทางขึ้นวัดเฉลิมพระเกียรติเพียง 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น เพื่อไปชมทะเลหมอกสุดสวยบนวัดเฉลิมพระเกียรติในยามเช้า

เราออกเดินทางจากเมืองลำปางในช่วงสายๆ ขับรถไปที่อำเภอแจ้ห่มซึ่งห่างจากเมืองลำปางประมาณ 70 กิโลเมตร แวะเที่ยวเมือง ปาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงาม เมืองปานเป็นเมืองในหุบเขา มีแม่น้ำไหลผ่านสวยงาม ล้อมรอบด้วยภูเขา คล้ายๆเมือง ปาย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อากาศเย็นสบาย ใครมาเที่ยววัดเฉลิมพระเกียรติ อย่าลืมแวะมาเที่ยวเมืองปานที่เงียบสงบ ธรรมชาติสวยงามเทียบเท่าเมืองปายที่แม่ฮ่องสอน

หลังจากทานอาหารกลางวันที่ร้านแอ่วอิ่มเสร็จแล้ว เราก็เดินทางไปที่ วัดคาทอลิก แม่พระราชินีแห่งสันติภาพ (Regina Pacis)ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองปาน เพื่อไปชมไร่กาแฟและการคั่วกาแฟไทยที่ชนะการประกวดได้รับรางวัลเหรียญทองระดับโลกจากประเทศอิตาลี ตามคำเชิญของคุณพ่อบรูโน       

ประเทศอิตาลีได้จัดให้มีการประกวด International Coffee Tasting ทุก 2 ปี ปีพ.ศ.2557 นี้ คุณพ่อ Bruno Rossi เจ้าของโครงการ "กาแฟบรูโน" ได้ส่งกาแฟไทยที่ใช้เมล็ดกาแฟที่ปลูกที่ดอยแม่แจ๋ม อำเภอปาน จังหวัดลำปาง คั่วและบดโดยตัวคุณพ่อ บรูโน และทีมงานที่เป็นบาทหลวงจากประเทศอิตาลีอีก 2 คน โดยส่งกาแฟชนิดคั่วและบดแบบ espresso ส่งเข้าประกวดที่ประเทศอิตาลี ชนะกาแฟจาก ประเทศสเปน สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆอีกรวม 15 ประเทศ ได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทอง

ร่วมแสดงความยินดีกับคุณพ่อบรูโนที่กาแฟบรูโนได้รับประกาศนียบัตรรางวัลชนะเลิศเหรียญทองจากประเทศอิตาลี

 

เมื่อมาถึงที่วัด หลังจากที่ได้พักผ่อนและชิมกาแฟบรูโนแล้ว คุณพ่อบรูโนก็พาเราไปชม ไร่กาแฟบนดอยแม่แจ๋ม อำเภอเมืองปาน ดอยแม่แจ๋มอยู่ห่างจากวัดคาทอลิกประมาณ 50 กิโลเมตร โดยขับผ่านปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไป ในช่วงที่เลยอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนถนนค่อนข้างคดเคี้ยวขึ้นเขาตลอด ทิวทัศน์ระหว่างทางขึ้นไปบนดอยแม่แจ๋มเป็นภูเขาสูงและมีเหวลึก 2 ข้างทาง ต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง ใช้เวลาชั่วโมงเศษๆก็ถึงไร่กาแฟ

เมล็ดกาแฟเริ่มสุก สีสวยน่าทานมาก

 

คุณพ่อ บรูโน โชว์ให้เราดูต้นกาแฟที่มีเมล็ดกาแฟสุกเต็มต้นด้วยความภูมิใจ

 

เมล็ดกาแฟสดจากต้นเรียกว่า กาแฟเชอรี่ ขายได้กิโลกรัมละ 16-18 บาท ลองแกะเมล็ดกาแฟสดๆออกมาทานดู ปรากฏว่ามีลักษณะเป็นเมือกมีรสหวาน จากนั้นก็ต้องนำเมล็ดกาแฟเชอรี่ที่กะเทาะเปลือกแล้วไปล้างเมือกออกให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง เรียกเมล็ดกาแฟที่ได้ว่า กาแฟกะลา เมล็ดกาแฟสดๆที่เด็ดจากต้นหรือที่เรียกว่า กาแฟเชอรี่ 100 กิโลกรัม เมื่อมาผ่านกรรมวิธีต่างๆจะได้เป็นกาแฟกะลาเพียง 20 กิโลกรัมเท่านั้น

เมล็ดกาแฟสดๆที่อยู่ติดต้นสีคล้ายเชอรี่จึง เรียกว่ากาแฟเชอรี่

 

ทางวัดจะซื้อกาแฟกะลาจากชาวบ้านเก็บไว้ เพราะเก็บได้นานถึง 3-4ปี เมื่อต้องการจะนำเมล็ดกาแฟไปคั่ว ก็ต้องนำเมล็ดกาแฟกะลาไปเข้าโรงสีกะเทาะเปลือกออกได้เมล็ดกาแฟที่เรียกว่า กาแฟสาร แล้วนำกาแฟสารไปเข้าเครื่องคั่วออกมาเป็นกาแฟชนิดเม็ด และถ้านำกาแฟเม็ดมาบดก็จะได้เป็นกาแฟชนิดผงซึ่งนำไปเข้าเครื่องชงกาแฟเป็นกาแฟสดทานได้เลย

คุณพ่อบรูโนกำลังตรวจคุณภาพของกาแฟกะลาที่ตากแห้งอยู่

 

บ้านแม่แจ๋มเป็นหมู่บ้านเล็กๆมีเพียง 100กว่าหลังคาเรือนเท่านั้น อาชีพดั้งเดิมของชาวบ้านที่นี่คือการปลูกชาเหมี้ยง ด้วยสภาพภูมิอากาศที่มีความหนาวเย็นเหมาะสำหรับการปลูกพืชเมืองหนาว โครงการหลวงจึงได้เข้ามาส่งเสริมพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นพื้นที่ปลูกมะคาเดเมียซึ่งเป็นราชินีของถั่ว

มะคาเดเมียของบ้านแม่แจ๋มมีคุณภาพดีมาก เม็ดใหญ่ เคี้ยวมันอร่อยมาก มะคาเดเมียที่อื่นๆเช่นที่ดอยอ่างขางเม็ดจะค่อนข้างเล็ก คุณภาพสู้ที่บ้านแม่แจ๋มไม่ได้ ถ้าใครชอบทานมะคาเดเมียเม็ดใหญ่ๆขอแนะนำให้ซื้อที่ร้าน สุวรรณการ์เดนโฮมสเตย์ บ้านแม่แจ๋ม ติดต่อคุณอ้อ โทร 085-867-5188 ขอแนะนำว่าอร่อยและเม็ดใหญ่จริง ถ้าต้องการจำนวนมากควรโทรจองล่วงหน้า เพราะของมีจำนวนจำกัด

นอกจากมะคาเดเมียแล้ว กาแฟก็ทำรายได้ให้แก่ชาวบ้านได้ดี เพราะกาแฟแม่แจ๋มมีคุณภาพดี ในแต่ละต้นจะมีกาแฟคุณภาพดีที่เรียกว่า กาแฟ peaberry ซึ่งมีลักษณะเมล็ดค่อนข้างกลม สมบูรณ์เต็มที่ ปนอยู่ค่อนข้างมาก (ขณะที่กาแฟทั่วไปจะมีเมล็ดรีไม่กลม) เพราะสภาพอากาศที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร และสภาพดินดีอากาศเหมาะกับการปลูกกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟที่บ้านแม่แจ๋มมีคุณภาพดี

หลังจากที่ชมไร่กาแฟบรูโนบนดอยแม่แจ๋มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถลงเขาไปที่วัดเพื่อชมการคั่วและบดกาแฟ โดยแวะดื่มกาแฟบรูโนคนละแก้ว บางคนก็เลือกทาน Affogato (ไอศกรีมผสมกาแฟร้อน) หลังจากดื่มกาแฟเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าไปที่โรงงานผลิตกาแฟที่อยู่ด้านหลังของบริเวณวัด 

คุณพ่อบรูโนเปิดเครื่องคั่วกาแฟเพื่ออุ่นเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ระหว่างนั้นก็เล่าให้ฟังว่า เครื่องคั่วกาแฟนี้เป็นเครื่องคั่วกาแฟเก่ามีอายุกว่า 10 ปี ต้องควบคุมเครื่องด้วยมือไม่ได้ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จึงต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์เฉพาะตัวในการคั่วเพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพดี

เพื่อนคุณพ่อบรูโนที่ประเทศอิตาลีบริจาคเครื่องคั่วกาแฟนี้มาให้เพื่อใช้ใน "โครงการกาแฟบรูโน" ซึ่งคุณพ่อบรูโนตั้งขึ้นมา เพื่อนำรายได้จากการขายกาแฟไปเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กชาวบ้านและเด็กชาวเขาในอำเภอแจ้ห่ม ให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น

คุณพ่อบรูโนเล่าว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ที่สามารถคั่วกาแฟให้ได้คุณภาพดี ก็ต้องมีการลองผิดลองถูกมานับร้อยครั้ง ต้องคอยปรับอุณหภูมิในการคั่วให้เหมาะสม ปรับเปลี่ยนระยะเวลาในการคั่วเพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพดี คอยจดเวลา จดอุณหภูมิและช่วงเวลาในการที่จะเปิดพัดลมระบายความร้อนจากเครื่องคั่วกาแฟในการคั่วแต่ละครั้ง แล้วก็นำผลผลิตกาแฟที่ได้ในแต่ละครั้งไปทดสอบคุณภาพ

โดยคุณพ่อบรูโนจะคอยดมเมล็ดกาแฟที่ได้ และดูสีของเมล็ดกาแฟว่าได้คุณภาพตามต้องการหรือไม่ หลังจากนั้นเมื่อได้คุณภาพสีและกลิ่นกาแฟตามต้องการแล้ว บาทหลวง Rafael ผู้ช่วยคุณพ่อบรูโนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการชิมกาแฟ ก็จะนำกาแฟไปชงและชิม ถ้าได้คุณภาพตามต้องการก็ถือว่า กาแฟชุดนี้ผ่านการควบคุมคุณภาพ ได้คุณภาพตามต้องการทั้ง สี กลิ่นและรสชาติ แต่ถ้าไม่ผ่านขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ทุกครั้ง คุณพ่อบรูโนบอกว่าเรื่องคุณภาพเป็นสิ่งที่ยอมกันไม่ได้ ถ้าไม่ได้มาตรฐานตามต้องการแม้แต่นิดเดียวก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่

คุณพ่อบรูโนชี้ให้ดูกระดาษที่จดเคล็ดลับในการตั้งระยะเวลา ตั้งอุณหภูมิในการคั่วกาแฟ การดูสีกาแฟ ตลอดจนช่วงเวลาการเปิดเครื่องดูดอากาศระบายความร้อนจากเครื่องคั่วกาแฟ คุณพ่อบรูโนบอกว่าเคล็ดลับอยู่ในกระดาษใบนี้ ได้จากการลองผิดลองถูกแล้วจดเป็นข้อมูลไว้ ลองจนได้สูตรการคั่วกาแฟที่ทำให้กาแฟไทยชนะเลิศการประกวดระดับโลกที่ประเทศอิตาลี เคล็ดลับความสำเร็จนี้ได้เก็บอยู่ในตู้เซฟเป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งแรกที่นำมาให้ดู แต่เราดูไม่รู้เรื่อง คุณพ่อบรูโนเข้าใจคนเดียว

เครื่องคั่วกาแฟนี้มีช่องให้เราสามารถดึงเมล็ดกาแฟออกมาดูสีได้ว่า เมล็ดกาแฟมีสีตามต้องการหรือยัง

คุณพ่อบรูโนต้องคอยดมเมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จแล้วทุกครั้งว่าหอมได้มาตรฐานที่ต้องการหรือไม่

หลังจากได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพตามต้องการแล้วก็จะนำเมล็ดกาแฟไปบดด้วยเครื่องบดที่ได้รับการบริจาคจากเพื่อนคุณพ่อบรูโนที่ประเทศอิตาลี

บดเสร็จแล้วคุณพ่อ บรูโนก็ต้องดมกลิ่นว่าใช้ได้หรือไม่ ถ้าใช้ได้ก็จะให้ บาทหลวง Rafael ผู้เชี่ยวชาญทางด้านชิมกาแฟนำไปชงเป็นกาแฟแล้วชิมรสชาติกาแฟที่ชงแล้วว่าหอมอร่อยได้คุณภาพตามต้องการหรือไม่ ถ้าได้คุณภาพตามต้องการแล้ว ก็จะเก็บกาแฟที่คั่วและบดเสร็จแล้วในภาชนะเปิดทิ้งค้างคืนไว้1 คืน เพื่อให้กาแฟคลายแก๊สที่เกิดจากการคั่วและบดออกจากเมล็ดกาแฟ วันรุ่งขึ้นจึงจะบรรจุกาแฟเม็ดและกาแฟผงใส่ถุงเพื่อขายต่อไป

คุณพ่อบรูโนเล่าให้ฟังว่า การผลิตกาแฟแต่ละขั้นตอน น้ำหนักของเมล็ดกาแฟจะหายไปเรื่อย ถ้าเริ่มจากเมล็ดกาแฟเชอรี่สีสวยๆที่ต้นกาแฟเชอรี่100 กิโลกรัม เมื่อนำไปกะเทาะเปลือก ล้างและตากให้แห้ง เป็นเมล็ดกาแฟกะลาจะเหลือเพียง 20 กิโลกรัม จากเมล็ดกาแฟกะลา 20 กิโลกรัม นำไปสี (กะเทาะเปลือก)เป็นเมล็ดกาแฟสาร จะเหลือเพียง 16 กิโลกรัม เมื่อนำเมล็ดกาแฟสารไปคั่วก็จะเหลือเป็นเมล็ดกาแฟที่พร้อมบดและชงเพียง 12-13 กิโลกรัมเท่านั้น  จะเห็นว่าต้นทุนของการผลิตกาแฟค่อนข้างสูง เพราะมีการสูญเสียระหว่างกรรมวิธีการผลิตมาก จึงทำให้กาแฟโดยทั่วไปมีราคาค่อนข้างสูงตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

หลังจากชมการคั่วและบดกาแฟตลอดจนคำอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตกาแฟแล้ว คุณพ่อบรูโน บาทหลวง Rafael และบาทหลวง Bruno Suppelsa (ชื่อเหมือนคุณพ่อบรูโน แต่คนละนามสกุล) ก็เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารพวกเรา หลังอาหารค่ำ เด็กนักเรียนได้ร้องเพลงอวยพรเนื่องในวันพ่อ ให้คุณพ่อ บรูโน พร้อมทั้งมอบกระเช้าผลไม้ให้คุณพ่อและ มอบผลไม้ขอบคุณ ผู้เขียนท่องเที่ยวสไตล์พิศาลและ sanook.com ที่ช่วยแนะนำกาแฟบรูโนผ่านทาง sanook.com จนเป็นที่รู้จักและยอดขายกาแฟบรูโนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีรายได้จัดเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กชาวบ้านและเด็กชาวเขาได้เพิ่มขึ้น

 ที่โต๊ะอาหารภายในบริเวณบ้านพัก

หลังจากนั้นเราก็เข้าห้องพัก อยู่ในตึกเดียวกับที่คุณพ่อบรูโนพัก ห้องพักสะดวกสบายเหมือนพักในบ้าน วันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูทะเลหมอกที่วัดเฉลิมพระเกียรติซึ่งปากทางขึ้นวัดเฉลิมพระเกียรติอยู่ห่างจากที่เราพักเพียง 3-4 กิโลเมตรเท่านั้นเอง นับว่าสะดวกมาก

การขึ้นไปที่วัดเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกไปเมื่อเดือนที่แล้วและได้เขียน รีวิว ใน sanook.com ในท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาเที่ยววัดเฉลิมพระเกียรติ ในเดือนพฤศจิกายนไปแล้ว ตอนที่ไปครั้งแรกไปตอนกลางวันไม่เห็นทะเลหมอก และได้เจอความวุ่นวาย ความไม่สะดวก และอันตรายจากการขึ้นไปเที่ยววัดเฉลิมพระเกียรติหลายเรื่องและได้เขียนคำแนะนำลงใน ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลลงในsanook.com และได้ฝากคุณพ่อ บรูโนไปเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและนายอำเภอแจ้ห่มถึงเรื่องความไม่สะดวกต่างๆ เช่น

เรื่องการขายตั๋วและการจัดคิวคนขึ้นรถที่ทางวัดจัดให้พาขึ้นไปบนเขาที่วัดเฉลิมพระเกียรติ ครั้งแรกที่ไป ไม่มีการขายตั๋วไม่มีการจัดคิวคนขึ้นรถ จ่ายเงินคนละ 50 บาทก็แย่งกันขึ้นรถที่ทางวัดจัดให้ได้เลย คราวนี้มีการจัดคิวอย่างดี มีที่นั่งให้นั่งรอในเต๊นท์ตามคิวที่มาก่อนหลัง แต่ได้ปรับราคาค่าตั๋วขึ้นรถจาก 50 บาทเป็น 60 บาท แต่ตอนขาลงยังไม่มีการจัดคิวขาลง นักท่องเที่ยวจึงต้องแย่งกันขึ้นรถ รถบางคันก็ไม่รับผู้โดยสารขาลง อ้างว่าเป็นรถที่เขาเหมาขึ้นมา ความจริงแล้ว ทางวัดควรจะห้ามรถที่ทางวัดจัดให้สำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวทั่วไป ไปรับเหมานักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เพราะทางวัดมีรถจำนวนจำกัด ถ้ารถ 6 คันหรือบางคันที่ทางวัดมีอยู่ไปรับเหมานักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มหมด นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ไม่มีรถขึ้น หรือถ้ามีก็ต้องรอนานขึ้น รถที่ทางวัดจัดให้ควรจะรีบหมุนเวียนขึ้นไปส่งผู้โดยสารแล้วรีบลงมารับผู้โดยสารกลุ่มต่อไป ไม่ใช่ขึ้นไปส่งแล้วไม่ยอมลง รอรับผู้โดยสารที่ให้ราคาพิเศษเหมาจองไว้กลุ่มเดียว ควรรีบแก้ไขโดยเร็ว

จำนวนรถที่ทางวัดจัดรับนักท่องเที่ยวขึ้นเขาก็เพิ่มขึ้นจาก 3 คันเป็น 6-8คัน นอกจากนี้ก็ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยดูแล และประกาศห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปจุดไหว้พระธาตุ เกิน ครั้งละ 8 คน เพราะโครงเหล็กอาจไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คอยระวังเตือนกันเองในกลุ่มเป็นอย่างดี อาจจะมีบางคนเท่านั้นที่ฝ่าฝืนแต่ก็ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน


ทางเดินขึ้นเขาเป็นบันไดสูงชันและแคบ ต้องระมัดระวังในการเดิน

เราขับรถขึ้นไปยังที่จอดรถด้านบนเพื่อนั่งรถที่ทางวัดจัดให้ขึ้นเขา เหมือนที่เราเคยทำครั้งที่แล้ว แต่ปรากฏว่าคราวนี้ ทางวัดได้เปลี่ยนจุดรับส่งผู้โดยสารขึ้นเขาจากที่จอดรถด้านบนที่ค่อนข้างคับแคบ มาเป็นบริเวณที่จอดรถด้านล่าง พร้อมจัดเก้าอี้ให้นั่งรอตามคิวในเต๊นท์ เราไปถึงก่อน 07.00น นักท่องเที่ยวยังไม่มาก เลยได้ขึ้นรถโดยไม่ต้องเสียเวลารอ ตอนเช้าอากาศเย็นสบาย นั่งรถประมาณ 15 นาทีก็ถึงบริเวณลานจอดรถเชิงบันไดทางขึ้นวัด จากจุดนี้เราต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 800 เมตรไปยังวัดที่อยู่บนยอดเขา ทางเดินขึ้นเป็นบันไดเหล็กสูงและชันมาก เดินขึ้นบันไดไปประมาณครึ่งทางก็จะเจอจุดพักชมวิว เห็นทะเลหมอกสวยงามมาก

ทะเลหมอกถ่ายจากจุดพักชมวิว


ทะเลหมอกถ่ายจากจุดชมวิวซึ่งอยู่ครึ่งทางก่อนถึงยอดเขา

หลังจากยืนถ่ายรูป ชมวิว และพักจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินขึ้นเขาต่อไปยังวัดเฉลิมพระเกียรติที่อยู่บนยอดเขา มองเห็นทะเลหมอกปกคลุมยอดเขาและบางส่วนของวัด เห็นศาลาสวดมนต์ตั้งเด่นสง่าอยู่บนยอดเขา


จุดชมวิวที่สวยและห้ามพลาดบนวัดเฉลิมพระเกียรติมี 2 จุด จุดแรกคือจุดชมวิวบนฐานเจดีย์พระธาตุ เป็นโครงเหล็กขึ้นไปได้ครั้งละไม่เกิน 8 คน ไหว้พระธาตุเสร็จแล้วก็ยืนชมวิวถ่ายรูปตรงนั้น

วิวที่ถ่ายจากฐานเจดีย์พระธาตุ

จุดชมวิวที่2 ที่ห้ามพลาด ซึ่งคนส่วนใหญ่หาทางขึ้นไม่เจอ คือที่ศาลาสวดมนต์ ให้เดินตามป้ายศาลาสวดมนต์ เดินขึ้นเขาไปจะเห็นศาลาสวดมนต์อยู่บนยอดเขา ภายในศาลามีพระพุทธรูปให้บูชา หลังจากไหว้พระบนศาลาสวดมนต์เสร็จก็เดินไปถ่ายรูป บางคนก็นั่ง นอนพักบนนี้ ลมเย็นมากน่านอนพักผ่อนออมแรงก่อนเดินลงเขา

วิวถ่ายจากศาลาสวดมนต์ เห็นเจดีย์พระธาตุสวยงามชัดเจน ที่ฐานเจดีย์พระธาตุเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกหนึ่งจุดนอกเหนือจากที่ศาลาสวดมนต์

วัดเฉลิมพระเกียรติหรือวัดดอยพระบาทปู่ผาแดงสร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่รัชกาลที่4 พระราชสมภพครบ 200 ปี เมื่อวันที่18 ตุลาคม พ.ศ. 2547 คณะสงฆ์มีมติให้สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน 2 แห่ง เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงของพระองค์ท่านที่มีต่อปวงชนชาวไทย คือวัดพระมหาธาตุที่กรุงเทพฯ และวัดพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (เฉลิมพระเกียรติครบ 200ปี)ชาวบ้านเรียกสั้นๆว่าวัดเฉลิมพระเกียรติหรือชาวบ้านรุ่นเก่าๆบางคนอาจจะเรียกว่า วัดดอยพระบาทปู่ผาแดง

คณะสงฆ์ มีมติให้พระเทพวิสุทธิญาณ(หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล) วัดอนาลโยทิพยาราม(ดอยบุษราคัม) ที่เมืองพะเยา เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ช่วงที่สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ หลวงพ่อไพบูลย์ต้องเดินทางจากวัดอนาลโย ทิพยาราม ที่จังหวัดพะเยา ไปยังวัดเฉลิมพระเกียรติที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปางโดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ท่านว่าวัดที่แจ้ห่มสูงกว่าวัดอนาลโยราว 2 เท่า วัดอนาลโยฯอยู่บนดอยบุษราคัม มองข้างล่างเห็นบ้านเรือนและต้นไม้ แต่วัดที่แจ้ห่มมองลงไปเห็นขอบฟ้าทีเดียว ต้องเดินผ่านเมฆหมอกตลอดเวลา อากาศเย็นสบาย เลยทำให้อยากไปดู

 

หลังจากยืนถ่ายรูปและชมวิวครู่ใหญ่ๆ เราก็เดินลงเขาไปนั่งรถที่ทางวัดจัดให้เพื่อไปยังที่เราจอดรถไว้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook