ทริป Backpack แบกเป้ลุย เสียมเรียบ นครวัด นครธม ปราสาทตาพรหม
ไปเที่ยวแบบ Backpack ที่ต่างประเทศอย่างประเทศกัมพูชากัน มีสถานที่น่าสนใจมากมายหลายแห่ง หากใครสนใจขอเชิญไปลุยพร้อมๆ กันเลยค่ะ....
See Angkor Wat and Die
ประโยคคลาสสิคของลุง Arnold J.Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่คนอ่อนภาษาอังกฤษและไม่ค่อยคุ้นกับสำนวนอย่างผมเห็นแว้บแรกแล้วประมวลผลแบบซับนรกก็ยอมรับว่าขมวดคิ้วนิดหน่อย ไปแล้วจะตายมั้ย? แว่บแรกที่เห็นปราสาทนี่ร่วงลงไปชักแหง่กๆเลยรึเปล่า แต่ถ้าคิดช้าๆกันอีกที ความหมายมันน่าจะประมาณว่า “You must see Angkor Wat before you die.” หรือประมาณว่า ไปนครวัดให้ได้ก่อนตายนะ เดาว่าลุงอาโนล์แกคงประทับใจที่นี่มากๆตามประสานักประวัติศาสตร์ที่คลั่งไคล้อารยธรรมโบราณ นี่คงอารมณ์คล้ายๆกับโปรแกรมเมอร์ยุคใหม่ได้รีโมทเข้าไปใช้เครื่อง Eniac ล่ะมั้ง (รีโมทยังไงล่ะน่ะ?)
นครวัดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด(อ่านข้อมูลต่อที่นี่) นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดทริปนี้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 7-8 ชม. เท่านั้น(จาก กทม.) วิธีเดินทางที่หลากหลาย ทั้งรถทัวร์ รถบ่อน และแท็กซี่ และที่สำคัญทริปนี้ใช้เวลาไม่มาก ใช้เวลาอย่างต่ำ 3 วันรวมเวลาเดินทางและเงินติดตัวไม่เกิน 5,000 บาท คุณก็สามารถเที่ยวชมจุดสำคัญหลักๆของนครวัดได้แล้ว และเมื่อลองค้นหาดูข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางใน google ก็เจอรีวิวการเดินทางแบบละเอียด ทำให้ง่ายมากในการหาข้อมูล ทริปนี้เลยไม่ต้องคิดอะไรมาก มีเวลาว่าง ออกเดินทางได้เลย
แพลน
แพลนของทริปนี้คือ ขับรถไปนอนแถวด่านอรัญฯ หนึ่งคืน และออกเดินทางข้ามไปฝั่งกัมพูชาในตอนเช้า จากนั้นหาคนหาร taxi ไปเมืองเสียมเรียบ และก็ไม่มีแพลนแล้ว ไว้คิดตอนถึงแล้วละกัน อยากได้อารมณ์แบกเป้เที่ยวเหมือนสมัยอยู่มหาลัย(คนครบออกเลย ยังกะรถตู้เสาวรีย์) ช่วงนั้นสนุกกับการเที่ยวกับเพื่อนๆมาก เรียกได้ว่าไปไหนไปกัน ตัดสินใจกันรวดเร็วตามประสาวัยรุ่น ตอนนี้สงสัยแก่แล้วเลยมีแว่บเข้ามาตลอดว่าจะนอนไหน จะเดินทางยังไง จะกินอะไร เฮ้อ!
เตรียมอะไรไปบ้าง
เงิน ค่าเงินของประเทศกัมพูชาคือสกุล เรียล (KHR) อัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 118 เรียล ต่อ 1 บาท แต่ในกัมพูชาเราสามารถใช้ได้ทั้ง USD และไทยบาท ใช้จ่ายได้ทั้งหมด ทริปนี้เราแลกกันไปคนละ 100USD และติดตัวไปอีก 1000 บาทไทย ขาดเหลือยังไงกะจะใช้บัตรเครดิตรูดจ่าย แต่ไปถึงแล้วปรากฏว่า ร้านอาหาร หรือโรงแรมที่รับบัตรยังน้อยอยู่มาก ถ้าจะใช้ควรถามก่อนทุกครั้งว่ารับบัตรมั๊ย
ที่พัก ทริปนี้เราไม่ได้จองที่พักในเสียมเรียบไปล่วงหน้า เพราะอยากลองไปเดินดูก่อน ชอบใจที่ไหนค่อยเข้าไป (แบ็คแพ็คเกอร์มั๊ยเล่า) แต่กดจองที่พักคืนแรกที่ด่านอรัญ(@ Border Hotel)ไว้นอนพักก่อนจะข้ามด่านในตอนเช้า
เสื้อผ้า เนื่องจากหลายๆรีวิวบอกไว้ว่า การเที่ยวนครวัดในเดือนที่เราจะไปนั้นอากาศจะร้อนมาก ร้อนมากๆ ถึงขนาดที่ว่าไปกับแฟนอาจจะเลิกกันได้เลย(อะไรจะขนาดนั้น) สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ครีมกันแดด สาวๆนี่ควรโบกไปเลย แดดมันแรงมากจริงๆ หรือหาปลอกแขนปั่นจักรยานใส่ไปเลยจะดีมาก ส่วนเรื่องชุด ควรเป็นเสื้อกางเกงใส่สบาย ไม่ควรยีนส์ ไม่ต้องกลัวว่าขาสั้นจะเข้าโบราณสถานไม่ได้นะครับ เข้าได้หมด(เก็บเราตั้งวันละ 20USD ไปแล้วนี่) รองเท้า ควรเป็นรองเท้าที่เราใส่มานานแล้ว คุ้นเท้า ไม่กัดแน่ๆ เพราะถ้ารองเข้ากัดระหว่างทริปล่ะก็ นรกมาก แดดก็ร้อน รองเท้าก็กัด ไม่สนุกแน่ๆ
กล้อง สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเดินทาง คือกล้องสำหรับบันทึกภาพสวยๆที่เราไปเจอมา(และเอามาอวดชาวบ้าน ฮ่าๆๆ) โดยปรกติช่วงนี้ผมจะพกแค่กล้องฟิล์ม Olympus PEN F ตัวเดียวออกเที่ยว แต่ทริปนี้ได้เจ้า Xiaomi Yi Action Camera ติดตัวมาทำรีวิวเรื่องภาพและการใช้งาน และอีกตัวคือกล้อง Canon 700D สรุปทริปนี้เราพกกันไปทั้งสิ้น 3 ตัว ฟิล์ม ดิจิตอล และ Action Cam
ออกเดินทาง
หลังจากที่ขับรถออกจากกทม.ในคืนวันพฤหัส และนอนเอาแรงที่โรงแรมแถวๆด่านอรัญประเทศ ตื่นเช้ามาเราก็เก็บของเตรียมเดินทางข้ามประเทศไปยังฝั่งกัมพูชา จัดการซื้อของใช้ส่วนตัวและทานข้าวที่ตลาดโรงเกลือเรียบร้อยแล้วเราก็ตรงไปยัง ตม.ขาออกของด่านอรัญประเทศกันเลย
บรรยากาศ ในออฟฟิต ตม. ขาเข้า ปอยเปต ประเทศกัมพูชา
และเมื่อจัดการเรื่อง ผ่านแดนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเดินออกจากห้องตม. และเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอวงเวียนครับ วงเวียนนี้แหล่ะที่รีวิวเวอร์ทั้งหลายบอกว่าให้เรามาหา Taxi และนักเดินทางที่จะหารไปด้วยกันและต่อรองราคาที่นี่ จุดนี้มีสามข้อที่แนะนำคือ หาเพื่อนนักเดินทางรวมกลุ่มกันให้ได้ 4 คน เพราะรถจะนั่งได้ 4 คน พอดี(camry ปี 2003 ลงไปทั้งนั้น),ราคาต่อคันอย่าให้เกิน 30USD พยายามต่อไว้ ไม่ได้ก็เดินไปหาคันอื่นเลย และ ห้ามขึ้นรถ shuttle bus ไปที่ขนส่งปอยเปตเด็ดขาด เพราะต่อไปอีกไกลและรอบรถจากขนส่งไปเสียมเรียบมีรอบบ่ายสามเพียงรอบเดียว นั่นก็หมายความว่าทุกคนที่นั่งรถ shuttle bus ไปขนส่งจะต้องขึ้น Taxi ราคาแพงจากที่นั่นน่ะเอง (ราคาประมาณ 45-50USD ต่อคัน)
และแล้วเราก็ได้เพื่อนร่วมหารค่า Taxi ครบสี่คน พี่ๆสองคนนี้เป็น Backpacker จากไทยเหมือนกัน ใจดีและน่ารักมากๆ ใช้สกิลเทพช่วยเราต่อค่า Taxi จาก 1,400 บาท เป็น 1,200 บาท ได้อย่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยม ภายในรถมีผู้โดยสาร 4 คน นั่งกันสบายๆ ไม่เบียดไม่อึดอัด แอร์เย็นสบายต่างจากอากาศภายนอกมากๆ(ข้างนอก40c+ แน่ๆ) และหลังจากที่ซื้อน้ำซื้อเสบียงกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางทันที คนขับบอกว่าใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะถึงเสียมเรียบ
เราออกเดินทางจากปอยเปตกันตอน 11 โมง เวลาที่คาดว่าน่าจะถึงเสียมเรียบคือประมาณเที่ยงๆ แผนที่เส้นทางก็ ตามนี้เลย เรื่องสภาพถนนถือว่าดีมากๆ มีแค่ช่วงที่ทำทางสัก 10km จะเป็นดินแดงๆ ฝุ่นคลุ้งมาก ระหว่างทางสังเกตว่าจะมีพี่ๆนักปั่นสาย touring เข้ามาปั่นเส้นทางนี้หลายแก้งค์เลย เห็นแล้วอยากจะเอาหมอบที่บ้านมาปั่นไกลๆแบบนี้มั่ง (เห็นแดดร้อนๆแล้วของมันขึ้น) สภาพถนนนั้นถือว่าดีเลยทีเดียวเอาเสือหมอบมาวิ่งได้สบาย
คนขับและบรรยากาศข้างทาง ระหว่างทางไปเสียมเรียบ
และแล้วสิ่งที่ Backpacker ทุกคนไม่อยากเจอก็มาถึง เมื่อคนขับ Taxi ไม่ได้พาเราไปส่งยังกลางเมืองเสียมเรียบแบบที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก แต่พาเราเลี้ยวเข้าไปยังบ้านหรือออฟฟิตเอเจนซี่อะไรสักอย่าง บอกให้เราลงจากรถเพื่อไปขึ้นรถที่เค้าจัดไว้ให้เพื่อเข้าเมือง เราก็เออออตามเค้าไป โดยแยกกันกับกลุ่มพี่ๆ เพราะพี่เค้าจองโรงแรมไว้แล้ว คันของเราเมื่อขึ้นมา คนขับก็ถามว่ามีที่พักหรือยัง อยากได้ราคาไหน ผมก็บอกไปตามที่คิดไว้ สรุป ขับพาเราไปที่โรงแรมที่เค้าเลือกเลย ไม่ได้ให้เราเลือกโรงแรมเอง! และยังมาขาย package oneday tour ของตอนเย็นกับวันพรุ่งนี้อีก โอ้! ตอนแรกเราไม่โอเคกับการยัดเยียดแบบนี้ อยากจะออกไปหาโรงแรมเอง แต่ด้วยความเหนื่อยล้า และด้วยความที่โรงแรมก็ดูโอเคทั้งเรื่องราคาและเดินไม่ไกลจาก ย่าน pub street เท่าไหร่ ส่วน oneday tour ก็ราคาประมาณนี้แหล่ะ(จากที่หาข้อมูลมา)
เลยตกลงไปที่ราคา โรงแรม 2 คืน 40 USD + ตุ๊กๆTour เย็นกับอีกหนึ่งวัน 40 USD สิริรวม 80 USD ซึ่งตกคนละ 40 USD (1,200บาท) ซึ่งเราก็รับได้เพราะจากนี้ก็เสียแค่ค่าบัตรเข้า นครวัด อีก 20 USD ก็เหลือแค่ค่ากินแล้วคราวนี้ อีกไม่น่าเกิน 20 USD ค่า Taxi กลับอีก 15 USD ซึ่งคำนวนแล้วเราก็จะสามารถจบทริปนี้แบบไม่เกิน 100 USD ได้แบบเฉียดๆเลย รายละเอียดทริปที่เราเพิ่งซื้อมาก็จะเป็น พาไปซื้อตั๋วเข้าชมนครวัด -> ดูพระอาทิตย์ตกที่พนมบาเค็ง -> มาส่งที่พักหรือ pubstreet -> เช้ารับไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด -> ไปปราสาทบายนและรอบๆภายในนครธม -> ปราสาทตาแก้ว -> ปราสาทตาพรหม -> (ลืมครับ) -> ส่งที่พักหรือตัวเมืองเสียมเรียบ ซึ่งก็เรียกว่าเป็น route เล็กของเส้นทางชมนครวัดมาตรฐาน ที่กินเวลา 1 วันพอดิบพอดี น่าจะเรียกได้ว่าเดินตากแดดกันพอขาตึงๆ ไม่โอดโอยทรมานกันมากมายเท่าไหร่
วันแรกที่เสียมเรียบ
หลังจากที่เราได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว ตามทริปที่ซื้อไว้คือ จะมีตุ๊กๆมารับเราตอนสี่โมงครึ่งและพาไปซื้อตั๋วเข้าชมนครวัด-นครธม จากนั้นจะพาเราไป พนมบาเค็ง เพื่อชมพระอาทิตย์ตก และพาเรากลับมาส่งที่โรงแรม ถือว่าจบทริปในส่วนของวันนี้ เราใช้เวลาสองชั่วโมงระหว่างรอตุ๊กๆมารับ สำรวจรอบๆที่พักและหามื้อเที่ยงใส่ท้องกัน เดินจากที่พักมาเรื่อยๆ ก็เข้าสู่โซน old market แหล่งรวมโรงแรม,ผับ และร้านอาหาร บริเวณโซนนี้ในเวลากลางคืนจะกลายเป็นคล้ายๆถนนคนเดินบ้านเรา(แต่ยังมีรถวิ่งอยู่) นักท่องเที่ยวจะมาเดินซื้อของฝากที่ nightmarket หรือหาอะไรดื่มใน pubstreet ในโซนนี้กันครับ
หลังจากเดินสำรวจฝ่าแดดร้อนๆแบบแสบผิวบนถนน Hospital St. ลงใต้มาเรื่อยๆ ไล่เปิดดูร้านอาหารที่เจอระหว่างทางเป็นการเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ จนมาถึง viva hotel ก็เจอกับกลุ่มพี่ๆที่หาร Taxi มาด้วยกัน เลยนั่งหาอะไรกินซะที่นี่เลย ชั้นล่างของโรงแรมจะเป็นร้านอาหาร Mexican ครับ และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมานั่งร้านอาหาร Mexican นั่นก็คือ ทาโก้(Taco) เจ้าเมนูนี้จะเป็นแป้งแข็งๆ(ซึ่งแข็งมาก ระวังเหงือกไว้) ราดด้วยไส้ที่มีเนื้อสัตว์,มะเขือเทศ,กะหล่ำ และชีส รสชาดจะไปทางเปรี้ยวๆ มีกลิ่นของแป้งชัดมาก ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้กัดเข้าไปแล้วอยากจะดวลปืนกันหน้าร้านแบบคาวบอยในหนังเลยครับ
ส่วนเมนูอื่นๆก็มีนะครับ เบสิกๆก็เช่นพวกหมูทอด ไก่ทอด ไข่เจียว หรือจะเป็น khmer cuisine แท้ๆก็จะมีคล้ายๆห่อหมก(จำชื่อไม่ได้)และผัดเปรี้ยวหวานใส่เนื้อ ก็คล้ายๆไทยเรา แต่จะไม่อร่อยเท่า(หรือไม่ถูกปากเท่ากับบ้านเรานั่นเอง) ราคาก็จะอยู่ที่จานละ 4-6 USD ครับ และเมื่ออิ่มกับมื้อเที่ยง(กินกันบ่ายสอง)เสร็จเรียบร้อย เราก็เดินกลับโรงแรมที่พัก เมื่อมาถึงเราก็เจอกับ คนขับตุ๊กๆของเรามาคอยเราที่ล๊อบบี้โรงแรมอยู่ก่อนแล้ว ทำการแนะนำตัวเรียบร้อย เค้าชื่อ “วิสกี้” เป็นชาวกัมพูชาอายุราว 25ปี พูดไทยได้นิดหน่อย พูดอังกฤษเก่งกว่าผม(แต่ออกเสียง “แท็กซี่” ว่า “ตรั๊กซี” เล่นเอาเหนื่อย) เมื่อเราพร้อมกันแล้ว วิสกี้ก็พาเราเดินทางไปจุดหมายแรก คือ ticket office เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมของวันพรุ่งนี้
ตุ๊กตุ๊ก ของที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเราแม้แต่นิดเดียวครับ ของที่นี่ D.I.Y. กว่าเราเยอะ(ของเราที่มีระบบยกถังแก๊สเปลี่ยนได้แบบ manual ผมก็ว่าโหดแล้วนะ) คือของที่นี่จะมีลักษณะเป็นรถลาก(เก๋ง,ส่วนที่นั่ง หรืออะไรประมาณนี้) ที่ต่อเข้ากับมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันเลย ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อน built-in เหมือนตุ๊กตุ๊กบ้านเรา ส่วนที่เรานั่งมีสองล้อ นั่งได้มากสุด 4 คน แต่ส่วนมากที่เห็นจะนั่งสองคน(สี่คนน่าจะหนักเครื่องมอไซค์น่าดู) นักท่องเที่ยวส่วนมากจะใช้บริการเจ้าตุ๊กตุ๊กนี่แหล่ะในการชมปราสาท ทั้ง route ใหญ่ และ route เล็ก แต่ถ้าอยากได้ความสบายแบบมีแอร์เย็นๆรอรับหลังจากชมปราสาทก็ต้องเหมา Taxi เป็นวันไปเลย ตกวันละ ประมาณ 40USD(ถ้ามาสี่คนควร Taxi มากๆ)
นั่งออกจากตัวเมืองเสียมเรียบมาทางเหนือเรื่อยๆ ประมาณสิบนาที เราก็มาถึง ticket office ที่สำหรับขายตั๋วเข้าชมนครวัดและปราสาททั้งหมด ตัวที่ทำการจะเป็นช่องขายทั้งสองฝั่งแต่จะแยกเป็นประเภท วันเดียว หรือหลายวันแล้วแต่ ฉะนั้นควรอ่านป้ายก่อนต่อแถวนะครับ
1 วัน ราคา 20USD
3 วัน ราคา 40USD
7 วัน ราคา 60USD
โดยที่ตั๋วสำหรับวันพรุ่งนี้จะเปิดขาย 5 โมงเย็นของวันนี้ หมายความว่าเราและนักท่องเที่ยวทั้งเมืองจะต้องมารอซื้อตั๋วกันก่อนแล้วค่อยไปดูพระอาทิตย์ตกที่ พนมบาเค็ง โดยที่การเข้าชมหลัง 5 โมงเย็นจะไม่ต้องใช้ตั๋ว วันแรกเลยไม่ต้องซื้อครับ เข้าชมพระอาทิตย์ตกได้เลย
การซื้อตั๋วจะต้องมีการถ่ายรูปด้วยนะครับ เสื้อผ้าหน้าผมพร้อมไปเลย การออกตั๋วจะใช้เวลาประมาณ 1 นาทีเท่านั้น รวดเร็วและบริการดีมากๆ ส่วนเรื่องการตรวจตั๋ว จะมีจนท.คอยเรียกดูตั๋วเราทุกๆทางเข้าปราสาทเลยครับ
เย็นวันที่เราไปซื้อตั๋วนั้น คนเยอะมาก คงเพราะเป็นวันหยุดและทัวร์จีนมาเจอกันหลายคณะ ผมเลยคุยกับวิสกี้ว่า แบบนี้คงจะต่อคิวขึ้นเขาพนมบาเค็งกันยาวและไม่ได้ดูพระอาทิตย์แน่ๆ(เก็บข้อมูลจากหลายๆรีวิวมา) วิสกี้ก็บอกว่างั้นเราไปดูที่นครวัดดีกว่า คนน่าจะน้อยว่าเยอะ เราก็ตกลงทันทีเพราะอยากเลี่ยงคนเยอะ และก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเก็บพระอาทิตย์ขึ้น-ตก(มันขึ้นลงของมันทุกวันอยู่แล้ว) หรือต้องไปให้ครบทุกปราสาท อยากไปเที่ยวชิลล์ๆ เท่าที่สะดวกมากกว่า
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เราก็มายืนอยู่ที่โคบุระกลาง หรือพลับพลาเข้าหลักด้านทิศตะวันตก จุดนี้จะมีสะพานนาคราช ที่ทอดยาวเหนือบาราย(สระน้ำ)มุ่งหน้าสู่นครวัด หลังจากวิสกี้นัดแนะจุดนัดพบและเวลากลับคร่าวๆกับเราเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าเดินเข้าสู่ปราสาทนครวัด หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกของจริง ที่ไม่ใช่อันที่แสดงอยู่ที่ดรีมเวิลด์ เรากำลังยืนประจันหน้า “นครวัด” ของจริงครับ!!!
ช่วงเย็นนี้ นักท่องเที่ยวถือว่าน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่จะไปต่อคิวขึ้นพนมบาเค็งกันตามแพลนที่ทัวร์จะพาไป ส่วนน้อยจะมาที่นี่ คงเพราะนครวัดหันหน้าไปทางตะวันตก ทำให้ไม่มีวิวพระอาทิตย์ตกเป็นฉากหลัง นครวัดจะเป็นที่สำหรับดูพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า
หลังจากที่ผ่านชั้นกำแพงชั้นแรกเข้ามาแล้ว เราก็เดินมุ่งสู่ตัวปราสาทโดยใช้ทางเดินกลาง ระหว่างทางก็จะมีชาวบ้านเดินขายของที่ระลึก เช่นผ้าพันคอ โปสการ์ด แต่ที่ต้องลองก็นี่เลย น้ำตาลสดจากต้น แก้วละ 20 บาทไทย หรือ 1USD(จ่ายเงินไทยดีกว่า ฮ่าๆ) รสชาดเหมือนน้ำตาลสดบ้านเราแต่เข้มข้นกว่า และมีกลิ่นไหม้ๆช่วงปลาย คาดว่าน่าจะมาจากการเผากระบอกไม้ไผ่ที่ใช้เก็บ
และเราก็เดินลงจากทางเดินหลักเพื่อไปยังสระน้ำด้านทิศใต้ อยากได้รูปปราสาทสะท้อนน้ำ มุมสะท้อนน้ำนี้จะมีสองจุด เพราะสระน้ำจะมีสองฝั่ง ทิศเหนือและทิศใต้ จุดที่ช่างภาพหรือไกด์ทุกคนแนะนำจะเป็นสระด้านทิศเหนือ ทุกเช้าจะมีฝูงชนมายืนจองที่จองมุมสวยๆสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน
เราถ่ายรูปเล่นอยู่ที่จุดนี้เกือบยี่สิบนาทีไม่รีบร้อนอะไรเพราะคิดว่า ยังไงพรุ่งนี้เราก็จะมาชมนครวัดแบบเต็มๆกันอยู่แล้ว เมื่อแสงเริ่มหมด เราก็เดินอ้อมสระ เข้าไปยังด้านหน้าของโคปุระกลาง จุดนี้จะกำแพงที่ล้อมรอบปรางค์ประธานอีกหนึ่งชั้น(สามชั้นแล้วนะเนี่ยถ้ารวมสระน้ำด้วย) แต่ก็ยังไม่ได้ข้ามผ่านกำแพงไป แค่เข้าไปถ่ายรูปภายในกำแพงเฉยๆ เพราะมืดแล้ว ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาดูกันดีกว่า
หกโมงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มมืด เราก็เดินกลับไปที่จุดนัดพบเพื่อเจอกับวิสกี้คนขับตุ๊กตุ๊กของเรา ช่วงเย็นจนถึงดึกนี้เรามีแพลนจะไปเดินเล่นและกินข้าวเย็นที่ night market และ pubstreet ในย่าน old market ที่เราเพิ่งไปเดินสำรวจมาเมื่อบ่ายนั่นแหล่ะ
Night Market & Pub Street
อย่างที่เกริ่นนำไปแล้วว่าสถานที่เที่ยวกลางคืนของเมืองเสียมเรียบจะอยู่ที่ Pubstreet และ Night Market ในย่าน Old Market เรามาดูกันเลยว่าเดินไปไหนได้บ้างในโซนนี้
แผนการของเราสำหรับค่ำคืนนี้คือ เดินชมตลาดกลางคืน และไปหาอะไรกินกันที่ pubstreet เส้นทางการเดินและถนนที่ไปได้ก็มีดังแผนที่ข้างบนเลยครับ ตลาดกลางคืนที่นี่จะคล้ายๆ เชียงใหม่ ไนท์บาซ่า สินค้าจะออกแนวของที่ระลึกขายฝรั่ง แต่ของจะไม่ซ้ำกันมากขนาดบ้านเรา และที่สังเกตเห็นคือจะมีหนังสือขายอยู่หลายร้าน เดาว่าเอาใจ Backpacker ที่มาแวะเดินตลาด
หลังจากที่เดินชมตลาดจนหิวสุดแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังซอย pubstreet เลย ซอยนี้หาไม่ยากเพราะทั้งป้ายไฟแสงสีและผู้คนที่คึกคักมันจะพาเราไหลมาที่นี่เองโดยอัตโนมัติ เมื่อมาถึงแล้วเราก็หาร้านที่อยากกินกัน มองไปมองมาได้ร้านนี้ครับ Le Tigre de Papier (The Paper Tiger) ที่เลือกเพราะร้านนี้บรรยากาศน่านั่งและไม่เปิดเพลงดังๆอัดตู้มๆ และรูปแฮมเบอร์เกอร์ที่หนังสือเมนูหน้าร้านก็ดูน่าอร่อยซะเหลือเกิน
เรานั่งทานอาหารและฟังเพลง(จากร้านฝั่งตรงข้าม) จนเวลาประมาณสามทุ่ม นักท่องเที่ยวฝรั่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ยิ่งดึกคงจะยิ่งออกมาเดินถนนเส้นนี้กันเยอะ ที่จะบางตาลงคงเป็นกรุ๊ปทัวร์จีนที่ช๊อปปิ้งเสร็จก็น่าจะกลับโรงแรมกันเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ร้านขายของที่ระลึกก็เริ่มทยอยเก็บร้าน เหลือแต่ร้านอาหารและบาร์ที่ยังคึกคักอยู่ และด้วยความที่ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นตีสี่ครึ่งเพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด เราเลยกลับที่พักเร็วหน่อย สำหรับคืนนี้
วันที่สอง ลุยปราสาทขอม
เช้านี้เรานัดกับวิสกี้ คนขับตุ๊กๆของเราไว้ตีห้า สถานที่แรกที่จะไปคือ นครวัด ที่เราไปมาแล้วเมื่อวานช่วงเย็น แต่เช้านี้จะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นเป็นฉากหลังของปราสาทได้ (เป็นมุมที่สวยสุดๆสำหรับช่างภาพ) ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีเราก็มาถึงบริเวณทางเข้าปราสาทนครวัด เช้านี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก คงเพราะต่างมีจุดหมายและแพลนเดียวกันคือ ชมพระอาทิตย์ขึ้นเป็นฉากหลังของปราสาท
สรุปว่าเรามาเลทครับ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นได้ผ่านไปแล้ว ฟ้าสว่างเชียว แต่ไม่เป็นไรเราไม่ซีเรียสเรื่องพระอาทิตย์ เพราะมันขึ้นมันลงของมันทุกวันอยู่แล้ว ฮ่าๆ เดินต่อเข้าไปดูปราสาทกันดีกว่า
ก่อนที่จะเข้าไปยังตัวปราสาทชั้นใน เราเดินสำรวจภายในกำแพงทางเดินรอบปราสาทกันก่อน จุดนี้จะมีรูปปั้นนูนสูงแสดงเรื่องราวการต่อสู้ สงครามระหว่างเทพและอสูร แอบเสียดายที่ไม่ได้จ้างไกด์ เพราะลองเดินแอบฟังไกด์เล่าเรื่องแล้วน่าสนใจมาก ถ้าเดินดูไปด้วยและได้รู้เรื่องตำนานในภาพไปด้วยคงจะแจ่มสุดๆ
เมื่อเดินดูรอบๆกำแพงทั่วแล้ว เราก็เดินเข้าสู่บริเวณปราสาทชั้นในจากประตูทางทิศใต้ เข้าไปก็จะพบสนามหญ้าและบันไดทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาท
และเมื่อเราเดินเข้ามาแล้ว ขั้นต่อไปคือขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ตัวปราสาทครับ ไม่ชันมาก แต่มุมสวย สามารถยืนถ่ายรูปมุมสูงจากบนนี้ได้เลย
ด้านในสุดของปราสาทจะเป็นปรางค์ประธานที่สามารถปีนบันใดขึ้นไปได้ครับ แต่สูงและชันมาก เท่าที่เห็นมากกว่า 50องศาแน่ๆ และตอนที่เราไป จนท กั้นไว้ไม่ให้ขึ้นครับ คงเพราะเปิดให้ขึ้นเป็นเวลา
จากนั้นเราก็เดินออกมาสู่หน้าปราสาท เพื่อจะมาถ่ายมุมสะท้อนน้ำที่เมื่อเช้าคนเยอะแล้วไม่ได้มากันครับ ท้องฟ้าช่วงสายถึงจะไม่แดงสวยเหมือนตอนเช้าตรู่แต่ก็สวยใช้ได้เลย
จุดต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ นครธม จากข้อมูลในวิกิเค้าบอกว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์” โครงสร้างและลักษณะจะเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายๆกับนครวัด ที่ศูนย์กลางจะเป็นปราสาทบายน (The Bayon) หรือปราสาทที่มีหน้าคนเยอะๆนั่นเอง(description บ้านๆมาก)
เราแวะทานข้าวเที่ยงกันบริเวณร้านอาหารในเขตกำแพงนครธมกันครับ ตุ๊กๆจะพามาเลือกร้านและนั่งทานกันที่จุดนี้จุดเดียวเลย ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ จานละ 3-5USD
ทานข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็นั่งตุ๊กๆไปปราสาทบายนกันเลย
ในทริปนี้เนื่องจากผมไม่ได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับตัวปราสาทและประวัติศาสตร์เรื่องราวของปราสาทมาก่อนเลย รู้แค่ว่า มี นครวัด เป็นพระเอก มี ปราสาทบายน ที่มีหน้าคนใหญ่ๆเยอะๆ และมี ปราสาทตาพรหม ที่มีต้นไม้แทรกตามหินและเป็นฉาก Tomb Raider ซึ่ง Lala Croft สวยมาก การได้มาสาม landmark สามแห่งนี้ก็เลยถือว่าโอเคแล้ว นอกนั้นคือเสพบรรยากาศของความเป็นเมืองท่องเที่ยวซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผมว่าเสียมเรียบทำจุดนี้ได้ดีนะ มีการจัดการเรื่องตั๋ว เรื่องจนทประจำปราสาท และผังเมือง ได้โอเคเลยทีเดียว (ใช่สิ เก็บค่าเข้าไป 600++ อะเนอะ)
ภายในปราสาทตาพรหม จะมีลักษณะเป็นชั้นเหมือนกับปราสาทเขมรทั่วไป แต่จะมีแค่สองชั้น โดยที่เราจะต้องเดินผ่านป่าเข้าไปยังตัวปราสาทและตุ๊กๆของเราจะไปรออีกฝั่ง คือเดินทะลุแล้วขึ้นรถกลับเลย ไม่ต้องย้อน ส่วนตัวปราสาทจะออกพังๆหน่อย หินรอบๆปราสาทจะล้มๆเหมือนไม่ได้บูรณะใหม่ คงเพราะเค้าอยากคงจุดเด่นปราสาทที่โดนต้นไม้กลืนไว้ในสภาพเดิมๆ(อันนี้คิดเอง)
ที่ทางเข้าปราสาทจะมีป้ายบอกเส้นทางเดินชมตัวปราสาทอยู่ มีให้เลือกสองเส้นครับ แบบยาวกับแบบสั้น เส้นทางภายในปราสาทค่อนข้างซับซ้อนเพราะบางส่วนมันพังลงมาขวางไว้ มีมุดมีก้มนิดหน่อยแต่ก็สบายๆชิวๆ ที่กลางปราสาทชั้นในสุดจะมีจุดที่นักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปอยู่สามสี่จุด ช่วงเวลาที่เราไปคนเยอะมากเพราะทัวร์ลงเรียกว่าต้องต่อแถวถ่ายกันเลยทีเดียว
เราเดินหลง งงๆ ไปตามเส้นทางในปราสาทตาพรหมจนเวลาประมาณบ่ายสอง ด้วยความเหนื่อยและเมื่อยขา เราก็ตัดสินใจว่ากลับกันดีกว่า วันนี้คงพอแล้วสำหรับปราสาทเขมรและแดดร้อนๆ จุดมุ่งหมายถัดไปของเราคือ ร้านคัฟเค้ก Blossom ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
หลังจากที่นั่งตุ๊กๆของวิสกิ้กลับถึงที่พักแล้วเราก็จัดการจอง Taxi สำหรับเดินทางกลับด่านปอยเปตสำหรับวันพรุ่งนี้เลย ทางโรงแรมบอกราคาเรามาที่ 30 USD ซึ่งเราก็โอเคจองกันไป พรุ่งนี้รถจะมารับถึงโรงแรมเลย แต่จริงๆแล้วเราสามารถไปหารถบัสกลับได้ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ คนละ 8 USD เป็นอีกทางที่ประหยัดเงินกว่า แต่เราแก่แล้วขอเน้นสบายนิดนึงละกัน
มาอาบน้ำให้หายร้อนกันแล้วก็ได้เวลาออกไปชิมคัฟเค้กละครับ ร้านจะอยู่ที่ Central Market St. แถวๆโรงพยาบาล ซึ่งใกล้กับที่พักเรามากๆ
ร้าน Blossom Cafe and Training Centre จะเป็นโรงเรียนสอนทำเค้กและเบเกอรี่ด้วย ร้านใหญ่พอสมควร ตกแต่งแบบน่ารักๆ สบายตา น้องๆพนักงานก็บริการดีมาก มาดูเค้กที่เราจะชิมกัน น่าตาน่ารักดีจังเลย
อันซ้ายสุดที่เป็นคุ๊กกี้แอนครีมอร่อยมาก ชิ้น redvelvet ก็เปรี้ยวๆ แต่โดยรวมจะหวานหนักไปหน่อย ชุดนี้ราคา 4.5 USD รวมเครื่องดื่มก็ตกประมาณ 6 USD ครับ อ้อ ที่ร้านมี Free-Wifi ให้ถ่ายรูปลง social ได้ด้วยนะครับ
นั่งอยู่จนค่ำๆก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นในโซน old market อีกรอบ ทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารไทยในโซน night market และ แวะร้านขายของที่ระลึกซื้อ magnet จากนั้นหาซื้อเบียร์อังกอร์ ไปฝากเพื่อนที่กทม.
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่แพ็คกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นไปทานข้าวเช้าของโรงแรม รสชาดใช้ได้เลย ราคาถูกอีก ไม่น่าออกไปหากินข้างนอกเลย ฮ่าๆ จากนั้น ราวๆ เก้าโมง Taxi ที่ติดต่อเอาไว้ก็มารับถึงที่โรงแรม เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงด่านปอยเปต จัดการเรื่องผ่านแดนกลับมาเรียบร้อย ก็ขับรถกลับ กทม. กันเลย
จบทริปอย่างเป็นทางการ!
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.7singha.com/