[Tummeng Travel] ขึ้นเครื่องบินไป นั่งรถไฟ ในเวียดนาม ตามถ่ายรูปเด็กแนว

[Tummeng Travel] ขึ้นเครื่องบินไป นั่งรถไฟ ในเวียดนาม ตามถ่ายรูปเด็กแนว

[Tummeng Travel] ขึ้นเครื่องบินไป นั่งรถไฟ ในเวียดนาม ตามถ่ายรูปเด็กแนว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สวัสดีค่ะ ครั้งนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่พี่ tummeng_in  แห่งพันทิปดอทคอม ใจดี ยอมแบ่งปันให้พวกเราได้ดูการรีวิว ทริปการท่องเที่ยวในเวียดนาม ที่ถูกถ่ายทอดความสวยงามออกมาทางภาพถ่าย และการเขียนรีวิวที่เข้าใจง่ายๆ และดูเพลิดเพลิน ซึ่งแต่ละภาพต้องบอกว่าสวยงามมากจริงๆ เห็นแล้วนี่อยากจะเก็บกระเป๋าบินตามไปเลยทีเดียวค่ะ

สวัสดีครับ เพื่อนๆ  วันนี้ กระผม Tummeng Travel มีทริปดีๆ มาฝากทุกท่านอีกครั้งแล้วนะครับ การเดินทางครั้งนี้ ผมจะพาทุกท่าน ลองสัมผัสกับ การนั่งรถไฟตู้นอน ในเวียดนาม แบบข้ามคืน เป็นการเที่ยวเวียดนามจากเหนือจรดใต้นะครับ โดยทริปนี้ ผมบินไปลงฮานอย แล้วต่อรถไฟไปยัง เว้ ดานัง ก่อน จะขึ้นเครื่อง ไปลง โฮจิมินต์ แล้วกลับ กทม ครับ และทริปนี้ ผมได้เดินทางกับ บล๊อกเกอร์หลายคนเลยครับ ซึ่งทำให้เป็นทริปที่ผมถ่ายรูปคน แฟชั่นมาเยอะหน่อย เพราะเท่าที่ผมไปเวียดนามครั้งนี้ 

ผมมองว่าเวียดนามเป็นประเทศ ที่เหมาะกับการถ่ายแคนดิดหรือแฟชั่นแนวสตรีทๆ อยู่เหมือนกันนะครับ ดังนั้นรีวิวนี้ จะประกอบไปด้วยรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามเส้นทางที่ผมไป และจะมีแทรกรูปถ่ายแนวแฟชั่นแบบสตรีท  ตามสไตล์ผมเข้าไปด้วย ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมไม่ถนัดถ่ายคน เลยนะครับ นี่น่าจะเป็นกระทู้แรกๆ ที่มีคนเยอะที่สุดในรีวิว ยังไงก็ลองรับชม รีวิว เวียดนามในสไตล์ผมก็แล้วกันครับ 

########################################

SR = Airasiathailand สนับสนุนการเดินทางครั้งนี้ ทั้งหมดครับ 

########################################

ปล. หากรีวิวนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจของใครหลายๆคน ฝากทิ้งข้อความทักทายไว้ด้วยนะครับ  จะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นทำให้ท่านถูกใจได้ หากใคร จะกดถูกใจ กดโหวต ก็แล้วแต่ความสมัครใจของท่านครับ 

ปล. และหากใครอยากติดตามผลงานการเดินทางของผม  หรือพูดคุยสอบถามต่างๆ เพื่อความรวดเร็วเชิญไปที่ แฟนเพจผม  https://www.facebook.com/TummengMagazine

หากพูดถึงเวียดนาม ผมจะนึกถึง ชุดอ๋าวใหญ่ และ หมวกงอบ  เพราะ ประเทศเวียดนาม เป้นประเทศแรกๆ เลยที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนในกลุ่ม AEC ล่าสุดที่ผมเคยไป ตั้งแต่สมัยผมทำงาน ใน กทม  เกือบ 10 มาแล้ว ตอนนั้นไป ทำงาน กับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ แทบไม่ได้เที่ยวไหนเลย ไปสองครั้ง คือ ฮานอย กับอีกครั้ง คือ โฮจิมินต์ 

ดังนั้น ทริปเวียดนามในครั้งนี้ จึงเป็นทริปที่ผม ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเวียดนามในรอบ 10 ปี ว่าไปถึงไหนแล้ว แถมยังได้ไปเที่ยว เว้ ดานัง ฮอยอัน  เมืองที่ มาแรง ในช่วง 5-6 ปี หลัง มานี่ เอ้า.....ไปดูกันเลยครับ

ทริปนี้ผมได้รับเชิญ จาก แอร์เอเชียไทยแลนด์ ให้ไปร่วมทริป กับ บล๊อกเกอร์ อีก 5 คน เพื่อที่พาไปกันไป เที่ยวเวียดนาม แบบเหนือจรดใต้ ภายใน เวลา  6วัน 5 คืน แถมยัง บอกอีกด้วยว่าเป้นการนั่งรถไฟเที่ยว แบบกันเอง ผมเลย ตกลงร่วมทริป ในครั้งนี้ ครับ แอร์เอเชียบิน จาก ดอนเมือง ไป ฮานอย  ทุกวัน  วันละ 1 เที่ยวบิน โดยเป้นเที่ยว เช้าสุดเลยครับ ผมต้องแหกขี้ตาตื่นออกจากบ้านตั้งแต่ ตี 4  เพื่อจะไปแย่งชิงพื้นที่ กับกลุ่มทัวร์จีน ที่สนามบิน 555 

ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง สนามบิน นอยไบ ของฮานอย เป้นสนามบินค่อนข้างใหม่เลยครับและคนก็ไม่เยอะด้วย

รอกระเป๋าสักพักนึงก็มาแล้ว โดยทริปนี้กลุ่มเรา ทำประกันการเดินทางกันด้วยนะครับ เพราะที่เวียดนามขึ้นชื่อเรื่องของหายและอาหารที่ไม่ถูกปาก

เมื่อพร้อมแล้วก็ ออกเดินทางกันเลยครับ  

รายละเอียดการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ตามรายการด้านล่างเลย

Day1 :: กรุงเทพ>เมืองฮานอย>อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์>วิหารวรรณกรรม>เมืองฮาลอง

Day2 :: ล่องเรือชมฮาลองเบย์>ถ้ำเทียนกุง>ย่านการค้า 36>วัดหง็อกเซิน-ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยม>สถานีรถไฟเดินทางไปเมืองเว้

Day3 :: ถึงเมืองเว้>วัดเจดีย์เทียนมู่>สุสานจักรพรรดิไคดิงห์>ตลาดดองบา>พระราชวังหลวง>สะพานเจ็ดสี

Day4 :: พระราชวังหลวงเมืองเว้>เดินทางจากเมืองเว้ ไปเมืองดานัง>หาดหมี่เค>วัดหลินอึ๋ง>เที่ยวเมืองฮอยอันยามค่ำ

Day5 :: เมืองเก่าฮอยอัน>ช่วงบ่ายมากลับมาดานังขึ้นเครื่องบิน บินไปเมืองโฮจิมินห์

Day6 :: อุโมงค์กู๋จี>ตลาดเบนถัน>โบสถ์นอร์ธเธอร์ดาม>ไปรษณีย์>บินกลับไทย

หลังจาก แวะทานอาหารเที่ยงกันแล้ว  เราก็ไปเยี่ยมชม อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์  ซึ่งตั้งอยู่ที่ จัตุรัสบาดิ่ญ  (Quảng Trường Ba Đình) ซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญมากๆของชาวเวียดนาม เพราะร่างของลุงโฮ  หรือท่านโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้วสภาพของร่างยังสมบูรณ์มากเพราะอยู่ในห้องที่ได้รับการรักษาอุณหภูมิเป็นอย่างดี แถมยังมีทหารคอยอารักขาอีกมากมายรอบบริเวณ การจะเข้าเยี่ยมชมทำได้ด้วยความสงบ มีการตรวจกระเป๋า และต้องเดินผ่านเครื่องสแกนทุกคน  และห้ามถ่ายภาพทุกกรณี ด้วยนะครับ 

ต่อจากนั้นเราก็เดินไป ชมทำเนียบรัฐบาลและบ้านพักของอดีตท่านผู้นำโฮจิมินห์ในสมัยก่อนได้ อัตราค่าเข้าชมอยู่ที่ 25,000 ดอง หรือเป็นเงินไทยประมาณ 40 บาท  (สกุลเงิน 600 ดอง เท่ากับ 1 บาท) สำหรับคนเวียดนามเข้าชมฟรี

ออกจาก ที่แรก ก็มาเที่ยวต่อที่ต่อไครับ นั่นคือ “วัดเสาเดียว” ผู้คนต่างพากันต่อแถวยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปสักการะด้านบน  ผมขอบายครับ ไม่ชอบต้องต่อคิวยาวๆ  เลยเดินไปเก็บภาพข้างทางดีกว่า 

ตายแล้ว ลืมแนะนำครับ  ในทริปนี้เรามีไกค์สาวสวย เป็นคนคอยพาชมที่ต่างๆ ตลอดทริปนะครับ

หลังจากนั้นเดินทางต่อมาที่ “วิหารวรรณกรรม” ในภาษาเวียดนามเรียกว่า “วานเหมี่ยว” (Van mieu) 

วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึง “ขงจื๊อ” และที่นี่ยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนามอีกด้วย

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถตู้ ออกจากฮานอย วิ่งยาว ไปยัง อาลองเบย์ ระหว่างทาง ก็หลับๆตื่นๆ เพราะเพลียกับการตื่นเช้า  เลยมีโอกาสเก็บภาพข้างทางมาเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างหลังจากออกมาจากฮานอย ก็เป็นถนนสองเลนแบบชนบท บ้านเรานั่นแหละครับ  เป็นเมืองเล็กๆ สลับกับทุ่งนา 

มาถึงฮางลองเลย์  ก็ค่ำแล้ว ทานอาหาร แล้วก็ เข้าที่พัก เพื่อ จะตื่นแต่เช้าไป ยังท่าเรือเพื่อจะนั่งเรือชมวิว อ่าว ฮาลอง อันเลื่องชื่อ ของเวียดนาม ครับ ตอนเช้า เราออกจาก รร แต่เช้า เพื่อ จะได้ มาออกเรือ รอบเช้า ครับ 

ตอนมาถึง ก็ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก เพราะยังเช้าอยู่ ประมาณ 8 โมง เรือจอดรอที่ท่าเรือ เยอะมาก พร้อมกับบรรยากาศฟ้าขาว เหมือนฝนจะตกครับ ทริปนี้เลยเริ่มทำใจ ว่าสงสัยไม่ได้มาเวียดนาม แต่ ไปโผล่ อาเจนติน่าแทน 

เมื่อขึ้นเรือเสร็จแล้ว เรือ ก็พาเราออกไปแล่น อยู่กลางอ่าวฮาลองเบย์ ซึ่งมันต่างกับภาพที่ผมคิดไว้อย่างสิ้นเชิง  ถ้ามาในวันฟ้าใสๆแดดดีๆ คงสวยมากจริงๆสมคำร่ำลือ แต่นี่มันอะไรกัน 

เมื่อถ่ายวิวไม่สวย ผมเลย เริ่มหันไปถ่ายผู้ร่วมทริปครับ 555

ถ่ายรูปกันเพลินๆ เรือก็พามาแวะที่  “ถ้ำเทียนกุง” หรือในชื่อไทยแบบสวยๆเรียกว่า ถ้ำวิมารสวรรค์ค่ะ เป็นถ้ำขนาดใหญ่ บนเกาะในฮาลองเบย์ ต้องบอกว่าเป็น หนึ่งในจุดหมาย ที่ เรือทุกลำต้องแวะเลยปรากกว่า คนเยอะมากครับ ข้างใน มีหินงอกหินย้อย แต่ตบแต่งด้วย ไฟสีสัน สวยงามทีเดียว 

ออกจาก ถ้าเทียนกุง ก้ล่องเรือไป ชม เกาะแก่งต่าง ก่อนจะเริ่มวกกลับและเริ่มเสิร์ฟอาหาร เที่ยงบนเรือครับ นั่งทานอาหารไปด้วย ชมบรรยากาศ ไปด้วย ฟินสุดๆ และสุดท้าย เรือ ก็กลับมาเที่ยบท่าที่เดิม 

ใช้เวลาในการล่องเรือ รวมเข้าถ้ำเทียนกุงประมาณ 4  ชั่วโมง ซึ่งได้ชมเพียงแค่ส่วนหนึ่งของอ่าวฮาลองเท่านั้น ถ้าจะชมในทั่วจริงๆ อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆเลย ซึ่งก็จะมีทัวร์แบบค้างคืนให้บริการด้วย นั่นคือล่องเรือไปเลยๆ นอนค้างคืนบนเรือออกจากฮาลอง นั่งรถย้อนกลับมาฮานอยอีกครั้ง เพื่อจะต่อ รถไฟไปยัง เมืองเว้ จึงมีเวลา แวะเที่ยว อีกที่หนึ่ง คือ ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยม หรือ ทะเลสาบคืนดาบทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยมแห่งนี้ มีวัดหง็อกเซิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่ต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวฮานอย วัดหง็อกเซินจะอยู่บนเกาะกลางน้ำ การจะเดินทางไปนั้นต้องเดินข้ามสะพานแดง หรือที่เรียกในภาษาถิ่นว่าสะพานเทฮุก มีค่าเข้าวัดอยู่ที่คนละ 30,000 ดอง และวัดแห่งนี้ ก็จะมีผู้สูงอายุ มานั่งคุยพบปะกันและเล่นหมากรุก กัน ให้เห็น ทั่วไปในบริเวณวัด 

และอีกหนึ่งสัญลักษณ์ ที่ชัดเจนของที่นี่คือ สะพานสีแดง อันนี้ มองเผินๆ เหมือนสะพานญี่ปุ่น 

เมื่อผม เห็นสภาพอากาศ เลย ตกลงปลงใจว่าทริปนี้ เน้นถ่ายคนดีกว่า   จึงเริ่มเป็นที่มาของการตามถ่ายเด็กแนวสองคนในทริปนี้ครับ 55 

และฝั่งตรงข้ามทะเลสาปคืนดาบ จะเป็นย่านการค้า 36 สาย ที่นี่เป็นแหล่งช็อปปิ้งชั้นดีสำหรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ สิ่งที่น่าสนใจคือพวกเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม ของก๊อปราคาถูก

หลังจาดทานมื้อเย็นเสร็จ  เราก็ไปยังสถานีรถไฟ ในฮานอย เพื่อเดินทาง ไปยัง เว้ โดยระยะเวลาในการเดินทางคือ 13 ชั่วโมง งานนี้ เลยได้โอกาส นั่งรถไฟตู้นอน ของต่างประเทศอีกครั้ง หลังจาก ครั้งก่อนนั่งที่อินเดีย 

รถไฟเวียดนาม เรียกได้ว่า แทบจะตรงเวลาเลย ครับ เพราะพวกเราเกือบตกรถไฟเลยมีเวลาถ่ายรูปในสถานี น้อยไปหน่อย 

ตู้นอนของรถไฟเวียดนาม จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีเตียงสองด้าน ด้านละสองชั้นขนาดพอเหมาะ  ไม่อึดอัด 

ตรงกลางห้องเป็นที่วางของ  มีปลั๊กไฟให้ เตียงละรู ดังนั้นควรพก ปลั๊กพ่วงไปด้วย

ถ้าในห้อง มีแต่ กลุ่มเดียวกันเองก็คงสะดวกสบาย แต่ ถ้าเป็นคนไม่รู้จักกัน คงอึดอัดอยู่บ้าง นอนแป๊บๆ ตื่นมาเช้าแล้วครับ เพื่อนในกรุ๊ป เริ่มออกมาเก็บภาพกันแล้ว 

ถ้าถามผม ว่า รถไฟเวียดนามเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็คงตอบตามประสา คนเคยผ่านรถไฟอินเดีย มาว่าดีเกินกว่าที่คาดไว้เยอะครับ ทั้งเรื่องตรงเวลา ทั้งเรื่องความสะอาด  มีอาหาร มี เครื่องดื่มขาย สภาพตู้ไม่เก่ามาก ไม่อึดอัด

การเดินทาง ไปยังประเทศต่างๆ บนโลกนี้ หากจะให้เข้าถึง วัฒนธรรมประเทศนั้นจริงๆ ต้องลองใช้ บริการรถไฟของเขาครับ จะทำให้รู้ว่าคนในประเทศนั้นเขาเดินทางกันอย่างไร กินอยู่อย่างไร หลายครั้งที่เวลาผมออกเดินทาง และมักจะทำตัวกลมกลืนกับคนท้องถิ่นด้วยการนั่งรถไฟ

นั่งมา 10 กว่าชั่วโมง รู้สึกเมื่อย เลย ออกมายืดเส้นยืดสาย ระหว่าง รถไฟ จอดสถานีต่างๆ ครับ 

มาถ่าย แฟชั่น ชุดนอนบนรถไฟกันหน่อย 555

เมื่อครบ 13 ชั่วโมง รถไฟก้มาจอดที่ สถานี เว้ ซึ่งเป็นจุดหมาย ที่เราต้องการมาเที่ยว ในวันที่ 3 ของเวียดนาม ก็พากันลงจากรถไฟ แล้ว ไป เช็คอิน อาบน้ำอาบท่า กันที่ โรงแรม ก่อน เพราะบนไฟไม่มี ห้องอาบน้ำ

สำหรับเมืองเว้ เรามาเริ่มต้นเที่ยวกันที่นี่เลย ที่วัดเจดีย์เทียนมู่  วัดดังริมแม่น้ำหอม จุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ทรงเก๋งแปดเหลี่ยม สูงเจ็ดชั้นที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ด้านหน้าวัด

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของวัดเจดีย์เทียนมู่ ก็คือรถยนต์สีฟ้าคันนี้ ความสำคัญอยู่ที่เมื่อปี 2506 เจ้าอาวาสได้ขับรถยนต์คันนี้ไปยังใจกลางเมืองไซง่อน (หรือเมืองโฮจิมินห์ในปัจจุบัน) แล้วทำการเผาตัวเองประท้วงรัฐบาลที่บังคับให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์และทำร้ายพุทธศาสนา วัดแห่งนี้จึงมีความสำคัญมากสำหรับชาวเมืองเว้

เมื่อ สมาชิก อยู่ด้วยกันมา สามวันก้เริ่มคุ้นชินกันเลย เลย เป็นการง่าย ที่จะชักชวนกันมาถ่ายแบบ 55 สถานที่แห่งนี้ มีมุมให้เก็บภาพสวยๆ หลายมุม เลยครับ 

เดิน ไปถ่ายไป มีแดดออกมา สลับ กับฟ้าครึ้ม บ้าง 

หลังจากดูจนทั่ว ก็ออกมา รอที่หน้าวัด เพื่อรอรถตู้มารับครับ เพราะแถวนี้จอดรถยากมาก 

จากวัดเจดีย์เทียนมู่ ก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงกัน หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเว้ นั่นคือ สุสานจักรพรรดิไคดิงห์  สุสานแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยจักรพรรดิไคดิงห์เอง ด้านนอกยิ่งใหญ่อลังการด้วยปูนปั้น ด้านในตกแต่งไว้อย่างงดงามด้วยจิตรกรรมที่ใช้กระเบื้องสี สุสานแห่งนี้มีความสวยงามเป็นอย่างมาก 

ตกเย็น เราพากันไปเก็บแสงเย็น ที่พระราชวัง เมืองเว้  ซึ่งตามโปรแกรม เราจะมา ที่นี่เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมข้างในอีกครั้ง 

ก่อนกลับ รร เราแวะถ่าย สะพาน เจ็ดสี แห่งเมืองเว้ เพราะ สะพานแห่งนี้ ตอนกลางคืนจะเปิดไฟ ครบเจ็ดสี เพื่อ ความสวยงาม ยามค่ำคืน 

เช้าวันถัดมาเรา ไปยังพระราชวังเมืองเว้อีกครั้ง พระราชวังแห่งนี้มีต้นแบบเป็นพระราชวังกู้กงจากประเทศจีน  ภายใน กว้างมาก เดินอยู่ครึ่งวัน ยังไม่หมด 

บรรยากาศโดยรอบ กำลังมีการปรับภุมิทัศน์ อยู่หลายจุด หากใครเดินไม่ไหว ก็มีรถม้า ไว้ คอยบริการ เที่ยวชมวัง นะครับ 

สำหรับวัยรุ่นอย่างเรา ต้องเดินเท่านั้นครับ เพื่อเก็บภาพสะดวก 555

เจอมุมสวยๆ แสงสวยๆ ก็หยุดถ่าย เพราะมีเวลาเหลือเฟือ

ที่พระราชวังเมือง เว้  นี่จะเห็นสาวๆ เวียดนาม ใส่สุด อ๋าวใหญ่  มาเดินกัน เยอะทีเดียวครับ ตามที่เข้าไปสอบถามดุ ส่วนใหญ่ จะเป็น นักศึกษา มาทัศนศึกษา 

เสร็จจาก พระราชวังเมืองเว้  เรารับประทานอาหาร แล้วก็ออกเดินทาง นั่งรถตู้ ข้ามเมืองอีกครั้ง โดยเราจะเดินทางไปยัง เมือง ดานัง โดยใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง 

ระหว่างทางจะต้องผ่านอุโมงค์ลอดภูเขาที่ชื่อว่า ฮายวัน (Hai Van) ซึ่งมีความยาวถึง 7 กิโลเมตรเลยทีเดียว ขับรถภายในอุโมงค์ห้ามขับช้ากว่า 40 กม. และห้ามขับรถเกิน 70 กม.  ห้ามขับเร็วเพราะป้องกันอุบัติเหตุ และห้ามขับช้าเพราะป้องกันการก่อการร้ายภายในอุโมงค์  อุโมงค์ฮายวันสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางของเมืองเว้และเมืองดานัง จากเดิมที่ต้องขับรถข้ามเขาอ้อมไปอ้อมมา ก็ลอดอุโมงค์ตรงๆได้แล้วประหยัดเวลาไปเยอะมาก ดานังเป็นเมืองริมฝั่งทะเล ในสมัยก่อนเป็นสนามรบกับสหรัฐหลังสงครามจบลงเมืองงี้ราบเป็นหน้ากลอง แถมยังเคยเจอ พายุทุเรียน พัดถล่ม พังราบ ที่ดินโดนทิ้งร้างว่างเปล่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ใครจะมาจับจองก็มาได้เป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนสนใจ แต่ในปัจจุบันเมืองดานังเป็นเมืองที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด ราคาที่ดินตอนนี้แทบจะจับต้องไม่ได้แล้ว แพงมาก ที่ดินริมหาดสวยๆกลายเป็นโรงแรมและรีสอร์ทห้าดาวไปหมดแล้ว

หาดที่เห็นชื่อว่าหาดหมี่เค ตัวหาดยาวมาก สวยสะอาดน่าเล่นน้ำมาก แต่ส่วนที่สวยๆนั้นไม่ได้ถ่ายมา มาถ่ายส่วนที่น่าสนใจมากกว่าคือส่วนปลายหาดด้านซ้าย

มองไปจะเห็นอะไรกลมๆลอยอยู่เต็มทะเลไปหมด ลงมาดูใกล้ๆก็ได้พบกับกระด้งใหญ่ๆ นี่คือเรือหาปลาของชาวประมงที่นี่ค่ะ เป็นเรือกระด้งที่ทำจากไม้ไผ่สาน เรียกว่า “เทวี่ยนทู๊ง”  ใช้หาปลาที่ใกล้กับโขดหินซึ่งเรือใหญ่เข้าไปไม่ได้ พบเห็นได้แค่ที่เวียดนามเท่านั้นค่ะ แปลกแต่เจ๋งดี เห็นแล้วอยากลองนั่งเลย

ที่หาดนี้ คงเป็นแหล่ง ที่ชาวเวียดนาม จะมา พักผ่อน กันตอนเย็นๆ ทุกเพศทุกวัย 

เผลอแป๊บเดียว น้องสาวเราไป สมาคม กับ เด็กๆ เวียดนาม ซะแล้ว 

แวะมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม ที่วัดหลินอึ๋งแห่งแหลมเซินจ่า เพื่อชมพระอาทิตย์ตกและเก็บแสงเย็นที่นี่ 

ดานังเป็นอีกเมือง ที่ เหมาะสำหรับคนชอบถ่าย เมือง นะครับ เพราะ มีทั้ง สะพานสวยๆ และตึกอาคาร ที่ สวยๆ มากมาย 

มื้อค่ำวันนี้ เราไปเดินหาอาหาร Local กิน ที่ เมือง ฮอยอัน เพราะ อยู่ห่างไปจาก ดานังแค่ 20 กิโล เท่านั้น 

ทานเสร็จ ก็เดิน เที่ยว ตลาดฮอยอัน ตอนกลางคืน ซึ่งจะคล้ายๆ ถนนคนเดินบ้านเรา แต่ ฝรั่งจะเยอะกว่าเท่านั้นเอง

เช้าวันถัดมาผม ออกไปเก็บภาพ แสงยามเช้า ที่หาด 

ก็จะมี เรือประมง ที่ออกไปหาปลา นำเอา ปลาหมึก กุ้ง ปุ มา ขายยังแม่ค้า ที่มารอซื้อ ที่ชายหาด

บรรยากาศคล้ายๆ แข่งกันประมุล 

บางคนก็มารอ สามี ที่ ออกเรือไป เพื่อ รับกลับบ้าน

ช่วงสายๆ ของวัน เราไปเตรียมตัวไปเดิน ย่านเมืองเก่า ฮอยอัน 

เดินชมเมืองในตอนกลางวันกันบ้าง การจะเข้าไปเดินในย่านเมืองเก่านั้นต้องซื้อบัตรผ่านประตูก่อน ราคาอยู่ที่ 10$

แวะที่แรกศาลเจ้าแม่ทับทิม แวะมาไหว้พระขอพรกันก่อน หากใครสนใจจะร่วมทำบุญจุดธูปขดแบบเดือน  ขดละ 800 บาท เค้าจะเขียนชื่อเราที่ธูปและจุดให้ทันที โดยที่ธูปนี้จะติดไฟและค่อยๆสั้นลงๆอยู่ได้หนึ่งเดือนพอดี

หลังจากนั้นก้มาเดิน ช๊อปปิ้ง สินค้า แบรนดืเนม ก๊อปปี้ กัน ครับ โดยนัดกันที่สะพานญี่ปุ่น เพื่อ รวมตัว 

ใคร คาดหวังจะมาซื้อ ของ ก๊อบ ที่เวียดนาม ให้ ซื้อที่นี่ นะครับ  ราคา น่าจะดีที่สุด 

เดิมเมืองฮอยอันเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมากๆของอาณาจักรจามปาเมื่อครั้งอดีต มีหลากหลายประเทศเดินทางมาทำการค้าที่นี่ จากจุดนี้ทำให้เมืองฮอยอันแห่งนี้รับเอาศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆจากผู้มาเยือนไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือชาติอื่นๆ และหลอมรวมกันจนเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ 

และแน่นอน เป็นเมืองที่มีมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกแล้ว ด้วยสีสันที่สดใสของตัวอาคาร  ประกอบกับอาคารแบบโบราณสวยงาม จริงๆ 

ใครที่ชอบถ่าย แคนดิด หรือ สตีท คงชอบเมืองนี้ ครับ 

ออกจากฮอยอัน เราก็ ตรงไปยัง สนามบิน ดานัง เพื่อบินไป ยังโฮจิมินต์ แต่ปรากกว่าเวียดนามแอร์ไลน์ ทำเราอดที่จะไปเดินชมเมืองไซง่อนยามเย็น เพราะ ไฟล์ตดีเลยื จาก 4 โมง เป็น 1 ทุ่ม 

เมื่อไปถึง โฮจิมินต์ เข้าที่พัก ทานอาหาร แล้ว ก็ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่าดงรถติดไปยัง อุโมงค์กู๋จี อีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ของเวียดนาม

ซึ่งที่นี่เปรียบเสมือน เมืองใต้ภิภพ เพราะ ใต้พื้นดิน ถูกขุดเจาะเป็นห้องต่างๆ เพื่อใช้ทำสงครามกับอเมริกาในสมัย สงครามเวียดนาม 

ช่วงบ่ายเราแวะไปยัง ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ สีเหลืองเด่นเป็นสง่า สวยสะดุดตามาก ทุกวันนี้ก็ยังเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งส่งจดหมาย จำหน่ายสแตมป์ที่ระลึก และให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามด้านใน

และที่ใกล้ๆกัน ฝั่งตรงข้าม ก็คือ โบสถ์นอร์ทเธอร์ดามแห่งนี้ รับเอาสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส และยังเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม และเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานพิธีคริสต์ยอดนิยมของชาวเวียดนามด้วย

และสุดท้าย พวกเราก็ เดินทางกลับ จาก โฮจิมินต์ ด้วยไทยแอร์เอเชีย ไฟล์ตเย็น  เพราะปกติ  ดอนเมือง - โฮจิมินต์ จะมี 3 เที่ยวต่อวัน สามารถเลือกเวลาที่สะดวกได้เลย 

สรุป ทริป เวียดนาม เหนือจรดใต้ถือว่าเป็นทริป ที่ สนุกสนานและหลากหลาย ได้ไปยังสถานที่ต่างๆ ของเวียดนาม ได้นั่งรถไฟของเวียดนามเดินทางเหนือ - กลาง - ใต้ ก็สะดวกดี หากใคร คิดจะมา เวียดนาม ก็ ลองหาข้อมุล เพิ่มเติม จาก ทริป ของผม ได้ ครับ 

สุดท้ายนี้ขอบคุณ ไทยแอร์เอเชีย ที่ ชวนผมไปร่วมทริปสนุกๆ นี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนและขอบคุณ ทุกท่าน ที่ เข้า เยี่ยมชม รีวิว นี้ครับ 

ขอบคุณข้อมูล จาก tummeng_in ,Tummeng Travel

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook