ท่องเที่ยวสไตล์พิศาล แอ่วเหนือหลบร้อน อาบบุญ ห่มทะเลหมอก วันสงกรานต์
หน้าร้อนปีนี้อากาศร้อนมาก หลายจังหวัดอุณหภูมิเกิน 40 องศาติดต่อกันหลายวัน กรุงเทพฯ ก็ร้อนไม่น้อยหน้าจังหวัดอื่นๆ แม้อุณหภูมิจะยังไม่เกิน 40 องศา แต่ไอร้อนที่ระบายออกจากเครื่องปรับอากาศรถยนต์ และไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศตามตึกและที่อยู่อาศัยต่างๆ ที่ระบายออกมาตามถนน ทำให้กรุงเทพฯ ร้อนไม่น้อยหน้าจังหวัดอื่นๆ
ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลชวนไปไหว้พระวัดสวย unseen ที่จังหวัดลำพูน หลบลมร้อนไปชมทะเลหมอก ไม้ดอกสวยๆ บนดอยอินทนนท์ และแวะชมพิพิธภัณฑ์พิฆเนศ หนึ่งเดียวในไทย
เราออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้ามืดหนึ่งอาทิตย์ก่อนสงกรานต์เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด แวะทานอาหารเช้าที่ครัวแม่นิรมล อินทร์บุรี อาหารเที่ยงที่เถิน และแวะไหว้พระที่วัดสันป่ายางหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสันป่ายางหลวง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน พิกัดN18.585195 E99.012221
วัดสันป่ายางหลวง เดิมเคยเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน ต่อมามีพระเถระจากพม่า 3 รูป เดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาแสดงธรรมจนชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา จึงพร้อมใจกันเปลี่ยนเทวสถานเป็นวัดในพระพุทธศาสนา วัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาแห่งแรกของดินแดนล้านนา เรียกชื่อว่า "วัดขอมลำโพง" เนื่องจากละแวกนั้นเป็นชุมชนชาวขอม
เล่ากันว่า เมื่อพระนางจามเทวีมาครองเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) พระองค์ได้ปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่ และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เมื่อเสด็จสวรรคตก็ได้ถวายพระเพลิงพระองค์ที่วัดแห่งนี้ด้วย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดสันป่ายางหลวง ตามสภาพแวดล้อมที่ประกอบไปด้วยต้นยางขนาดใหญ่หนาทึบ
ภายในวิหารพระเจ้าเขียวโขง ด้านล่างประดิษฐานพระพุทธเมตไตรย์จำลองจากพระพุทธเมตตา เมืองพุทธคยา อินเดีย ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าเขียวโขง
วิหารพระเจ้าเขียวโขง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2548 เป็นที่ประดิษฐานพระหยกเขียว นามเต็มคือ พระพุทธรัตนมหานธีศรีหริภุญชัย หรือพระเจ้าเขียวโขง
วิหารพระเจ้าเขียวโขงมีความวิจิตรตระการตามาก ด้านหน้าเป็นหลังคา 5 ชั้น ช่อฟ้า 5 ตัว ด้านหลังอีก 3 หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา หมายถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเพื่อเดินเข้าสู่พระนิพพาน หน้า 5 หลัง 3 รวมเป็น 8 หมายถึงต้องปฏิบัติตามทางสายกลางคือ มรรค 8
วัดสันป่ายางหลวงเป็นวัดที่สวยงามมาก งานปูนปั้น งานแกะสลักประดับกระจกตามหน้าบันและภายในวิหารงดงามมาก หลังจากไหว้พระที่วัดสันป่ายางหลวงเสร็จแล้ว เราก็ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ ไปถึงประมาณกิโลเมตรที่ 31 เราก็ขับรถเลี้ยวขวาเข้าไปทางบ้านขุนกลางแล้วขับรถตามป้ายไปยังบ้านพักในโครงการหลวงดอยอินทนนท์ที่เราจองไว้
บ้านพักในโครงการหลวงดอยอินทนนท์
ช่วงนี้ที่พักราคาถูกกว่าช่วงหน้าหนาว ห้องพักลดราคาจากคืนละ 1,500 บาทเหลือเพียง 1,100 บาท สำหรับพัก 2 คน รวมอาหารเช้า ห้องพักค่อนข้างว่าง ยกเว้นช่วงสงกรานต์ที่ห้องพักเต็มหมด หลังจากเช็คอินแล้ว เราก็เดินชมวิว ถ่ายรูป รอบๆ บริเวณสวนใกล้ที่พัก
ไม้ดอกช่วงนี้บานเต็มที่ สวยกว่าช่วงหน้าหนาว อากาศดีประมาณ 24-25 องศา และเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย เดินชมวิวและถ่ายรูปได้อย่างสบาย ไม่แออัดเหมือนช่วงหน้าหนาว ที่ต้องแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว
ดอกไม้หลากสีสันบานเต็มที่ สวยงามมาก
สวนดอกไม้ใกล้ห้องพัก
ถนนทางเข้าโครงการหลวงดอยอินทนนท์ หลังจากผ่านประตูใหญ่เข้ามาแล้ว
หลังจากเดินชมสวนเสร็จแล้ว เราก็เดินไปยังร้านอาหารเพื่อทานอาหารเย็น
เคยคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการหลวงที่เลี้ยงปลาเทราท์และปลาสเตอร์เจียน เล่าว่าไข่คาเวียร์ราคาแพงก็คือไข่ปลาสเตอร์เจียน เนื้อปลาสเตอร์เจียนอร่อยมาก แต่ที่อร่อยยิ่งกว่าเนื้อปลาก็คือหัวปลา เขาแนะนำให้สั่งหัวปลาสเตอร์เจียนต้มยำน้ำใส ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่มาพักที่นี่ก็จะสั่งต้มยำหัวปลาสเตอร์เจียนตลอด แต่ไม่เคยได้ทานเพราะหัวปลาหมด แต่คราวนี้โชคดี ทางร้านมีหัวปลาเลยได้ทานหัวปลาสเตอร์เจียนต้มยำน้ำใส ไม่ผิดหวัง อร่อยจริงๆ เหมือนเอ็นหมูต้มยำแต่นุ่มและอร่อยกว่ามาก ราคาก็ไม่แพง ต้มยำหม้อละ 250 บาท
ทุกครั้งที่มาจะสั่งปลาเทราท์ทอดกระเทียม มาคราวนี้เปลี่ยนเป็นปลาเทราท์นึ่งมะนาว ปรากฏว่าอร่อยสู้ปลาเทราท์ทอดกระเทียมไม่ได้ ที่ขาดไม่ได้อีกจานหนึ่งก็คือ กะหล่ำปลีทอดน้ำปลาที่มาทุกครั้งต้องสั่ง และก็ไม่เคยผิดหวัง สด หอม อร่อย
วันรุ่งขึ้น เราตื่นแต่เช้า ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ต่อไปที่หลักกิโลเมตรที่ 41.5 เลี้ยวซ้ายขึ้นไปชมวิวและไหว้พระ ที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล (องค์สีน้ำตาล) และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ (องค์สีม่วงอมชมพู) ปูชนียสถานสำคัญที่ประดิษฐานบนที่สูงสุดแดนสยาม อุณหภูมิเช้านี้เวลา 06.00น บนยอดดอยอยู่ที่ 8 องศา
พระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย สร้างขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบในปี พ.ศ. 2530 (และเป็นปีเดียวกับที่กองทัพอากาศมีอายุครบ 72 ปี)
การขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุเจดีย์ทั้ง 2 องค์ในปัจจุบันสะดวกมาก เพราะมีบันไดเลื่อนขึ้นไปถึงด้านบน เราเลือกขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุนภเมทนีดลก่อน พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี
วิวทะเลหมอกมองจากพระมหาธาตุนภเมทนีดล
พระมหาธาตุนภเมทนีดล มีความหมายว่า "พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจรดดิน" มีความสูง 60 เมตร เพื่อเป็นนิมิตรหมายการสร้างเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา องค์พระมหาสถูปเจดีย์มีสัณฐานทรงระฆัง 8 เหลี่ยม มีลวดลายแบ่งออกเป็น 3 ช่วง แทนพระบารมี 3 ชั้นตอนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญเพียร
ส่วนที่เหนือรูปทรงระฆัง เป็นรูปบัวหงาย 8 กลีบ หมายถึงมรรคมีองค์ 8 และส่วนบนสุดขององค์พระมหาสถูปเจดีย์ มีรูปทรงเป็นยอดปลี ซึ่งหมายถึงการตรัสรู้สู่พระนิพพาน และที่ปลายยอดปลีกั้นด้วยฉัตรโลหะสีเงิน 9 ชั้น มียอดเป็นสีทอง หมายถึง อุดมมงคลอันสูงสุด และเป็นร่มเกล้าที่พระมหากษัตริยาธิราช รัชกาลที่ 9 ถวายเป็นพุทธบูชา
ภายในองค์พระมหาสถูปเจดีย์ เป็นห้องโถงโล่งทรงแปดเหลี่ยม เพดานสูง ตรงกลางห้องประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร ผนังห้องประดับด้วยภาพแบบนูนต่ำ 4 ภาพใหญ่ แสดงพุทธประวัติ 4 ตอนที่สำคัญ คือ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน
หลังจากไหว้พระในองค์พระมหาสถูปเจดีย์แล้ว เราก็ออกมาถ่ายรูป สวนดอกไม้ด้านนอก มองไปเห็นพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สีม่วงอมชมพู ซึ่งอยู่เนินเขาฝั่งตรงกันข้าม เด่น สง่าอยู่เบื้องหลัง
หลังจากนั้นเราก็ขึ้นไปไหว้พระที่ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ซึ่งหมายถึง "เป็นกำลังแห่งฟ้า เป็นสิริแห่งดิน" กองทัพอากาศและพสกนิกรร่วมกันสร้างถวาย สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2535 พระมหาธาตุเจดีย์นี้สูง 55 เมตร ต่ำกว่าพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล 5 เมตร เพื่อแสดงความหมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงอ่อนพระชันษากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 พรรษา
พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริคล้ายกับพระมหาธาตุนภเมทนีดลมาก ยอดปลีเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ จะแตกต่างกันตรงสีของโมเสกที่ประดับตกแต่งเท่านั้น ภายในเจดีย์เป็นโถงเพดานสูง กลางโถงมีพระพุทธรูปปางรำพึง ซึ่งเป็นพระประจำวันศุกร์ อันเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ แกะสลักด้วยหินหยกขาว จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ขนาดความสูงเฉพาะองค์ 3.20 เมตร ประทับยืนบนดอกบัว ผนังตอนบนโถงประดับด้วยภาพพุทธประวัติ ทำด้วยโมเสกแก้วสี ซึ่งออกแบบการจัดภาพและสีด้วยคอมพิวเตอร์ สั่งทำพิเศษจากประเทศอิตาลี
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เราก็เดินลงไปชมวิวสวนด้านนอก ไม้ดอกสีสวยบานสะพรั่งเต็มไปหมด
มุมนี้เห็นทั้งสะพาน สระน้ำ ไม้ดอก และพระมหาธาตุเจดีย์ทั้งสององค์
มุมนี้เห็นสีสันของไม้ดอก และพระมหาธาตุเจดีย์ทั้งสององค์ชัดเจน
หลังจากนั้นเราก็กลับไปทานอาหารเช้า แล้วเช็คเอาท์ออกเดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่
ระหว่างทางขับรถเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เห็นป้ายพิพิธภัณฑ์พิฆเนศที่อำเภอดอยหล่อ ก่อนถึงอำเภอสันป่าตองเล็กน้อย ก็เลยขับรถตามป้ายไปที่พิพิธภัณฑ์พิฆเนศที่พิกัด N18.56017 E98.82586
พิพิธภัณฑ์พิฆเนศ เชียงใหม่เกิดขึ้นโดย คุณปัณฑร ทีรคานนท์ มีความสนใจในองค์พระพิฆเนศนานกว่า 30 ปี เพราะได้รับอิทธิพลมาจากพระพิฆเนศที่ได้รับมาจากคุณพ่อตอนอายุ 19 ปี นับแต่นั้นมาก็เริ่มสะสมพระพิฆเนศปางต่างๆ เรื่อยมา จนบ้านพักดูจะคับแคบเกินไป จึงได้ตัดสินใจซื้อที่ดินกลางทุ่งนาจำนวน 5 ไร่ สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์พิฆเนศ แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย
ทางเดินเข้าบริเวณพิพิธภัณฑ์ด้านใน
เมื่อเดินเข้ามาแล้ว สิ่งก่อสร้างสะดุดตาสิ่งแรกที่เห็นก็คือ เทวาลัยพระพิฆเนศ สร้างขึ้นตามคัมภีร์มารสานศาสตร์วิทยาของอินเดีย เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้จำลองแบบเทวาลัยจากประเทศเนปาล ผสมผสานสถาปัตยกรรมพม่าและล้านนาบางส่วน
เทวาลัยพระพิฆเนศ
พระพิฆเนศ เป็นนามของเทพเจ้าสำคัญองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู เป็นโอรสของพระศิวะกับพระอุมา ที่มีลักษณะของร่างกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ มีกายเป็นมนุษย์ มีเศียรเป็นช้าง เป็นเทพเจ้าผู้บันดาลให้เกิดความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
บูชาพระพิฆเนศก่อนเดินเข้าไปด้านใน
ในอาคารบูชา จัดแสดง "เทวรูปพระพิฆเนศประทับพร้อมครอบครัว" ซึ่งแกะสลักด้วยไม้ทั้งหมดซึ่งหาดูได้ยากมาก
ภายใน เทวาลัยพระพิฆเนศ ได้จำลอง โลกอันเป็นที่ประทับของพระพิฆเนศ
นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมงานประติมากรรมรูปเคารพพระพิฆเนศจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า เขมร ลาว อินโดนีเซีย และไทย ที่หาดูได้ยากกว่า 1,000 ชิ้น
ล่าสุด ทางพิพิธภัณฑ์พิฆเนศได้สร้างอาคารจัดแสดงหลังใหม่ ชื่อ "กนักภาวัน" ปัจจุบันกำลังตกแต่งบริเวณด้านนอกอาคารอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ทันเวลาที่จะมีพิธีบวงสรวงอาคารใหม่หลังนี้ในวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2558 เวลา 09.35 น.
กนักภาวัน เป็นชื่อตำหนักของ พระนางเกาสุริยา พระราชมารดาของพระราม กนักแปลว่า ทองคำ ภาวันแปลว่าบ้าน
กนักภาวัน จึงหมายถึงบ้านทอง หลังจากสยุมพรแล้ว พระรามได้พาพระแม่สีดา มาเข้าเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักนี้ พระนางเกาสุริยา พระราชมารดาได้ทรงเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว และทรงพระราชทาน แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นของรับไหว้ให้แก่พระแม่สีดา
อาคารหลังนี้ได้นำแบบบางส่วนจากพระตำหนักมาจัดสร้าง
ภายในอาคารชั้นล่าง
ชั้นที่ 2 เป็นที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้ง
หุ่นขี้ผึ้ง
สระน้ำอยู่กลางโถงชั้นล่าง
หลังจากชมพิพิธภัณฑ์พิฆเนศเสร็จแล้ว เราก็ขับรถเข้าเมืองเชียงใหม่
อัลบั้มภาพ 33 ภาพ