ท่องเที่ยวสไตล์พิศาล เลาะริมโขง ชม 6 จังหวัด Unseen ถิ่นที่ราบสูง

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาล เลาะริมโขง ชม 6 จังหวัด Unseen ถิ่นที่ราบสูง

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาล เลาะริมโขง ชม 6 จังหวัด Unseen  ถิ่นที่ราบสูง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลขับรถเกือบ 3 พันกิโลเมตร 4 คืน 5 วัน เลาะริมโขง ชม Unseen โดยขับรถจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัด เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และกลับกรุงเทพฯ

เราออกจากกรุงเทพฯ เช้ามืด แวะทานอาหารกลางวัน ขนมจีนขยุ้มร้านเจ๊แร่ ที่หล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เรียกว่าขนมจีนขยุ้มเพราะเป็นการขยุ้มขนมจีนสดๆ ที่เสร็จใหม่ มาจัดเรียงไว้ในจานแบบพอดีคำ รับประทานกับน้ำยา 5 ชนิด มีน้ำยาป่า น้ำยาปลาช่อน น้ำยาปักษ์ใต้ น้ำยาสมุนไพร และน้ำพริก ที่ขนมจีนมีหลากสีนั้นก็เพราะเจ๊แร่นำพืชผักธรรมชาติหลากสีมาผสมในขนมจีน เกิดสีต่างๆ ทำให้ขนมจีนน่าทานมากขึ้น หลังจากทานขนมจีนเสร็จแล้ว เราก็ขับรถต่อไปถึงที่พักที่ เฮือนฮักเลยรีสอร์ท จังหวัดเลย หลังจากเช็คอินแล้ว ก็ขับรถไปทานอาหารเย็นที่เชียงคาน ระยะทางจากที่พักที่อยู่ที่ตัวเมืองเลยไปยังเชียงคานก็ประมาณ 50-60 ก.ม. ขับรถไปอย่างสบายๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที เพราะบางช่วงเป็นถนนขึ้นเขา คดเคี้ยว

เราไปถึงร้านอาหาร หลวงพระบาง ที่เชียงคานก่อนพระอาทิตย์ตก เลยถือโอกาสเดินเลียบริมโขงถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่กำลังตกไว้เป็นที่ระลึก หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็เดินเที่ยวถนนคนเดิน นักท่องเที่ยวที่ถนนคนเดินในวันนั้นมีไม่มากนัก เพราะไม่ใช่เป็นวันหยุด หลังจากเดินชมร้านค้าต่างๆ บนถนนคนเดินแล้ว เราก็ขับรถกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น

พระอาทิตย์กำลังตกที่เชียงคาน

วันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางเพื่อไปเที่ยว ภูป่าเปาะ หรือ ฟูจิเมืองเลย แหล่งท่องเที่ยว Unseen แห่งใหม่ของเมืองเลย โดยขับรถไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอวังสะพุง ไปยังอำเภอหนองหิน ระหว่างทางเห็นป้าย คุนหมิงเมืองเลย ก็เลยแวะเที่ยว ขับรถตามป้ายไป จนถึงสวนหินผางาม หรือคุนหมิงเมืองเลย พิกัด N17.05110 E101.74252 ทางสวนหินผางามจะจัดรถอีแต๊กพร้อมเจ้าหน้าที่ ขับรถพาขึ้นเขาเที่ยวสวนหินผางาม คิดค่ารถคนละ 25 บาท


สวนหินผางาม

สวนหินผางามหรือคุนหมิงเมืองเลย เป็นภูเขาหินปูนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กระจายเป็นลูกๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้างสลับกันไป เขาบางลูกก็สามารถเดินผ่านทะลุได้ มีชื่อเรียกต่างๆ กันตามลักษณะรูปร่าง เช่นหินไดโนเสาร์ เขาวงกต เจดีย์หิน กรอบรูปธรรมชาติ และกำแพงเมืองจีน ฯลฯ มีต้นไม้มากมายหลายพันธุ์ขึ้นอยู่โดยทั่วไป มีต้นไม้หายากเช่นต้นปรงยักษ์ อายุหลายร้อยปีอยู่ด้วย สันนิษฐานว่าที่นี่ในอดีตเป็นพื้นของท้องทะเลมาก่อน

จากสวนหินผางาม เราก็ขับรถต่อไปเที่ยว ภูป่าเปาะ หรือ ฟูจิเมืองเลยซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen แห่งใหม่ของจังหวัดเลย ภูป่าเปาะอยู่ห่างจากสวนผาหินงามเพียง 7-8 กิโลเมตรเท่านั้น พิกัด N17.03665 E101.72164

ชื่อภูป่าเปาะ มาจากภูเขาที่มีไผ่เปาะซึ่งเป็นไผ่ชนิดหนึ่งที่เปราะ แตกหักง่ายขึ้นได้ทั่วไปตามภูเขาในจังหวัดเลย  ภูป่าเปาะมีจุดชมวิวอยู่ 3 จุด จุดแรกเป็นจุดที่สวยและนักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปมากที่สุด เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้ไม่มีอะไรมาบังสายตา มองเห็นวิวของภูหอ ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูง มียอดเขาแบนราบ คล้ายภูเขาไฟฟูจิยามาในประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับสวนผาหินงาม ที่นี่จะจัดรถอีแต๊กพร้อมมัคคุเทศก์บริการแก่นักท่องเที่ยว คิดค่ารถคนละ 60 บาท เพราะทางขึ้นเขาค่อนข้างชันและไกลกว่าทางขึ้นสวนหินผางาม

จุดชมวิวจุดแรก มองเห็นวิวชัดเจน สวยงามและใกล้ที่สุด

จุดชมวิวสูงที่สุดนี้ รถขึ้นไม่ได้ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 200 เมตร จุดนี้สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นใน ตอนเช้าก็ได้ หรือชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็นก็ได้ เพราะสามารถชมวิวได้ 360 องศา สามารถมองเห็น ทั้งภูหินร่องกล้า ภูหลวง ภูกระดึง สวนหินผางาม และเขาค้อ

จุดชมวิวสูงสุดบนยอดเขา มองเห็นวิว 360 องศา

หลังจากเที่ยวภูป่าเปาะหรือฟูจิเมืองเลยแล้ว เราก็ขับรถต่อไปพักที่หนองคาย ชื่อโรงแรมพันล้าน ซึ่งเป็นโรงแรมสร้างใหม่สไตล์รีสอร์ท  วันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เราก็ขับรถออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเพื่อไปไหว้พระที่ วัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก) ที่จังหวัดบึงกาฬ

ระหว่างทางที่ขับรถไปวัดภูทอก ก็ผ่านวัดอาฮงศิลาวาส พิกัด N18.42502 E103.47140 เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อใหญ่คุวานันท์ ซึ่งเป็นพระพุทธชินราชจำลอง หันพระพักตร์ลงสู่แม่น้ำโขง วัดนี้มีทิวทัศน์สวยงาม มีจุดที่แม่น้ำโขงไหลวนและลึกมากประมาณ 200 เมตรเรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" เป็นแหล่งกำเนิดบั้งไฟพญานาคแห่งแรกของแม่น้ำโขง และถือกันว่าที่นี่คือ ธานีพญานาค ในช่วงออกพรรษาของทุกปี ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจะมารอชมบั้งไฟพญานาคที่นี่เป็นจำนวนมาก

สะดือแม่น้ำโขงลึก 200 เมตร

บริเวณวัดประกอบด้วยป่าไม้เบญจพรรณ และโขดหินโดยรอบ ทั่วบริเวณวัดมีบรรยากาศร่มรื่น

สวนหินอาฮง อยู่ภายในบริเวณวัดอาฮงศิลาวาส สะอาด สวยงาม

จุดนี้สามารถมองเห็นโขดหินและทิวทัศน์ฝั่งประเทศลาว

สวนหินอาฮง มีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังจากชมสวนหินอาฮงเสร็จแล้ว เราก็ขับรถต่อไปยังวัดเจติยาศรีวิหาร หรือวัดภูทอก พิกัดN18.13102 E103.88028 ภูทอกในภาษาอีสาน แปลว่าภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอกมี 2 ลูกคือ ภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย ทางวัดเปิดให้เข้าเยี่ยมชมและไหว้พระได้เฉพาะที่ภูทอกน้อยแห่งเดียว ส่วนภูทอกใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดให้เข้าไปไหว้พระและเยี่ยมชม วัดภูทอกไม่ใช่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแต่เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่ต้องการความเงียบสงบ ผู้เข้าเยี่ยมชมจะต้องสำรวมและไม่ส่งเสียงดังเป็นการรบกวนผู้ปฏิบัติธรรม

จุดเด่นของภูทอกคือ สะพานไม้เวียนรอบภูเขาแบบ 360 องศา

ชั้น 4 เป็นสะพานไม้ไต่เวียนรอบเขา มองไปข้างล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกันเรียกว่า ดงชมพู

ชั้นที่ 6 เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมา บางครั้งเวลาเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย จากชั้น 6 สู่ชั้น7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชันดูน่าหวาดเสียวมาก วัดนี้มี 7 ชั้น ใช้เพียงแรงงานคนก่อสร้างโดยใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี

ชั้น 1-2 เป็นบันไดสู่ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหิน ลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด มีศาลาขนาดใหญ่ พระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บสังขารของพระอาจารย์จวน ผู้ก่อตั้งวัดนี้

จากวัดภูทอก เราก็ขับรถต่อไปจังหวัดนครพนม เข้าพักที่โรงแรม The River โรงแรมสวยติดแม่น้ำ หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถไปเที่ยววัดนักบุญอันนา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่นำ้โขง ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม พิกัดN17.42110 E104.77601 สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 90 ปีที่ผ่านมา คือสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2469 โดยคุณพ่อ เอดัวร์ นำลาภ อดีตอธิการโบสถ์ ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายหอคอยแฝด มีสะพานเชื่อมระหว่างกลางสามารถเดินข้ามได้ มีโดมทรงแหลมสูง 2 ข้าง วัดนักบุญอันนานี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน เช่น คนญวน คนไทย คนจีน และคนลาว และเป็นศูนย์กลางของผู้นับถือศาสนาคริสต์ในจังหวัดนครพนม

วัดนักบุญอันนา นครพนม

ภายในโบสถ์สะอาด เรียบง่าย โอ่โถง

หลังจากนั้น เราก็ไปชมบ้านลุงโฮจิมินห์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า บ้านลุงโฮ ซึ่งเป็นบ้านที่อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ได้เคยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประเทศไทยถึง 7 ปี มีการใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นศูนย์ประสานงาน วางแผนกอบกู้เอกราชจากประเทศฝรั่งเศส

 

ปัจจุบัน บ้านหลังนี้ได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นสถานที่แสดงประวัติเกี่ยวกับอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์หรือลุงโฮ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของการใช้ชีวิตของลุงโฮในประเทศไทย ในส่วนของบริเวณบ้านจะมีต้นไม้นานาชนิดที่ลุงโฮปลูกไว้ เช่น ต้นมะพร้าว  หมาก พลูและกล้วย รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ของลุงโฮ เช่นโต๊ะทำงาน  และเครื่องตำข้าวที่ลุงโฮใช้

วันรุ่งขึ้น หลังอาหารเช้า เราก็ออกเดินทางไปยังจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเที่ยวภูผาเทิบ Unseen ของจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างทางเราแวะไหว้พระธาตุพนมวรมหาวิหาร หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า วัดพระธาตุพนม

หลังจากไหว้พระธาตุพนมเสร็จแล้ว เราก็ขับรถต่อไปยังมุกดาหารเพื่อไปเที่ยวภูผาเทิบ Unseen เมืองมุกดาหาร ระหว่างทางเราแวะที่ ตลาดอินโดจีน เราไปถึงค่อนข้างเช้า ร้านค้าบางร้านยังไม่เปิดนักท่องเที่ยวไม่มาก ของที่ขายส่วนใหญ่เป็นของใช้และเสื้อผ้า ผ้าพันคอ ฯลฯ บางส่วนมาจากประเทศจีนและประเทศลาว

จากนั้นเราก็ขับรถต่อไปเที่ยวภูผาเทิบ Unseen มุกดาหาร ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมุกดาหารประมาณ 20 กิโลเมตร พิกัดN16.43469 E104.80536

ภูผาเทิบ Unseen Mukdahan

เทิบในภาษาอีสานหมายถึง "เพิง" คือลักษณะของหินที่วางทับซ้อนกันเป็นเพิง

การเกิดหินเทิบ เป็นประติมากรรมธรรมชาติ เกิดจากการกัดเซาะของ ฝน ลม น้ำและแสงแดด

คาดกันว่าประติมากรรมธรรมชาติเหล่านี้เกิดมาแล้วนับร้อยล้านปี ทำให้กลุ่มหินเหล่านี้มีสภาพ รูปร่างที่แตกต่างกัน ตั้งวางอยู่บนลานหินที่กว้างไกล

กลุ่มหินเหล่านี้เรียงซ้อนกันทับกันเป็นกลุ่มก้อน วิจิตรพิสดาร สวยงามแปลกตา บางกลุ่มก้อนก็คล้ายเจดีย์ เห็ด เต่า และรูปสัตว์ต่างๆ ตามแต่จินตนาการของแต่ละคน

ออกจากภูผาเทิบ มุกดาหาร เราก็ขับรถต่อไปเที่ยว สามพันโบก อยู่ที่อำเภอโพธิ์ไทร อุบลราชธานี พิกัด N15.79565 E105.39474 เชื่อกันว่า สามพันโบก เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำจนเกิดเป็นรูปหินที่มีรูปแตกต่างกัน เป็นรูปวงกลม วงรี รูปดาว หรือรูปอื่นๆ อีกมากมายตามแต่จะจินตนาการ

ในช่วงน้ำหลาก แก่งหินที่อยู่ใต้น้ำจะถูกกัดเซาะด้วยพลังของน้ำที่ไหลวนอย่างรุนแรง และกระจายเต็มพื้นที่มาเป็นเวลาหลายพันปี จนทำให้แก่งหินเหล่านี้เกิดเป็นแอ่ง (รู) หรือ โบก น้อยใหญ่ กว่า 3,000 แอ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อ สามพันโบก โบก ในภาษาอีสาน แปลว่า หลุม

สามพันโบก หรือแอ่งหินต่างๆ จะเห็นได้ชัดเจนในช่วงหน้าแล้ง ประมาณเดือน มกราคม-เมษายนของทุกปี

บางแห่งก็โดนน้ำกัดเซาะจนมีลักษณะคล้ายภูเขากลางแม่น้ำ หรือเป็นหน้าผาสูง ยิ่งหน้าแล้งจะยิ่งเห็นเป็นหน้าผาสูงมากขึ้น

จากสามพันโบก เราก็ขับรถต่อไปชมน้ำตกลงรูหรือน้ำตกแสงจันทร์ อยู่ที่อำเภอโขงเจียม พิกัด N15.51604 E105.59024

ชื่อน้ำตกลงรู เรียกตามลักษณะสายน้ำที่ตกผ่านลงรูหิน ส่วนที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์นั้นเรียกตามสายธารน้ำตกที่โปรยละอองน้ำผ่านช่องหินลงมาเป็นสีขาวนวลคล้ายแสงจันทร์ โดยเฉพาะในวันเพ็ญที่แสงจันทร์จะสาดส่องมาตรงรูหินพอดี พร้อมกับละอองของธารน้ำตกที่โปรยเป็นประกายสีนวล สวยงามมาก นับเป็นเสน่ห์ของน้ำตกหนึ่งเดียวของไทยนี้

ด้านบนของรูหิน จะเป็นธารน้ำตกที่ไหลลงรูหินไปยังด้านล่าง รูหินนี้เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ เมื่อฝนตกลงมามากๆ น้ำในลำธารตามป่าเขาก็จะมีปริมาณมาก ไหลแรงและเร็ว พัดเอาก้อนกรวด ก้อนหินบางส่วนไหลไปติดในหลุม เมื่อกระแสน้ำแรง ก้อนกรวดก้อนหินนี้ก็จะไหลวนในหลุมอย่างรุนแรง จนทำให้หลุมที่เป็นหินทรายซึ่งมีความแกร่งน้อยกว่าก้อนหินและก้อนกรวดเกิดเป็นรู และก็จะขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามความรุนแรงของกระแสน้ำที่ไหลลงรู

หลังจากนั้นเราก็ไปทานอาหารเย็นที่แพอารยา ที่โขงเจียม แล้วเข้าพักที่โรงแรมพีรดาที่อยู่ติดโขงเจียม

วิวแม่น้ำโขงถ่ายจากที่พัก

วันรุ่งขึ้นเราออกจากโรงแรมแต่เช้ามืด เพื่อเดินทางไปเที่ยวผามออีแดง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ผามออีแดง เป็นหน้าผาหินสีแดงใหญ่และสูงชัน เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ด้านล่างเป็นทิวเขา และผืนป่าในประเทศกัมพูชาที่อยู่ต่ำลงไป เรียกว่าเขมรต่ำ

ผามออีแดงเป็นหน้าผาสูงลาดชัน 45 องศา เดิมเรียกว่า เนิน 45 ส่วนที่มาของชื่อผามออีแดงก็มาจากเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เมื่อปี 2504 ได้มีคณะของครูแดงจำนวน 30 คน ได้เดินทางมาเที่ยวปราสาทพระวิหาร รถของคณะครูแดงได้เกิดอุบัติเหตุบริเวณเนิน 45 ทำให้ครูแดงเสียชีวิต และได้มาปรากฏกายให้เจ้าหน้าที่พบเห็นบ่อยๆ จึงเป็นที่มาของชื่อ ผามออีแดงในปัจจุบัน  มอคือเนิน อีคือนามเรียกเสมือนญาติผู้ใกล้ชิด แดงคือชื่อเล่นของครูแดง

ที่ผามออีแดงจะมีจุดตั้งกล้องส่องทางไกล บริการนักท่องเที่ยวให้ส่องดูปราสาทพระวิหารที่อยู่ทางฝั่งกัมพูชาได้ชัดเจนขึ้น

จุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

ภาพแกะสลักนูนต่ำอายุประมาณ 1,500 ปี Unseen แห่งใหม่ของไทย ทางลงไปชมภาพแกะสลักนูนต่ำจะมีประตูเหล็กปิดกั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปขูด ลูบ คลำ ขอหวย ทำให้ภาพแกะสลักถูกทำลายและเสื่อมสภาพ

ถ้าต้องการลงไปดูภาพแกะสลักนูนตำ่อย่างใกล้ชิด ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ ให้ช่วยเปิดประตูเหล็กและพาลงไปดูที่หน้าผาด้านล่าง

ทางลงชมภาพแกะสลักนูนต่ำ Unseen Thailand

หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปนอนพักที่เขาใหญ่ และขับรถกลับกรุงเทพฯในวันต่อมา

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ ของ ท่องเที่ยวสไตล์พิศาล เลาะริมโขง ชม 6 จังหวัด Unseen ถิ่นที่ราบสูง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook